“หากใต้เท้าเอ๋าเสี้ยวต้องการชีวิตคนผู้นั้นจริงๆ และหากเขามีชีวิตรอดกลับมาจริงๆ ข้าก็ลงมือแทนใต้เท้าได้ หากเป็นเช่นนั้น จะไม่มีคนสงสัยใต้เท้าแน่” หญิงสาวสวมหน้ากากเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

“หากเขาปรากฏตัว เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องลงมือ” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวกลับพยักหน้าอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

“นั่นเพราะเหตุใด หรือว่าคุณหนูหลิงหลงรู้เรื่องคนผู้นี้” หญิงสาวสวมหน้ากากดูเหมือนว่าจะรู้เรื่องราวของอิ๋นเย่ว์ไม่น้อย จึงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

“เดิมข่าวคราวของคนผู้นี้ข้าก็ปิดบังหลิงหลงไว้ตลอด นางอยู่ข้างกายของข้าตลอด ไม่ได้สัมผัสกับโลกภายนอก แต่สองสามวันก่อนจู่ๆ นางก็ได้รับข่าวคราวจากสหายเก่า ดูเหมือนว่าจะเอ่ยถึงเจ้าเด็กที่บรรลุขึ้นมาจากแดนมนุษย์และกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ได้ด้วยความบังเอิญ ดังนั้นการออกจากภูเขานางถึงได้ต้องตามออกมาด้วย หากเจ้าเด็กแซ่หานเกิดเรื่องไปอย่างรวดเร็วเช่นนั้นจริงๆ ต่อให้ไม่มีหลักฐานอันใด หลิงหลงก็น่าจะสงสัยข้า เกรงใจว่าปมในใจคงยิ่งแก้ไขยาก แน่นอนว่าเขาตายด้วยน้ำมือของเผ่ามาร ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง!” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส แล้วถึงได้เอ่ยอย่างแช่มช้า

“หากเป็นเช่นนั้นก็ยุ่งยากใหญ่แล้ว ทว่าให้เขาเพลี่ยงพล้ำด้วยน้ำมือของเผ่ามาร สำหรับข้าก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้” หญิงสาวสวมหน้ากากหัวเราะน้อยๆ แล้วเอ่ยเช่นนี้ออกมา ท่าทางอยากให้หานลี่เพลี่ยงพล้ำมาก

“ข้าบอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้ ยามนี้สงครามของเผ่ามารใกล้เข้ามาแล้ว สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ทุกคนล้วนเป็นพลังในการต่อสู้ที่ล้ำค่า ไม่อาจสูญเสียไปง่ายๆ มิเช่นนั้นเทียบกับคนผู้นี้แล้ว ข้าก็อยากให้เทียนขุยหายสาบสูญไปจากโลกนี้มากกว่า จะไว้ชีวิตเขามาจนถึงยามนี้หรือ” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวมีสีหน้าเคร่งขรึม ใช้น้ำเสียงออกคำสั่งอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ออกมา

“ในเมื่อใต้เท้ากล่าวเช่นนี้ ข้าก็จะไม่สอดมือเข้ายุ่งเรื่องนี้ มิเช่นนั้นข้าสนใจอัจฉริยะที่หนึ่งแสนปีจะปรากฏตัวขึ้นสักครั้งของเผ่ามนุษย์ผู้นี้จริงๆ” หญิงสาวสวมหน้ากากหัวเราะต่ำๆ ออกมา แล้วไม่ได้ยืนหยัดต่อ

“เงาอัปลักษณ์ เจ้าเป็นผู้พิทักษ์เงาของข้ามากี่ปีแล้ว” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวเอ่ยถามขึ้น

“น่าจะห้าหกหมื่นปีกระมัง! เหตุใดใต้เท้าถึงถามถึงเรื่องนี้” หญิงสาวสวมหน้ากากพลันตกตะลึง แล้วถามย้อนกลับด้วยความประหลาดใจ

“ปีนั้นข้าช่วยเจ้าออกมาจากห้วงมิติเวลาหมุนเวียน เจ้าสาบานกับข้าว่าจะจงรักภักดีต่อข้าหนึ่งแสนปี และยังทำสนธิสัญญาวิญญาณกับข้าหนึ่งแสนปี ยามนี้ข้าคิดว่าจะเอาเวลาสองสามหมื่นปีที่เหลือให้กับหลิงหลง เจ้าคิดเห็นอย่างไร?” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

“ใต้เท้าเอ๋าเสี้ยว! แม้ว่าข้าจะรู้สึกซาบซึ้งบุญคุณถึงได้ทำสนธิสัญญาวิญญาณกับท่าน แต่สาเหตุหลักๆ ก็เพราะท่านคือสิ่งมีชีวิตระดับมหายาน ในด้านพละกำลังย่อมเพียงพอให้ข้ายอมสวามิภักดิ์ได้ มิเช่นนั้นตอนนั้นก็คงใช้วิธีอื่นตอบแทนบุญคุณท่านก็พอแล้ว” หญิงสาวสวมหน้ากากได้ยิน ก็ขมวดคิ้วท่าทางไม่ยินดี

“อันใด สาเหตุเดียวที่เจ้าไม่ยอมก็เพราะหลิงหลงมีพลังยุทธ์ไม่เพียงพอหรือ?” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวเอ่ยอย่างราบเรียบ

“ใช่แล้ว แม่หนูหลิงหลงเป็นผู้ที่ข้าเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก จึงนับว่ามีความผูกพันกับนาง เงื่อนไขอื่นก็ช่างเถิด แต่พลังยุทธ์ของนางกลับอ่อนแอเกินไป อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ ข้าถึงจะขบคิด ท่านน่าจะรู้กฎของเผ่าอสูรอัปลักษณ์ของพวกเรา แม้ว่าข้าเองก็ไม่อาจทำลายกฎได้ง่ายๆ” หญิงสาวสวมหน้ากากถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ดูเหมือนจะจนปัญญาเล็กน้อย

“หากเจ้ามีปัญหาแค่เรื่องพละกำลัง ก็วางใจเถิด อีกไม่เกินร้อยปียัยหนูจะพัฒนาระดับผสานอินทรีย์ได้แน่ แม้กระทั่งอาจจะมีโอกาสบรรลุระดับมหายานในวันข้างหน้า” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวฉีกยิ้ม

“ใต้เท้าเอ๋าเสี้ยว หมายความว่าอย่างไร?” หญิงสาวสวมหน้ากากแววตาเปล่งประกาย แล้วเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ

“เจ้ายังไม่รู้ ร่างจันทราดาราทั้งเจ็ดของหลิงหลงตื่นขึ้นแล้ว ร่างที่มีพรสวรรค์นี้เจ้าคิดว่าคำพูดเมื่อครู่ของข้าเกินจริงหรือ? ทว่าเพื่อเป็นการป้องกันสิ่งที่คาดไม่ถึง เรื่องนี้นอกจากข้าและหลิงหลงแล้ว ยังไม่มีบุคคลที่สามล่วงรู้” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

“คาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วย หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ การทำสนธิสัญญาวิญญาณกับนางก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ทว่าต้องให้ข้าพิสูจน์คำพูดเมื่อครู่ของท่านใต้เท้าก่อนถึงจะได้” หญิงสาวสวมหน้ากากครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วฝืนพยักหน้า

“เยี่ยมมาก หากมีเจ้าอยู่ข้างกายหลิงหลง ก่อนที่พลังยุทธ์ของนางจะเพิ่มขึ้น ตาเฒ่าก็ไม่ต้องกังวลใจใดๆ อีก เรื่อนี้ชักช้าไม่ได้ สองสามวันให้หลังข้าจะจัดการทุกอย่างให้พวกเจ้า พิสูจน์ร่างจันทราดาราทั้งเจ็ดของหลิงหลงให้เจ้าดู แล้วข้าจะถ่ายทอดสนธิสัญญาวิญญาณไป” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวมีสีหน้าผ่อนคลายลงขณะเอ่ย

“ใต้เท้ากล่าวเช่นนี้ ข้าย่อมต้องร่วมมือ ทว่าใต้เท้าเอ๋าเสี้ยวใจร้อนเช่นนี้ หรือว่าไม่มั่นใจในสงครามที่กำลังจะมาถึงนี้ ถึงได้จัดหาหนทางให้กับใต้เท้าหลิงหลง” หญิงสาวสวมหน้ากากพยักหน้า ฉับพลันนั้นก็เอ่ยถามอย่างเจ้าเล่ห์

“หึๆ หากตาเฒ่าไม่มั่นใจ เหตุใดต้องวิ่งมาที่นี่ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าฝั่งเผ่ามารมีแผนการอย่างไร แต่ครั้งนี้ข้าและระดับมหายานคนอื่นๆ ร่วมมือกัน กลับมีโอกาสชนะได้ไม่น้อย ส่วนสิ่งที่เป็นรูปธรรมนั้นข้าไม่สะดวกที่จะเปิดเผย ยามนี้วิธีการจัดการมีแค่ต้องเตรียมขั้นตอนป้องกันเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ไม่มีเรื่องเคราะห์มาร ข้าก็รับเคราะห์อัสนีครั้งต่อไปไม่ไหวแล้ว นี่จึงเป็นสาเหตุที่ต้องหาหนทางเอาไว้” บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวเอ่ยพร้อมรอยยิ้มหยิ่งทระนง

เมื่อเห็นบุรุษผมยาวมีสีหน้าเช่นนี้ หญิงสาวสวมหน้ากากก็แววตาเปล่งประกาย แต่กลับไม่ได้เอ่ยอันใดออกมาอีก

ยามนี้บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวพลันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“ทางข้าไม่มีเรื่องอันใดแล้ว เจ้าไปเถิด บนเกาะน่าจะเริ่มสืบหาจารชนเผ่ามารแล้ว อย่าให้ผู้คนพบร่องรอยของเจ้า มิเช่นนั้นหากเกิดความผิดพลาด จะยุ่งยากไม่น้อย อย่างน้อยฐานะของเจ้าในยามนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้แล้ว”

“เจ้าค่ะ ใต้เท้า เงาอัปลักษณ์ขอตัวลา” หญิงสาวสวมหน้ากากพยักหน้า ร่างกายบิดเบี้ยว กลายเป็นเงาลวงตาเหมือนดังยามที่มา กลางอากาศมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้นแล้วสลายหายไป

บรรพชนเฒ่าเอ๋าเสี้ยวมองเห็นสถานการณ์นี้ ก็หรี่ตาทั้งสองข้างลงเล็กน้อย สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วหลับตาทั้งสองข้างลงอีกครั้ง

……

อีกด้านภายในยอดเขาที่ห่างจากเมืองเทวะสวรรค์ไปแสนลี้เศษ กลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์สวมชุดสีแดงสดกำลังอำพรางตัวอยู่บนยอดเขา และกำลังมองไปยังยอดเขาเล็กๆ ลึกลับแห่งหนึ่ง

กลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรนี้มีทั้งบุรุษและสตรี มีชายฉกรรจ์อายุยี่สิบสามสิบปีเป็นหลัก หนึ่งในนั้นยังมีผู้ที่ผมสีดอกเลาอยู่สองสามคน และทุกคนล้วนมีแววตาลึกลับ ท่าทางมีพลังปราณที่บริสุทธิ์มาก

แต่สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือ ผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มนี้ไม่ว่าจะบุรุษสตรีคนแก่หรือผู้อ่อนวัยล้วนมีสีหน้าซีดเซียว เรือนร่างมีฝุ่นเขรอะ ดูเหมือนจะผ่านการเดินทางระยะไกลถึงได้มาถึงที่นี่น

“ศิษย์น้องหลี่ เจ้ามั่นใจว่าไม่ผิดสินะ เขตอาคมส่งตัวของเมืองเทวะสวรรค์ที่สามารถส่งตัวพวกเราเข้าไปในเมืองอยู่ในหุบเขานั้นจริงๆ หรือ” ชายชราเคราขาวที่สะพายกระบี่ยาวสีเขียวและเหลืองสองเล่มเอาไว้ที่แผ่นหลัง ชักสายตากลับมาหันกายไปเอ่ยถามชายชราที่บนใบหน้ามีรอยบากซึ่งอยู่ติดกันอีกคนหนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ศิษย์พี่เจ้าสำนักโปรดวางใจ เขตอาคมส่งตัวนี้เป็นเขตอาคมส่งตัวลับที่ใช้เฉพาะอาวุโสของเมืองเทวะสวรรค์ มีผู้ที่รู้ตำแหน่งอยู่น้อยมาก ตอนแรกหากไม่ใช่เพราะผู้พิทักษ์สีทองที่ดูแลเขตอาคมนี้เป็นสหายสนิทของข้า และยิ่งไปกว่านั้นยังพลั้งปากพูดออกมายามที่กำลังร่ำสุรากัน ข้าก็คงไม่รู้เรื่องนี้” ชายชราหน้าบากผู้นั้นตอบกลับอย่างไม่ต้องขบคิด

“เรื่องนี้ก็พูดยาก ยามนี้เผ่ามารยึดครองดินแดนมานานแล้ว สถานที่ลับใดๆ ก็อาจจะถูกเปิดโปงแล้ว” ชายชรากลับสั่นศีรษะ ราวกับกำลังกังวลใจมาก

“แต่ยามนี้เมืองเทวะสวรรค์ถูกเผ่ามารปิดผนึกเอาไว้แล้ว พวกเราอยากบุกเข้าไปก็เป็นการรนหาที่ตายเท่านั้น และมีเพียงหนทางเดียวที่ศิษย์น้องหลี่กล่าวที่สามารถลองทดสอบดูได้” หญิงชราหน้าตาอัปลักษณ์อีกคนหนึ่งทนไม่ไหวเอ่ยปากขึ้น

“ศิษย์น้องหญิงพูดถูก พวกเราไม่มีทางให้ถอยหนีแล้ว หากซ่อนตัวอยู่ภายนอกต่อ พรรคลี้เพลิงคงถูกเผ่ามารล้างบางพรรคในอีกไม่ช้าก็เร็วเท่านั้น และมีแค่ต้องเข้าไปในเมืองเทวะสวรรค์ถึงจะปกป้องสิ่งที่ถ่ายทอดมาของพรรคเราได้ ดูแล้วมีเพียงต้องเสี่ยงเท่านั้น” ชายชราสะพายกระบี่มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส และทำได้เพียงกัดฟันเอ่ย

“ศิษย์พี่ดวงตาเฉียบแหลมนัก! เผ่ามนุษย์ของพวกเราผ่านเคราะห์มารมาตั้งไม่รู้เท่าไหร่แล้ว เมืองสามจักรพรรดิก็ไม่ค่อยมั่นคง มีเพียงเมืองเทวะสวรรค์ถึงจะมีบันทึกว่าไม่เคยถูกทำลายเมืองหากเข้าไปในนั้น แน่นอนว่าย่อมรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ข้าจะสั่งให้ศิษย์ไปตรวจสอบแล้ว” ชายชราหน้าบากได้ยินก็มีสีหน้ายินดี

“ไม่ต้องส่งศิษย์ธรรมดาไป หากเผ่ามารวางกับดักไว้จริงๆ เกรงว่าศิษย์ธรรมดาคงไม่อาจพบอันใด เดี๋ยวพวกเราไปเองจะดีกว่า ต่อให้มีกับดักจริง เผ่ามารธรรมดาๆ ก็ไม่อาจขวางพวกเราได้” ชายชราสะพายกระบี่ฟั่นเครา แล้วกลับเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่

“ก็ดี ตามที่ศิษย์พี่กล่าวก็แล้วกัน ข้าและศิษย์น้องหลี่จะไปเป็นเพื่อนศิษย์พี่เอง” หญิงชราครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างเห็นด้วย

“ไม่ได้ ศิษย์น้องหญิงเป็นผู้ที่พลังยุทธ์รองจากข้าในพรรค คอยนั่งบัญชาการได้ดีกว่าศิษย์น้องคนอื่นๆ หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น ไม่จำเป็นต้องรอพวกเรากลับมา ให้พาศิษย์สลายตัวไปทันที ศิษย์น้องหลี่ ศิษย์น้องหยาง เจ้าสองคนไปกับข้าเถิด พวกเจ้าคนหนึ่งรู้ข่าวของเขตอาคมส่งตัวนี้ คนหนึ่งเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านเขตอาคมต้องห้าม ล้วนมีประโยชน์ทั้งนั้น” ชายชราสะพายกระบี่เรียกชื่ออย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

ชายชราหน้าบากและนักพรตชราหน้าตาสุขุมตอบรับแล้วออกมาทันที

ดังนั้นชายชราสะพายกระบี่ก็ออกคำสั่งกับคนที่เหลือ แล้วพาอีกสองคนกลายเป็นลำแสงหลีกหนี ตรงไปยังหุบเขา

ในบรรดามนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรที่เหลือพลันเกิดความวุ่นวายขึ้น แน่นอนว่าย่อมเผยสีหน้าเคร่งเครียด พลางมองไปยังจุดที่ลำแสงหลีกหนีมุ่งไป

ชายชราสะพายกระบี่รวมทั้งกลุ่มมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรย่อมคิดไม่ถึงว่า ห่างจากยอดเขาลูกนี้ไปไม่ถึงสองสามพันลี้ มีสายรุ้งสีเขียวอ่อนสายหนึ่งกำลังพุ่งไปยังเป้าหมายเดียวกัน

ท่ามกลางลำแสงหลีกหนี ชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปีเศษคนหนึ่ง กำลังควงภูเขาขนาดจิ๋วสีดำสนิทอยู่ในมือ บางครั้งสายตาก็กวาดมองรอบๆ คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทีสบายอารมณ์

และบนบ่าของเขากลับมีเด็กหญิงที่ดูเหมือนจะอายุสามสี่ปีหมอบอยู่ ผิวขาวเนียนละเอียด แก้มยุ้ย มือข้างหนึ่งตะปบเสื้อด้านหน้าตรงหัวไหล่ของหานลี่เอาไว้ อีกข้างหนึ่งกลับกุมผลไม้วิญญาณนิรนามไว้ผลหนึ่ง พลางอ้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ