หรงรุ่ย [6]
ตอนบ่าย หรงรุ่ยต้องกลับไปเก็บข้าวของที่คอนโดของเขา
อวี่ฉีอาสาขับรถไปส่ง ระหว่างทางก็โทรศัพท์หาอู๋เฟิง สั่งให้เขาส่งคนมาช่วยย้ายของ
ตอนที่เธอจอดรถตรงหน้าประตูคอนโดของหรงรุ่ย อวี่ฉีนึกไม่ถึงเลยว่าคนที่ยืนรออยู่หน้าประตูกลับเป็นเสิ่นหรานและหลินเซวียนเซวียน พระเอกและนางเอกของนิยายเรื่องนี้
อวี่ฉีพลันรู้สึกว่า อู๋เฟิงผู้ช่วยระดับเหรียญทองที่พึ่งพาได้มาตลอดของเธอนั้นได้ตายจากไปแล้ว งานครั้งนี้เขาจัดการได้แย่มากจริง ๆ ไม่ใช่แค่เสิ่นหรานที่แต่งตัวไม่เหมือนพนักงานช่วยยกกระเป๋า หลินเซวียนเซวียนเองก็ดูบอบบางจนแค่ลมพัดก็แทบจะปลิวได้ สองคนนี้ยืนอยู่ด้านหน้าคอนโดด้วยท่าทางประหนึ่งแขกของที่นี่ มองยังไงก็ไม่แข็งแรงพอที่จะมาช่วยขนของเลยสักนิด
ที่สำคัญ การที่หรงรุ่ยได้พบกับหลินเซวียนเซวียนนั้นเป็นสิ่งที่เธอไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด แต่ตอนนี้มันเกิดขึ้นจนได้ด้วยฝีมือของอู๋เฟิงลูกน้องคนสนิท วินาทีนั้นอวี่ฉีรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวราวกับถูกทุ่มก้อนหินใส่เท้า
เสิ่นหรานก้าวเข้ามาหาทันทีที่เห็นอวี่ฉีและหรงรุ่ยลงจากรถ ทว่าเพิ่งจะส่งรอยยิ้มสุภาพออกมาได้ไม่ทันไรก็ถูกอวี่ฉีตัดบท
“พาแฟนตัวน้อยของคุณออกไปซะ มาทางไหนก็กลับไปทางนั้น ที่นี่ไม่ต้องการพวกคุณ” อวี่ฉีเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จบก็เดินเข้าตึกทันที ส่วนหรงรุ่ยกลับยังคงประดับรอยยิ้มสมบูรณ์แบบเอาไว้บนใบหน้าอย่างมืออาชีพ ทั้งยังผงกศีรษะให้คนทั้งสองอย่างเย็นชาห่างเหิน แล้วเดินตามหลังอวี่ฉีเข้าไปด้านใน
เสิ่นหรานกับหลินเซวียนเซวียนซึ่งถูกทิ้งไว้ที่เดิมมองตากันอย่างมึนงง หลินเซวียนเซวียนจ้องแผ่นหลังของอวี่ฉีแวบหนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ว่า “นั่นคือบอสลับที่อยู่เบื้องหลังในตำนานคนนั้นใช่ไหมคะ? ท่าทางน่ากลัวจัง”
รอยยิ้มของเสิ่นหรานหายไป เขายื่นนิ้วเรียวยาวออกไปดีดหน้าผากของหลินเซวียนเซวียนทีหนึ่ง “ข่าวลืออะไรไร้สาระ” พูดแล้วก็ถอนหายใจเฮือก “กลับกันเถอะ ไปเตรียมตัวโดนเฉ่งกัน”
หลินเซวียนเซวียนเดินตามติดเสิ่นหรานที่หมุนตัวออกเดินไปก่อน “ดูเหมือนเธอจะโกรธมากเลยนะคะ พวกเราคงไม่ถูกไล่ออกใช่ไหม?”
“ไม่หรอก คุณฉินไม่ค่อยยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องในบริษัท ปกติทุกอย่างจะถูกส่งให้คนอื่นจัดการ” เสิ่นหรานจงใจแหย่คนถามต่อ “แต่ถ้าเธอคิดจะไล่พวกเราออกจริง ๆ แค่ประโยคเดียวก็เรียบร้อยแล้ว”
หลินเซวียนเซวียนเป็นกังวลขึ้นมาตามคาด
————————————–
อีกด้านหนึ่ง หรงรุ่ยเดินตามอวี่ฉีเข้าไปในลิฟต์ หลังจากกดเลือกชั้นแล้วก็เอียงหน้ามองเธอ “พวกเขาไม่ใช่คนที่คุณเรียกมาเหรอครับ? ทำไมถึงให้พวกเขากลับไปล่ะ?”
อวี่ฉีมองตรงไปด้านหน้า ไม่ตอบเขา แต่ย้อนถามกลับว่า “คุณรู้สึกว่าผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นยังไงบ้างคะ?”
หรงรุ่ยไม่เข้าใจเจตนาของเธอ แต่เขาก็ยังครุ่นคิดอย่างรอบคอบก่อนจะใช้น้ำเสียงเคร่งขรึมระคนจู้จี้วิพากษ์วิจารณ์ด้วยท่าทางเกียจคร้านว่า “เหมือนเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย” ชายหนุ่มนึกถึงเสื้อผ้าที่หลินเซวียนเซวียนใส่ มันใหญ่กว่าขนาดตัวของเธอหนึ่งไซซ์อย่างชัดเจน จึงอดพูดเสริมขึ้นอีกประโยคไม่ได้ว่า “รสนิยมแต่งตัวแย่ไปหน่อย ปิดบังรูปร่างที่พอใช้ได้ของตัวเองซะมิด”
อวี่ฉีได้ยินแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองสามารถวางหินก้อนใหญ่ในใจลงได้ซะที
ชีวิตคนเรามันก็ประหลาดแบบนี้แหละ ทั้งที่เดิมทีคุณสามารถรักคนคนหนึ่งจนลืมไม่ลงได้ แต่พอคนคนนั้นปรากฏต่อหน้าคุณด้วยสถานการณ์ที่ไม่เหมือนเดิม บางทีคุณอาจจะขี้เกียจหันหน้าไปมองด้วยซ้ำ
ความจริงที่หรงรุ่ยตกหลุมรักอาจจะไม่ใช่ที่ตัวของหลินเซวียนเซวียน แต่เป็นความหวังอันริบหรี่ที่ปรากฏขึ้นมาในช่วงชีวิตที่แย่ที่สุดต่างหาก
อวี่ฉีพอใจกับข้อสรุปนี้มาก เธอหรี่ตามองเขาอีกครั้ง “ถ้างั้นคุณคิดว่าฉันเป็นยังไงคะ?”
“ขอผมคิดก่อนนะ”
“พูดตอนนี้เลยสิ ไม่อย่างนั้นฉันคงได้ฟังแต่พวกคำอวยสรรเสริญคุณงามความดีชุดใหญ่ไฟกะพริบ”
หรงรุ่ยอดยิ้มออกมาไม่ได้ “คุณสวยมาก รสนิยมการแต่งตัวก็ดูดี แล้วยังมีนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว”
“สุดท้ายฉันก็ยังได้ฟังแต่การอวยจากคุณอยู่ดี” อวี่ฉีถอนหายใจอย่างยอมรับความจริง หลังประตูลิฟต์เปิดเธอจึงเดินนำออกไปก่อน “ก็คิดเอาไว้อยู่แล้วละว่ายิ่งสูงก็ยิ่งหนาว แค่คำพูดจากใจจริงสักครึ่งคำยังหาไม่ได้”
“แต่ที่ผมพูดไปเป็นความจริงทุกคำนะ” หรงรุ่ยเลิกคิ้วแล้วก้าวตามไป ก่อนจะใช้กุญแจเปิดประตู “ให้ฟ้าเป็นพยานได้เลย”
อวี่ฉีไม่ได้พูดอะไร เธอรู้ว่าเขาไม่ได้โกหก เพียงแต่ความจริงที่เขาพูดนั้นถูกหยิบมาใช้เฉพาะคำที่ฟังแล้วรื่นหูเท่านั้น คนฉลาดก็มีข้อเสียตรงนี้แหละ คนพวกนี้รู้จักเอาตัวรอดมากเกินไป ทำให้เดาไม่ออกว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่
เมื่อมาถึงห้อง หรงรุ่ยก็เลือกเพียงของใช้จำเป็นบางอย่างที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ก่อนจะเริ่มลงมือจัดเตรียมเสื้อผ้า
อวี่ฉีนั่งมองอยู่ที่มุมหนึ่ง สักพักก็ทนมองท่าทางการพับเสื้อผ้าที่เก้ ๆ กัง ๆ ของอีกฝ่ายไม่ไหว จึงเข้าไปช่วยเขาพับทั้งหมดเสียเอง เธอจัดการวางเสื้อผ้าลงในกระเป๋าเดินทางด้วยความคล่องแคล่ว
หนึ่งชั่วโมงต่อมา อวี่ฉีเหลือบมองนาฬิกาบนผนังแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “พวกเราควรไปกินข้าวเย็นกันก่อนไหมคะ”
เวลาที่มีนั้นค่อนข้างจำกัด เพราะหลังกินข้าวแล้วยังต้องกลับมาเก็บของต่อ ถ้าขับรถกลับคฤหาสน์ก็ต้องใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมงกว่า หรงรุ่ยจึงเสนอให้ไปหาอะไรกินที่ภัตตาคารแถว ๆ คอนโดนี้แทน ซึ่งอวี่ฉีเองก็ไม่ขัดข้องใด ๆ
——————————–
ภัตตาคารนั้นอยู่ใกล้มากจนไม่จำเป็นต้องขับรถไป
ฟ้าครึ้ม ๆ เป็นสัญญาณบอกว่าฝนน่าจะใกล้ตกลงมาแล้ว ส่งผลให้ตึกสูงโดยรอบดูหม่นหมองลงด้วยเช่นกัน เมฆสีเทาลอยต่ำที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนบดบังท้องฟ้าไว้จนมิด
อวี่ฉีเพิ่งจะเดินเลี้ยวเข้าไปบนถนนที่เงียบและเปลี่ยวสายหนึ่ง จู่ ๆ ก็มีเงาดำยืนค้ำอยู่เหนือศีรษะ เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นชายร่างกายกำยำสองคนที่มีหน้าตาดิบเถื่อนขวางทางเดินเอาไว้
หลังจากอวี่ฉีอึ้งไปสักพักก็ตามสถานการณ์ตรงหน้าทัน บางทีนี่อาจจะเป็นเนื้อเรื่องช่วงก่อนที่หลินเซวียนเซวียนจะช่วยชีวิตหรงรุ่ย…ลูกค้าสาวคนหนึ่งของหรงรุ่ยถูกสามีจ้างวานนักสืบเอกชนให้ตามรอยเธอ แล้วถ่ายรูปขณะเธอกินข้าวอยู่กับหรงรุ่ยเอาไว้ได้ คุณพี่ท่านนั้นก็เลยจ้างคนสองคนมาสั่งสอนหรงรุ่ยที่บังอาจมาสวมหมวกเขียวให้เขาด้วยความโกรธแค้น
หากเป็นชีวิตจริง เรื่องนี้อาจดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไร แต่นี่คือเรื่องราวในนิยาย จะให้มานั่งคิดเล็กคิดน้อยว่าอะไรจริงอะไรเท็จก็ไม่ได้ หนำซ้ำตอนนี้เธอเองก็ตกอยู่ในเหตุการณ์พิลึกแบบนี้ด้วย จึงได้แต่ยอมรับในความโชคร้ายของตัวเอง
ทว่าเรื่องนี้ก็ไม่เชิงเป็นเรื่องร้ายทั้งหมดซะทีเดียว ถ้าเธอสามารถคว้าโอกาสจากสถานการณ์นี้ได้ ภารกิจก็อาจจะสำเร็จได้ในทันที
“หลบไปซะนังหนู เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ” ชายคนหนึ่งในนั้นตะคอกเสียงต่ำใส่เธออย่างหยาบคาย พอผลักเธอไปด้านข้างได้ก็ชกท้องหรงรุ่ยอย่างแรง “กล้าแตะต้องผู้หญิงของลูกพี่รึไอ้หนู แกนี่ใจกล้าไม่เบาเลยนะ”
หรงรุ่ยครางเสียงต่ำ พลางกดส่วนที่ได้รับบาดเจ็บไว้จนตัวงอ เส้นเลือดปูนโปนขึ้นมาที่ขมับของเขาเพราะความเจ็บปวด
ก่อนสองคนนั้นจะได้ลงมือต่อ อวี่ฉีก็กัดฟันพุ่งเข้าไปกระชากแขนของหรงรุ่ย “วิ่ง!”
หรงรุ่ยอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็วิ่งตามเธอมา เดิมทีเขาคิดว่าในสถานการณ์แบบนี้ ผู้หญิงทั่วไปจะต้องวิ่งหนีกันไปหมดแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอวี่ฉีจะพุ่งเข้ามาช่วยเขาโดยไม่ลังเลแบบนี้
เชือกเส้นหนึ่งที่พันรัดหัวใจของเขาเอาไว้อย่างแน่นหนามาโดยตลอด พลันขาดสะบั้นลงในวินาทีที่เธอยื่นมือมาให้
สถานการณ์ตอนนี้มันไม่เหมือนกับที่แสดงกันในหนัง พวกเขาไม่ได้โชคดีเหมือนพระเอกนางเอกหนังที่วิ่งยาว ๆ ไปสักพักแล้วจะสลัดคนร้ายพ้น อวี่ฉีและหรงรุ่ยวิ่งออกมาได้ไม่กี่ก้าว เพิ่งจะเลี้ยวเข้าไปได้แค่ซอยเดียวก็ถูกไล่ตามมาทันแล้ว
อันธพาลคนหนึ่งคว้าคอหรงรุ่ยได้ก็เหวี่ยงเขาลงไปบนพื้น ส่วนอีกคนกระชากผมของอวี่ฉีแล้วโอบรัดตัวเธอไว้
“ปล่อยเธอไป!” หรงรุ่ยกุมท้องพลางลุกขึ้นมาด้วยร่างกายที่สั่นสะท้านเล็กน้อย “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ”
อวี่ฉีรู้สึกว่าหนังศีรษะถูกดึงจนเจ็บ เธอมองหรงรุ่ยแวบหนึ่งก่อนหลับตาลง แล้วใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีกระแทกส้นเท้าลงไปบนรองเท้าหนังของผู้ชายที่อยู่ด้านหลังสุดแรงเกิด
เธอสวมรองเท้าส้นสูงปลายเข็ม มันจึงเป็นอาวุธที่ใช้ทำร้ายศัตรูได้อย่างเหมาะเจาะ ชายคนนั้นสูดปากร้องพร้อมกับคลายมือออก ทำให้เธอหลุดออกมาได้
อวี่ฉีฉวยโอกาสตอนชายร่างกำยำคนนั้นบาดเจ็บ หยิบก้อนอิฐก้อนหนึ่งบนพื้นขึ้นมาฟาดไปบนหัวของอีกฝ่ายอย่างแรง
เธอไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอที่ไม่กล้าฆ่ากระทั่งไก่ จึงไม่ได้มือไม้อ่อนแรงเพราะความกลัว แรงที่ลงมือไปในครั้งนี้ทั้งดุดันและเด็ดขาด หลังโจมตีไปครั้งหนึ่งแล้วก็ฟาดซ้ำลงไปทันทีโดยไม่เว้นช่องให้ได้หายใจ ศีรษะของชายคนนั้นพลันมีเลือดไหลออกมา เขานิ่งค้างไปชั่วครู่ก็หมดสติไป
ทางด้านหรงรุ่ยเองก็คล้ายจะระเบิดพลังแฝงออกมาในช่วงวิกฤติเช่นกัน ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีไหนถึงทำให้คนล้มลงไปบนพื้นได้ เพียงแต่หลังจากชายคนนั้นตะกายลุกขึ้นมาได้ก็ราวกับถูกกระตุ้นด้านอำมหิตขึ้นมา ไม่รู้ว่ามันไปเอามีดสั้นคมกริบเล่มหนึ่งมาจากไหน พลันพุ่งตรงเข้าใส่หรงรุ่ยทันที
อวี่ฉีเห็นฉากนี้เข้าก็อดสบถด่าคนเขียนนิยายเรื่องนี้ในใจไม่ได้ ทว่าหลังจากลังเลเพียงเสี้ยววินาทีเธอก็โผเข้าไปใช้ร่างทั้งร่างบดบังหรงรุ่ยเอาไว้
คมมีดสั้นอันเย็นเฉียบแทงเข้ามาตรงหัวไหล่ เสียงฉึกดังขึ้นเมื่อมีดทะลุผ่านเนื้อเข้าไป เลือดสด ๆ ไหลซึมออกมาทันที ความเจ็บปวดเจียนตายแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่าง ขาสองข้างพลันอ่อนแรง ก่อนร่างกายจะทรุดฮวบลงไปกับพื้น
อวี่ฉีได้ยินเสียงหรงรุ่ยร้องเรียกชื่อในเสี้ยววินาทีก่อนเธอจะหมดสติไป
ดูเหมือนว่าภารกิจจะ…สำเร็จแล้ว
——————————————-
หรงรุ่ย จบ
ตอนพิเศษเรื่องราวหลังจากนี้ของหรงรุ่ยจะอยู่ในเล่ม 4 นะคะ
—————————————————————