ราชันเร้นลับ 736: เก้าอี้สามตัว

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ 736: เก้าอี้สามตัว โดย Ink Stone_Fantasy

เซนอล วิญญาณอาฆาตที่ไคลน์กำลังควบคุม ทะลวงผ่านชั้นดินและกรวดหนามาอยู่ฝั่งเดียวกับชารอน ภาพตรงหน้าคือที่วางแขนของเก้าอี้ซึ่งอยู่ในสภาพแตกหัก สลักลวดลายไม่สมมาตร แม้จะค่อนข้างคล้าย แต่ก็ยังแตกต่างกับเศษไม้ที่พบเมื่อครู่

พี่วางแขนอันนี้มีสีดำ แต่ไม่ใช่ดำบริสุทธิ์ ลวดลายสีแดงเข้ม ราวกับนำเลือดและเหล็กมาหลอมรวมกัน

เมื่อหวนนึกถึงฉากจากฝันร้ายในอดีต ไคลน์ยืนยันว่านี่ไม่ใช่เก้าอี้พนักสูงที่เมดีซีเคยนั่ง

กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันคือเก้าอี้ตัวที่สอง!

ในห้องที่วิญญาณมารถูกผนึกไว้ มีเก้าอี้พนักสูงอย่างน้อยสองตัว!

ทั้ง ‘ไคลน์’ และชารอนไม่กล่าวสิ่งใด แยกกันสำรวจรอบๆ เพื่อมองหาร่องรอยใหม่

ผ่านไปสักพัก พวกเขาพบหลักฐานที่บ่งชี้ว่ามีเก้าอี้พนักสูงตัวที่สามอยู่ด้วย!

เป็นขาเก้าอี้สีแดงเข้ม ลวดลายสีดำบริสุทธิ์ แตกต่างจากเศษไม้สองชนิดก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง

“บางที อาจเป็นเพราะยุคสมัยที่สี่นิยมความไม่สมมาตร” ไคลน์รู้ว่าชารอนมักไม่ชวนคุยก่อน จึงลองเสนอแนวคิดที่แม้แต่ตัวเองก็เชื่อไม่ลง

ภายในฝันร้ายที่เกิดจากฝีมือวิญญาณมาร เก้าอี้พนักสูงตัวนั้นมีเนื้อไม้สีเดียวกันทุกส่วน!

ชารอนส่ายหน้า

“…สามตัว ฟังดูสอดคล้องกับพิธีกรรมมากกว่า”

เธอกำลังหมายความว่า ในพิธีกรรมที่ ‘จักรพรรดิโลหิต’ อลิสต้า·ทูดอร์ประกอบขึ้นเพื่อสังหารผู้บริสุทธิ์ เหยื่อไม่ได้มีเพียงหนึ่ง และเหตุการณ์น่าจะเกิดขึ้นภายในห้องที่วิญญาณมารถูกผนึก

ไคลน์สะดุ้งเล็กน้อย ภาพหนึ่งสว่างขึ้นมาในความคิด

ท่ามกลางห้องมืดที่กว้างขวาง เก้าอี้พนักสูงสามตัวที่แตกต่างกัน ถูกจับหันหน้าชนกันเป็นวงกลมในจุดหนึ่ง บนเก้าอี้แต่ละตัวมีร่างไร้ชีวิตของมนุษย์นั่งอยู่ในสภาพศีรษะก้มต่ำ หนึ่งในนั้นคือ ‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซี

เมื่อฉากดังกล่าวชัดเจนขึ้น ไคลน์เริ่มนึกถึงอีกสองข้อมูลสำคัญ

วัตถุดิบหลักของโอสถลำดับ 0 ‘จักรพรรดิมืด’ จะประกอบไปด้วย ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางหนึ่งชิ้น และตะกอนพลังของลำดับ 1 อีกสองชิ้น (ไม่รวมของตัวเอง)

ดูเหมือนว่า ‘จักรพรรดิโลหิต’ อลิสต้า·ทูดอร์จะถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยนจากลำดับ 1 ‘องค์ชายวิปลาส’ ของเส้นทางจักรพรรดิมืด ไปเป็นลำดับ 0 ‘นักบวชสีชาด’ ของเส้นทางที่ไม่ใกล้เคียงกัน ทำให้ต้องกลายเป็นเทพกึ่งเสียสติ!

ท่ามกลางความคิดมากมาย ไคลน์สรุปผลอย่างรวดเร็ว

ห้องนี้เคยเป็นสถานที่เลื่อนขั้นของลำดับ 0… มีการประกอบพิธีกรรมที่เปลี่ยนให้เทวทูตกลายเป็นเทพที่แท้จริง!

แน่นอน อ้างอิงจากพิธีกรรมอันซับซ้อนของจักรพรรดิมืด พิธีกรรมในห้องคงเป็นเพียงการปรุงยาและดื่มโอสถ เพราะเส้นทางที่เป็นตัวแทนของ ‘สงคราม’ ย่อมต้องมีพิธีกรรมใหญ่ซึ่งเกี่ยวข้องกับความโกลาหลและการต่อสู้ระดับทวีป

เนื่องจาก ‘จักรพรรดิโลหิต’ อลิสต้า·ทูดอร์ไม่มีตะกอนพลังของลำดับ 1 ในเส้นทางของตัวเอง… จึงต้องหันไปปรุงโอสถ ‘นักบวชสีชาด’ แทน… เพื่อการนั้น อลิสต้า·ทูดอร์ต้องใช้เทวทูตลำดับ 1 จำนวนสามคนหรือสมบัติปิดผนึกที่เกี่ยวข้องเป็นวัตถุดิบหลัก… นั่นคือเหตุผลว่าทำไมห้องนี้ถึงมีเก้าอี้พนักสูงอยู่สามตัว!

ไม่ผิดแน่… วิญญาณมารที่ต้องสงสัยว่าจะเป็น ‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซีเคยกล่าวไว้ว่า วิธีที่จะคลายผนึกให้มันได้คือการค้นหาทายาทสายเลือดบริสุทธิ์ของตระกูลเซารอน ไอน์ฮอร์น และเมดีซี จากนั้นก็นำเลือดของแต่ละตระกูล คนละสิบมิลลิลิตร มาผสมกับน้ำศักดิ์สิทธิ์… ตระกูลเซารอนและไอน์ฮอร์นล้วนครอบครองเส้นทาง ‘นักล่า’ หรืออีกชื่อหนึ่งคือนักบวชสีชาด ปกครองทวีปมาตั้งแต่ยุคสมัยที่สี่ แต่ปัจจุบันมีหนึ่งตระกูลเริ่มเสื่อมถอย ควบคุมได้เพียงหน่วยข่าวกรองของอินทิสและทหารบางกลุ่ม ส่วนอีกหนึ่งตระกูลยังคงปกครองจักรวรรดิฟุซัคในฐานะราชวงศ์… หลังจากความคิดมากมายแล่นผ่าน สิ่งที่เกิดขึ้นภายในห้องนี้ทำให้ไคลน์ผุดสมมติฐานใหม่เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของวิญญาณมาร

บนเก้าอี้พนักสูงอีกสองตัว เหยื่อทั้งสองคือบรรพบุรุษของตระกูลเซารอนและไอน์ฮอร์น เทวทูตลำดับ 1!

เมื่อรวมเข้ากับ ‘เทวทูตสงคราม’ เมดีซีซึ่งมีแนวโน้มจะถือครอง ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทาง วัตถุดิบหลักสำหรับการปรุงโอสถ ‘นักบวชสีชาด’ จึงครบถ้วนสมบูรณ์!

และวิญญาณมารดังกล่าวคงไม่ใช่แค่ ‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซีเพียงตนเดียว แต่ยังรวมถึงเศษเสี้ยวของวิญญาณและความเกลียดชังจากบรรพบุรุษตระกูลเซารอนและไอน์ฮอร์นด้วย!

ให้ตายสิ… ที่นี่เคยมีการสังเวยเทวทูตถึงสามตน! หมายความว่า คำสาปแช่งก่อนตายของพวกมันทำให้ห้องนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ชวนให้อึดอัด นอกจากนั้น ผลของพิธีกรรมยังผนึกห้องไว้โดยสมบูรณ์ ทำให้วิญญาณมารออกไปไม่ได้? โชคดีที่เราแจ้งให้โบสถ์หลักทราบ พวกเขาจึงมาจัดการถล่มให้แทน ไม่อย่างนั้น หากพึ่งพาเพียงฝีมือของตัวเอง ต่อให้เรากับชารอนเป็นลำดับ 4 ทั้งคู่ แต่ก็อาจต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ กลายเป็นอาหารของวิญญาณมาร… ไคลน์รู้สึกหวาดหวั่น แต่ลึกๆ ก็เจือความยินดี

ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มเริ่มเข้าใจถึงเหตุผลที่ไพ่ ‘นักบวชสีชาด’ ตกอยู่ในมือวิญญาณมาร เป็นเพราะดวงวิญญาณลำดับ 1 ทุกคนบนเส้นทางถูกฝังอยู่ในซากอาคารแห่งนี้ กฎแรงดึงดูดของเส้นทางจึงชักนำไพ่เย้ยเทพเข้ามาหาด้วยอำนาจอันแรงกล้า

นอกจากนั้น จักรพรรดิโรซายล์ยังเคยกล่าวไว้ว่า ทุกสิ่งที่แยกจากกันจะต้องมาบรรจบกันในสักวัน และสิ่งที่รวมกันจะต้องแยกจากกันในสักวัน… หลังจาก ‘จักรพรรดิโลหิต’ อลิสต้า·ทูดอร์ร่วงหล่น ตะกอนพลังของเทพแท้จริงก็ควรจะแบ่งออกเป็นสี่ส่วน…

ส่วนแรกคือ ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทาง เป็นได้ทั้งนามธรรมและวัตถุ ส่วนที่เหลือคือตะกอนพลังของลำดับ 1 จำนวนสามก้อน… เป็นเหตุผลว่าทำไม เมื่อใครบางคนกลายเป็นเทพ เส้นทางเดียวกันจะขาดแคลนผู้วิเศษลำดับ 1 โดยปริยาย…

อย่าบอกนะว่า… มีตะกอนพลังราวหนึ่งถึงสองก้อนของลำดับ 1 เส้นทางนักบวชสีชาด ถูกวิญญาณมารดึงดูดเข้ามาในห้องปิดตายนี้ด้วย? และเป็นสาเหตุที่ไพ่เย้ยเทพในเส้นทางเดียวกันยิ่งถูกดึงดูดเข้ามาได้ง่าย! เมื่อเริ่มค้นพบความจริง ไคลน์เพิ่งตระหนักว่าตนดูแคลนวิญญาณมารตนดังกล่าวเกินไป

สมกับเป็นเทวทูตที่พัฒนามาจาก ‘นักวางแผน’ … ไคลน์ที่ยืนใต้ต้นไม้ บังคับให้เซนอลกล่าว

“ที่นี่น่าจะมีพิธีกรรมเกิดขึ้น… และถ้าเกี่ยวข้องกับ ‘จักรพรรดิโลหิต’ อลิสต้า·ทูดอร์ ระดับของพิธีกรรมต้องสูงมากแน่”

ชารอนฟังอย่างตั้งใจ ก่อนจะกล่าวเสริม

“เซารอน ไอน์ฮอร์น เมดีซี”

นั่นสินะ… แม้แต่มาดามชารอนก็ยังสงสัยว่า บุคคลผู้เคยนั่งบนเก้าอี้ทั้งสามตัว น่าจะเป็นเทวทูตที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคำขอร้องของวิญญาณมาร… ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก บังคับให้เซนอลขยับปาก

“ ‘จักรพรรดิโลหิต’ อลิสต้า·ทูดอร์คือเทพแห่งเส้นทางนักล่า… ไพ่เย้ยเทพที่เกี่ยวข้องจึงเป็นนักบวชสีชาด”

ชารอนเงียบงันสองสามวินาที คล้ายกับเข้าใจบางสิ่ง

“ไพ่ใบนั้นไม่อยู่แล้ว”

เธอหมายถึงไพ่นักบวชสีชาดที่วิญญาณมารเคยแสดงให้ดู

“บางที… วิญญาณมารคงหนีออกไปก่อนที่เหยี่ยวราตรีและจิตแห่งจักรกลจะลงมือทำลายที่นี่” ไคลน์กล่าวในสิ่งที่ตนคาดเดา “ขณะเดียวกันก็นำตะกอนพลังทั้งหมดรวมถึงไพ่นักบวชสีชาดติดตัวไปด้วย”

ชารอนมองไปรอบตัว หันจนครบครึ่งวงกลม

“มันฉลาดมาก… แถมยังเจ้าเล่ห์… ไม่เหลืออะไรทิ้งไว้เลย”

นั่นสินะ… แต่น่าแปลก ตะกอนพลังจำนวนสองก้อนในห้องด้านนอกไม่น่าจะถึงลำดับ 4 ด้วยซ้ำ วิญญาณมารที่เคยเป็นราชาเทวทูตอย่างมันไม่น่าจะแยแส ไพ่นักบวชสีชาดก็เหมือนกัน… ยังพอจะเข้าใจได้ถ้ามันหยิบติดตัวไปสักอย่างสองอย่าง แต่ทำไมถึงไม่เหลืออะไรไว้เลย? ราวกับกำลังพูดว่า ‘ฮ่าฮ่า! คิดว่าข้าตายไปแล้วใช่ไหมเจ้าโง่! ข้าหนีออกไปได้สำเร็จต่างหาก! แน่จริงก็ตามจับให้ได้สิ!’ … หรือนี่จะเป็นข้อความที่มันจงใจทิ้งไว้เยาะเย้ยพวกเรา? เจตนาให้รู้ว่ายังไม่ตาย… ไคลน์ครุ่นคิด ก่อนจะบังคับให้เซนอลกล่าวติดตลก

“ผิดแล้ว… การที่ไม่เหลืออะไรทิ้งไว้เลย ไม่เกี่ยวกับความเจ้าเล่ห์… แต่เป็นเพราะลำดับ 8 ของเส้นทางนักล่าคือ ‘นักยั่วยุ’ ”

ทันใดนั้น ภาพ ‘นักบวชสีชาด’ ที่ผุดขึ้นในความคิดชายหนุ่มถูกซ้อนทับด้วยใบหน้าแอนเดอร์สัน·ฮู้ด

ชารอนฟังเงียบงัน อ้าปากเล็กน้อย แต่ไม่ได้กล่าวคำใด

เช่นเดียวกับไคลน์ มันเงียบไปสักพัก ตระหนักว่าลีลาการชีวิตของเส้นทางนักล่าช่างไม่เหมือนใคร

เมื่อเทียบกันแล้ว เอลเลนผมแดงดูไม่เหมือนกับคนจากตระกูลเซารอนสักเท่าไร

แต่เธอเองก็เคยยั่วโมโหพลเรือโทโรคภัยไว้ไม่น้อย… เรียกได้ว่ามีพรสวรรค์ทางด้านนี้… นอกจากนั้น ลีลาการยียวนของตระกูลเซารอนคงทำให้จักรพรรดิโรซายล์โกรธ จึงวางแผนเล่นงานพวกมันจนเกือบล่มจม… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ รำพันกับตัวเอง

บรรยากาศเงียบสงบถูกชายหนุ่มทำลายลงอย่างรวดเร็ว เซนอล หุ่นเชิดของไคลน์ มองไปรอบตัว กล่าวติดตลก

“บางที นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาถูกจับนั่งเก้าอี้”

“แล้วใครเป็นคนช่วยอลิสต้า·ทูดอร์?” ด้วยร่างกายมายาโปร่งใส ชารอนตั้งคำถาม แต่ดูเหมือนจะไม่ต้องการคำตอบ

“…อาจเป็นหกเทพจารีต” ไคลน์หวนนึกถึงเทวรูปในหกห้องโถงด้านนอก

ทว่า มันเริ่มลังเล

“แต่อาจไม่ใช่ก็ได้ จากในบันทึก เจ็ดเทพจารีตอยู่ฝ่ายจักรวรรดิทรันซอสต์ซึ่งมีเซารอนและไอฮอร์นเป็นขุนนางใหญ่… หรืออาจเป็นไปได้ว่า ตอนแรกพวกท่านออกตัวสนับสนุนทูดอร์ก่อน แต่ภายหลังตีตัวออกหากเพราะอลิสต้า·ทูดอร์เริ่มเสียสติ”

แต่ถ้าไม่ใช่ฝีมือหกเทพจารีต หมายความว่ามีเทพแท้จริงตนอื่นคอยหนุนหลังอลิสต้า·ทูดอร์… แล้วใครกัน? ไคลน์ครุ่นคิด

ชารอนไม่มัวรีรอ นำร่างลอยขึ้น ผ่านชั้นดินและกรวด กลับไปยังต้นไม้ใหญ่

ไคลน์เก็บวิญญาณอาฆาตของเซนอลไว้ในเหรียญทองในกล่องบุหรี่โลหะ ซักถามโดยไม่มองหน้า

“อันที่จริง ผมสงสัยเรื่องหนึ่งมานานแล้ว… วิญญาณมารและวิญญาณอาฆาตบริสุทธิ์ที่ปราศจากตะกอนพลัง… สามารถใช้พลังพิเศษได้ยังไง?”

“โลกวิญญาณ” ชารอนตอบห้วน

หืม… หมายความว่า ‘กฎการอนุรักษ์พลังพิเศษ’ จะใช้ได้กับตะกอนพลังเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับแหล่งที่มาของพลัง? นั่นสินะ… บางทีโลกวิญญาณอาจเป็นผลผลิตจากตะกอนพลังพิเศษบางชนิดก็ได้… ไคลน์พยักหน้า ก้มมองดินเปียกใต้ฝ่าเท่า

“ผมจะค้นหาที่ซ่อนตัวของวิญญาณมารตนนั้นต่อ ถ้ามีความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบ”

ชายหนุ่มตั้งใจจะกลับไปถาม ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดส

กล่าวจบ ไคลน์หยิบปากกาและกระดาษ ตวัดเขียนขั้นตอนการอัญเชิญผู้ส่งสารของตน ยื่นให้ชารอน

“ถ้ามีเรื่องอะไรก็เขียนจดหมายมาหาได้”

ชารอนรับกระดาษ อ่านอย่างจริงจังและกล่าว

“ฉันจะอยู่ที่ผับวีรบุรุษ… ถ้าเป็นจดหมาย สามารถส่งไปที่อาคารหมายเลข 126 ถนนการ์ด จ่าหน้าซองถึงมาดามมาเรีย”

“ตกลง” ไคลน์เก็บปากกาในลงในกระเป๋าเสื้อ สร้างกำแพงวิญญาณด้วยกริชเงินต่อหน้าชารอน ผนึกกล่องบุหรี่โลหะ

ถัดมา ชายหนุ่มเดินเปลี่ยนถนนอีกหลายเส้นก่อนจะโบกรถม้าด้วยมาดสุภาพบุรุษ ส่งชารอนกลับไปยังย่านสะพานเบ็คลันด์

จัดการทั้งหมดเสร็จ ไคลน์กลับโรงแรมหรูในเขตฮิลสตันที่ตนเช่าไว้ ระหว่างทางมีการเปลี่ยนรถม้าและเปลี่ยนรูปลักษณ์

บายัม ผับสาหร่ายทะเล

เดนิสผู้ต้องอยู่ในทะเลเป็นเวลานาน ในที่สุดก็กลับมาถึงเมืองแห่งการให้ เตรียมทำหน้าที่เป็นคนกลาง คอยประสานงานกับกลุ่มต่อต้าน

มันกดหมวกลง เดินไปนั่งตรงมุมผับ รอฟังข่าวลือใหม่ๆ จากนักผจญภัยและโจรสลัด ด้วยเกรงว่าตัวเองจะตกข่าว พลาดท่าเสียทีและถูกเปลี่ยนเป็นเงินค่าหัวอย่างน่าสมเพช

ทันใดนั้น มันได้ยินนักผจญภัยด้านข้างพูดกับเพื่อนฝูง

“นายกำลังจะบอกว่า… อีกไม่นาน เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะมองหาคนช่วยเบิกเงินค่าหัวของพลเรือเอกโลหิต?”

อะไรนะ…? เดนิสเงยหน้าอย่างลืมตัว มองไปทางคนพูดด้วยสายตาเหม่อลอย

……………………………………………………….