“นี่เจ้าเสียสติไปแล้วเช่นนั้นรึ” วิเซนเตผู้มีร่างกายผ่ายผอมดั่งโครงกระดูก จ้องมองลูเซียนด้วยความตกตะลึง เสียงทุ้มต่ำของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ และลูกไฟในดวงตาของเขาก็ขยับไหวรุนแรง

ครานี้จะไม่มีหยาดโลหิตและเนื้อสมองที่สาดกระจาย และไม่มีกะโหลกศีรษะของผู้ใดระเบิดโพลง แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกันเล่าหากจอมเวทส่วนใหญ่ต้องติดแหง็กเพราะโลกทัศน์ของพวกเขาพังทลายลง นี่มันไม่วิกลจริตเกินไปรึ

แม้ว่าสมาชิกคนอื่นๆ ของสภาสูงสุดจะไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าและแววตาของพวกเขาล้วนบ่งชี้ว่าพวกเขาก็คิดเหมือนกับเจ้าแห่งผีดิบ มันบ้าระห่ำเกินไป ‘จะถ่ายทอดสดการทดลองที่แม้แต่พวกเขายังหวาดกลัวให้จอมเวททุกคนดูเช่นนั้นรึ เจ้านี่ช่างสมกับเป็นดาวประกายพรึกร่วงเวหาจริงๆ‘

ลูเซียนยังคงแย้มยิ้มสุภาพขณะกล่าว “การหยุดนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานมิได้หมายความว่าจะหมดหวังกับการเลื่อนระดับขั้นนะขอรับ ตราบใดที่พวกเขามองและสำรวจโลกโดยยึกหลักจากการทดลองและคณิตศาสตร์ พวกเขาก็จะสามารถปรับเปลี่ยนโลกทัศน์และค้นพบเส้นทางของตนใดได้ไม่ช้าก็เร็ว มันจะไม่ส่งผลให้เกิดปัญหาแอบแฝงมากจนเกินไปหรอกขอรับ”

“หากพวกเขาไม่มีความกล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับการทดลองประเภทที่หาได้เป็นภัยต่อชีวิตพวกเขาไม่ แล้วพวกเขาจะสำรวจค้นคว้าในเรื่องที่สามัญสำนึกกลับกลายเป็นไร้เหตุผลไปเสียได้อย่างไร หากเราไม่สอนพวกเขาเกี่ยวกับความลี้ลับแห่งขอบเขตโลกจุลภาคด้วยการทดลอง ก่อนที่ความคิดเห็นเกี่ยวกับกับโลกแห่งอนุภาคจะกลายเป็นส่วนประกอบในโลกแห่งปัญญาของพวกเขา เช่นนั้นเราจะเปิดเผยผลลัพธ์หลังจากที่จิตใต้สำนึกของพวกเขาแปลงความคิดเห็นเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งปัญญาในระหว่างกันเลื่อนระดับขั้นหรือขอรับ หากเป็นยามนั้น ไม่ว่าเราจะระมัดระวังเพียงใด และไม่ว่าผลการทดลองจะเป็นไปตามสามัญสำนึกของคนส่วนใหญ่หรือไม่ก็ตาม ย่อมต้องมีคนที่ศีรษะระเบิด โลกแห่งปัญญาของบางคนอาจพังทลายและถูกแช่แข็ง”

ดักลาสค่อนข้างเห็นด้วยกับคำพูดของลูเซียน แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล “การถ่ายทอดสดจะไม่เป็นการเร่งร้อนเกินไปหรือ เราควรจะพิสูจน์ยืนยันการทดลองเสียก่อน ก่อนที่เราจะคิดว่าเราควรบอกจอมเวทคนอื่นๆ อย่างไรนะ”

“นี่ก็เป็นอีกบททดสอบหนึ่งของพวกเขาขอรับ ที่ผ่านมา พวกเขาแทบจะได้รับการปกป้องจากพวกเราอยู่ตลอด ทำให้พวกเขาไม่เข้าใจ ‘ความโหดร้าย’ ของอาร์คานาศาสตร์ ในเมื่อครั้งนี้ไม่มีอะไรอันตรายถึงชีวิต เราก็ควรปล่อยให้พวกเขาได้เผชิญหน้ากับแรงกระแทกเสียบ้าง ด้วยประสบการณ์เช่นนี้ เมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับทฤษฎีแหวกขนบทั้งหลายในอนาคต พวกเขาก็จะสามารถมองทฤษฎีเหล่านั้นได้อย่างเป็นกลางยิ่งขึ้น และความเสี่ยงจากการที่สมองจะระเบิดก็จะลดลงด้วยเช่นกัน” ลูเซียนยังคงยิ้มเยือนอย่างสุภาพ แต่มิทราบอย่างไร นาตาชาและคนอื่นๆ ที่คุ้นเคยกับเขาดีต่างสัมผัสได้ถึงความหงุดหงิดในน้ำเสียง

“ฟังดูสมเหตุสมผล…” แฮทธาเวย์และเฮลเลนพยักหน้าเห็นด้วยกับลูเซียน แต่ทั้งสองยังคงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

ลูเซียนพูดต่อ “ในทางกลับกัน ข้าเชื่อว่าฝ่ายอื่นๆ จะต้องอยากรับชมการถ่ายทอดสดนี้ด้วยเช่นกัน การทดลองในครั้งนี้เป็นแบบเรียบง่าย ชัดเจน และประกอบด้วยความจริงของโลก มันจะสร้างความตื่นตะลึงใหญ่หลวงให้แก่พวกเขาเช่นกัน เราควรปล่อยให้พวกเขาได้สัมผัสถึงกระแสเชี่ยวกรากแห่งอาร์คานาอีกครั้ง”

“หากไวเค็นดับสูญไปหลังจากได้เห็นผลการทดลอง การทดลองทั้งสองอย่างที่เจ้าคิดค้นขึ้นคงจะเป็นการทดลองที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว” ในฐานะนักเขียนบทละคร โอลิเวอร์มีความคิดสร้างสรรค์ยิ่ง ในใจเขาเต็มไปด้วยไฟปรารถนาแห่งการสร้างสรรค์ยามที่เขานึกภาพฉากที่ตนบรรยาย

จนถึงปัจจุบันนี้ พื้นฐานอาร์คานาและการทดลองเวทมนตร์ที่เป็นที่ยอมรับได้ดีที่สุดก็คือการทดลองช่องเปิดคู่ด้วยอิเล็กตรอนที่ลูเซียนเป็นผู้ควบคุมจัดการ การออกแบบของมันทั้งเรียบง่ายและชัดเจน และแม้ว่ามันจะสร้างอุปกรณ์เครื่องมือในการทดลองได้ยาก แต่มันก็หาได้ยุ่งยากซับซ้อนจนเกินไป ทว่า ผลการทดลองนั้นกลับเหลือเชื่ออย่างที่สุด

ดักลาสอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มกว้างเช่นกัน “จอมเวทส่วนใหญ่เติบโตมาภายใต้การโจมตีจากทฤษฎีล้มล้างของเจ้าอย่างต่อเนื่อง พวกเขาคงจะต้านทานการทดลองทั้งสองอย่างนี้ได้ดีกว่าผู้ที่รับชมเป็นครั้งแรก บางที ใครบางคนอาจเกิดความรู้สึกท่วมท้นมากๆ และเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับชีวิตและตัวพวกเขาเอง ยังผลให้มิอาจเลื่อนขั้นพลังได้ในอนาคต”

ที่ว่า ‘เจ้า’ เขามิได้หมายถึงเพียงลูเซียนเท่านั้น แต่รวมถึงเหล่ามหาจอมเวทและนักเวทชั้นตำนานส่วนหนึ่งที่อยู่ในที่นี้

เฟอร์นันโดกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้เมตตาเหมือนปกติ “นั่นเป็นเพราะ จอมเวทที่ไม่อาจทานทนต่อการโจมตีได้ ย่อมถูกสังหารหรือถูกกำจัดไปอย่างไรเล่า”

รอยยิ้มของดักลาสพลันเลือนหายไป เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ข้าเองก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับการทดลองทั้งสองอย่างนี้เช่นกัน ความคิดแรกของข้าหลังจากที่ข้าได้เป็นมนุษย์ครึ่งเทพก็คือ ข้าสามารถลงมือหาผลลัพธ์ ซึ่งจะบรรจุความลับขั้นพื้นฐานมากมายของโลกเรา ข้าไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้เจ้าสัมผัสถึงมันได้หรือไม่ แต่สถานะมนุษย์ครึ่งเทพที่ข้าอธิบายไปนั้นตรงกันกับคุณสมบัติทวิภาคของคลื่น–อนุภาคอย่างมาก คลื่นและอนุภาคจะรวมเป็นหนึ่งเดียวในระดับสูง แต่เราสามารถสังเกตการณ์มันได้เพียงด้านเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ การสำรวจศึกษาความลี้ลับแห่งควอนตัมก็คือการสำรวจศึกษาความลี้ลับแห่งมนุษย์ครึ่งเทพ”

“ถ้าเช่นนั้น เราก็ถ่ายทอดสดกันเถิด” บรูกเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลง เขาดูท่าทางตั้งตาคอยผลลัพธ์จากทั้งสองการทดลองเช่นกัน

หลังจากที่ทฤษฎีสนามควอนตัมที่ใช้อธิบายพลังแม่เหล็กไฟฟ้าถูกคิดค้นก่อตั้งขึ้น โลกแห่งปัญญาที่พังทลายและถูกแช่แข็งของเขาก็เริ่มฟื้นตัวกลับมาแล้ว ตราบใดที่ไขปริศนาแห่งอนันตภาพได้ เขาก็จะฟื้นตัวหายดี และสามารถค้นหาเส้นทางสู่การเป็นมนุษย์ครึ่งเทพของเขาเอง

“เช่นนั้น เราก็ถ่ายทอดสดเถิด” ดักลาสพยักหน้า

ครึ่งเดือนต่อมา นักเรียนจากโรงเรียนสายสามัญแห่งที่สาม ผู้ที่เพิ่งจะกลับจากวันหยุดยาวปีใหม่ของปี 830 พลันได้รับการแจ้งเตือนว่าคาบเรียนเช้าของพวกเขาถูกยกเลิก พวกเขาถูกเรียกให้ไปรวมตัวกันที่จัตุรัส ซึ่งมีจอภาพจัดตั้งไว้เพื่อรับชมการทดลองแบบถ่ายทอดสด

“การทดลองแบบถ่ายทอดสดงั้นหรือ การทดลองอันใดกัน” หลังจากใช้ชีวิตด้วยกันมามากกว่าสองปี อาลีจึงสนิทสนมกับเพื่อนร่วมชั้นของตนดี

ชาร์ล็อต หัวหน้าชั้นที่เขาถาม เพียงยักไหล่ บอกเป็นนัยๆ ว่าตัวเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน “บางที ช่องโทรทัศน์ดาวเทียมอาจเชิญจอมเวทระดับสูงสักคนมาทำการทดลองแบบถ่ายทอดสดกระมัง แล้วทางโรงเรียนก็จัดให้เรามารับชม เพื่อที่เราจะได้เรียนรู้กระบวนการการทดลองขั้นพื้นฐานและเข้าใจความสำคัญของการทดลองทางอาร์คานา…”

‘อธิบายยืดยาวได้คล่องแคล่วเพียงนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้อะไรเลยก็ตาม…สมแล้วที่เขาได้รับตำแหน่งหัวหน้าห้องของเรา’ อาลีประทับใจอยู่ลึกๆ เขาทั้งสงสัยใคร่รู้และสับสนเกี่ยวกับการถ่ายทอดสด สำหรับคนธรรมดาๆ ที่ยังไม่ได้เป็นแม้แต่ผู้ฝึกใช้มนตรา เขาไม่คิดว่าเขาจะมีโอกาสที่สองในการรับชมการทดลองของจอมเวทระดับสูงอีกครั้งในชีวิตนี้

ต้องขอบคุณความก้าวหน้าทางอาร์คานา ขอบคุณดาวเคราะห์อาร์คานาที่ท่านประธานและท่านอีวานส์ประดิษฐ์คิดค้นขึ้น ขอบคุณการพัฒนาแบบก้าวกระโดดของการสื่อสารผ่านสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้า และขอบคุณท่านหญิงไฮดี้สำหรับคุณงามความดียากจะลืมเลือนที่มีต่อการสร้างจอภาพถ่ายทอดสด…มิเช่นนั้นแล้ว เขาคงไม่มีแม้แต่โอกาสในการรับชมมัน ไม่ต้องพูดถึงว่า ‘เป็นครั้งที่สอง’ เลย

‘อาร์คานาจงเจริญ นั่นแหละเสน่ห์ของอาร์คานาและเวทมนตร์ และนี่ก็คือโอกาสมากมายที่พวกมันนำมาให้’ อาลียกมือขึ้นทำสัญลักษณ์ไม้กางเขนด้วยติดเป็นนิสัยเพื่อแสดงความเคารพนับถือ

ภายในนครอัลลิน เรนทาโต โคคัส และทุกเมืองที่มีสาขาของสภาเวทมนตร์ เหล่านักเวทที่มีเวลาว่างทุกคนต่างเฝ้ามองจอภาพด้วยความงุนงง นึกสงสัยว่าจะเป็นการทดลองทางอาร์คานารูปแบบใดกัน

ภายในสถาบันอะตอม จอภาพที่มีขนาดเล็กกว่าปกติซึ่งไฮดี้สร้างขึ้นด้วยตัวเองกำลังส่งเสียงซู่ซ่ารอรับสัญญาณ

“จะเป็นการทดลองอะไรกันนะ” แอนนิคเป็นคนที่จดจ่อกับอาร์คานามาโดยตลอด

ไฮดี้ส่งเสียงขึ้นจมูก “ข้ารู้สึกสังหรณ์ไม่ดีชอบกล หากเราเห็นอาจารย์ของเราในการถ่ายทอดสดหลังจากนี้ล่ะก็ เราควรจะระเบิดจอภาพนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ มิเช่นนั้นแล้วมันอาจเป็นศีรษะของเราที่ระเบิดตูมก็เป็นได้”

ทุกคนระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความขบขัน ด้วยรู้ดีว่าไฮดี้เพียงแสดงข้อสงสัยและความไม่สบายใจแบบเกินจริงก็เท่านั้น

ในตอนนั้นเอง เสียงกระแสไฟฟ้าก็ดังก้อง แล้วจอภาพก็พลันชัดเจน เป็นภาพห้องที่เต็มไปด้วยเครื่องมืออุปกรณ์สำหรับการทดลอง เช่นเดียวกับชายชราท่าทางใจดีในชุดสูทหางยาวและชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคายที่อยู่ในจอภาพ

“เป็นอาจารย์ของเราจริงๆ ด้วย!” ไฮดี้กำมือทั้งสองข้างแน่น แต่นางก็มิได้ระเบิดจอภาพอย่างที่กล่าวไว้ นางกลับจดจ่อสมาธิไปที่ภาพ เฝ้ารอให้การทดลองเริ่มต้นขึ้น

การทดลองจะต้องสำคัญมากแน่ๆ มิเช่นนั้นอาจารย์ของพวกตนคงไม่เลือกที่จะถ่ายทอดสดอย่างแน่นอน

สัญชาตญาณของจอมเวทนักสำรวจโลกทำให้นางเอาชนะความกลัวและตั้งตารอชมการถ่ายทอดสด รอบๆ นาง แอนนิค สปรินต์ คาทรินา และสหายคนอื่นๆ ต่างก็มีท่าทีไม่ต่างกัน

“ท่านประธาน?”

“ท่านอีวานส์?”

เสียงอุทานดังไปทั่วหอคอยเวทมนตร์อัลลิน องค์กรหอคอย สำนักงานใหญ่ของเจตจำนงแห่งธาตุ และทุกๆ ที่ที่สามารถรับชมการถ่ายทอดสด ‘นี่คือการถ่ายทอดสดการทดลองของท่านประธานกับท่านอีวานส์อย่างนั้นหรือ’

หัวใจของพวกเขาพลันเต้นรัวด้วยความสงสัยใคร่รู้และคาดหวัง เช่นเดียวกับขลาดกลัวและตื่นตระหนก ท่านประธานนั้นยังพอทน แต่ความสำเร็จอัน ‘โดดเด่น’ มากมายของท่านอีวานส์นั้นทำให้พวกเขาสั่นสะท้านและหวาดผวาลงลึกถึงกระดูก ยกตัวอย่าง เช่น หนึ่งในบทพูดที่โด่งดังที่สุดในบทละครซึ่งใช้บรรยายถึงเหล่าจอมเวทก็คือ ‘ศีรษะของข้ายังอยู่ดีหรือไม่’

ไม่จำเป็นต้องพูดถึงชื่อเล่นของเขา อย่าง ‘เครื่องบดศีรษะ’ และ ‘นักกินสมอง’ เลย

“ทะ…ท่านประธาน…”

“ท่านผู้บัญชาอะตอม…”

“ดาวประกายพรึกร่วงเวหา…”

ภายในจัตุรัสและโรงเรียนทุกโรงเรียน คนธรรมดาทั่วไปได้เห็นดักลาสกับลูเซียนที่จงใจเก็บงำพลังของตน และพวกเขาก็เพิ่งจะตระหนักได้ว่าทั้งสองเป็นใครผ่านคำบรรยาย

“การทดลองที่มหาจอมเวททั้งสองจัดทำด้วยตัวเองเช่นนั้นหรือ” ดวงตาของอาลีแทบจะถลนออกมานอกเบ้า เป็นเรื่องที่อยู่เหนือจินตนาการแปลกๆ ของเขาไปไกล ไม่เพียงแต่ในจักรวรรดิเวทมนตร์เท่านั้น แต่กระทั่งในสภาเวทมนตร์ที่มิได้เคร่งครัดเรื่องชนชั้นวรรณะมากนัก นักเวทระดับสูงยังแทบไม่มีโอกาสได้เฝ้ามองการทดลองของท่านมหาจอมเวททั้งสองเลย หากว่าพวกเขามิใช่ลูกศิษย์สายตรงของพวกท่าน

ในสถานที่ต่างๆ อย่างโฮล์ม ‘มหาจอมเวท’ นั้นแทบจะเป็นอีกคำเรียกหนึ่งของคำว่า ‘พระเจ้า’

มหาจอมเวททั้งสองจะทำการทดลองใดในการถ่ายทอดสดครั้งนี้กันนะ

“อะไรนะ ดักลาสกับลูเซียน อีวานส์ กำลังจะถ่ายทอดสดการทดลองทางอาร์คานาเช่นนั้นรึ” ภายในนครศักดิ์สิทธิ์ พระสันตะปาปาไวเค็น ผู้ที่เพิ่งจะทำการรักษาประจำวันให้แก่เมลแม็กซ์เสร็จ ได้รับรายงานจากพระคาร์ดินัลเสื้อคลุมแดงผู้หนึ่ง

พระคาร์ดินัลเสื้อคลุมแดงผู้นั้นตอบด้วยความตื่นตระหนก “ขอรับ แต่ข้าไม่ทราบว่าเป็นการทดลองใด ข้ากังวลว่าข้าอาจถูกแสงศักดิ์สิทธิ์กลืนกิน ดังนั้น…”

“ตราบใดที่เจ้าศรัทธาและมีความแน่วแน่ เจ้าจักไม่ถูกแสงศักดิ์สิทธิ์กลืนกิน ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญหน้าอยู่กับสิ่งใด” ไวเค็นกล่าวด้วยท่าทีเคร่งขรึม จากนั้น เขาจึงใช้พลังศักดิ์สิทธิ์และรับสัญญาณถ่ายทอดสด

ภายในนครแอนทิฟเฟอร์ รูดอล์ฟที่สองเองก็เริ่มดูการถ่ายทอดสดเช่นกัน

……………………………..