โรงแรมโรยัลฮาวายเอี้ยนตั้งอยู่ใจกลางแหล่งท่องเที่ยวและย่านการค้าของโฮโนลูลู
ที่ฮาวาย อาคารจะถูกควบคุมอย่างเข้มงวดทำให้ไม่สามารถคาดหวังได้ว่าโรงแรมระดับสูงจะหรูหราเหมือนที่พบทางฝั่งตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตามพวกเขามีข้อได้เปรียบเป็นของตนเองซึ่งนั่นก็คือการที่นักท่องเที่ยวจะสามารถมองเห็นวิวทะเลที่สวยที่สุดในโลกได้โดยตรง คุณสามารถเดินบนผืนทรายนุ่มละเอียดและเพลิดเพลินไปกับแสงแดดพร้อมอากาศที่บริสุทธิ์ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมไปเพียงไม่กี่ก้าวได้
อย่างไรก็ตามอย่าได้ดูถูกดูแคลนประเด็นเหล่านี้ที่เหมือนไม่มีนัยสำคัญไปเป็นอันขาด ในความเป็นจริงแล้วภายในหัวใจของคนจำนวนมากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่เหนือกว่าที่อื่นก็ไม่สามารถมาแทนที่ความหรูหราใด ๆ ที่สร้างขึ้นมาได้
ยี่สิบนาทีหลังลงจากเครื่องบิน จางลี่เฉินก็ได้เข้ามานั่งอยู่ในรถของอลิซเพื่อเดินทางไปยังโรงแรมโรยัลฮาวายเอี้ยน เมื่อเขาเดินเข้าไปด้าน พนักงานที่ยืนรอต้อนรับก็เดินเข้ามาสอบถามเขาในทันที “เซอร์ มีอะไรให้ดิฉันช่วยเหลือหรือไม่คะ?”
“ผมชื่อจางลี่เฉินได้จองห้องพักที่นี่เอาไว้” ชายหนุ่มตอบก่อนจะหันหน้าไปมองอลิซที่เพิ่งผลักประตูเข้ามาหลังจากส่งโฟล์คสวาเกน บีเทิลของเธอให้พนักงานไปจอดรถพร้อมค่าตอบแทนสามดอลลาร์ “ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือทุกอย่างนะครับมิสอลิซ ผมสามารถจัดการที่เหลือต่อด้วยตัวเองได้แล้วในตอนนี้…”
แม้ว่าคำพูดของจางลี่เฉินจะดูเลี่ยง ๆ แบบสุภาพแต่มันก็ชัดเจนมากว่าเขาต้องการให้เธอจากไป ทันทีที่อลิซได้ยินเธอก็อ้าปากค้างพร้อมพูดว่า “คุณอยากให้ฉันไปงั้นเหรอ? นี่คุณกำลังไล่ฉันอยู่ใช่ไหม?”
จางลี่เฉินไม่ได้ตอบอะไรกลับเพียงแต่ส่งยิ้มให้เท่านั้น
เมื่อเจอคนหยาบคายแบบนี้เป็นครั้งแรกใบหน้าของหญิงสาวผิวคาราเมลก็ขึ้นสีแดงด้วยความไม่พอใจขึ้นมาทันที แต่หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเธอก็พูดขึ้นด้วยท่าทีสงบว่า “ฉันขอโทษมิสเตอร์ลี่เฉิน ทัศนคติของฉันที่มีต่อคุณในวันนี้หลังจากได้ไปรับคุณที่สนามบินเป็นสิ่งที่ค่อนข้างแย่ บางสิ่งที่น่ารำคาญกำลังชั่งน้ำหนักอยู่ในใจของฉันดังนั้น…ฉันได้ให้สัญญากับทีน่าไว้แล้วว่าฉันจะเป็นไกด์นำเที่ยวให้กับคุณ หวังว่าฉันจะได้รักษาสัญญาของตัวเอง ฉันต้องขอโทษคุณจริง ๆ ฉันเสียใจด้วย”
การจู่โจมอย่างอ่อนโยนของหญิงสาวตรงหน้าที่ลดทัศนคติของเธอลงทำให้จางลี่เฉินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับด้วยคำโกหกไปว่า “มิสอลิซ ที่ผมต้องการให้คุณจากไปเพราะผมไม่ต้องการรบกวนคุณมากเกินไปกว่านี้อีกแล้ว เนื่องจากคุณยินดีที่จะเป็นไกด์ให้แน่นอนว่าผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยรอผมที่ล็อบบี้ระหว่างที่ผมไปเก็บของที่ห้องก่อนจะได้ไหม? แล้วผมจะรีบลงมา”
“ก็ได้ เอาแบบนั้นก็ได้” หญิงสาวตอบก่อนจะหันหน้าไปทางที่นั่งรอล็อบบี้ของโรงแรมที่สามารถมองเห็นทะเลสีฟ้าผ่านประตูหลังที่มีผู้คนกำลังเดินเข้าออกเป็นระยะ ๆ
ขณะที่ทั้งคู่แยกตัวออกจากกัน ในเวลาเดียวกันนั้นได้มีเรือใหญ่ลำหนึ่งกำลังแล่นผ่านผิวน้ำทะเลที่นิ่งสงบในมหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณสามถึงสี่ไมล์ทะเลจากเกาะโอวาฮู นกนางนวลหลายสิบตัวบินต่ำอยู่เหนือผิวน้ำเพื่อจับปลาตัวเล็ก ๆ ที่ลอยขึ้นมาเป็นอาหาร
โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า คลื่นทะเลม้วนตัวสร้างความวุ่นวานครั้งใหญ่ คลื่นขนาดใหญ่จำนวนมากที่ถูกสร้างขึ้นโดยน้ำทะเลรวมตัวเข้าด้วยกัน มันถูกสร้างเป็นประตูขนาดยักษ์ที่มีความสูงประมาณหกถึงเจ็ดเมตรและมีความกว้างประมาณสามถึงสี่เมตร ประตูลึกลับนี้ถูกแกะสลักด้วยลวดลายที่ซับซ้อนในขณะที่มันส่องประกายภายใต้แสงอาทิตย์ มันเป็นเหมือนกับคริสตัลสีน้ำเงินชิ้นใหญ่
นกนางนวลไม่สามารถหยุดตัวเองได้ทันเวลาก่อนจะหายตัวเข้าไปในประตูกลางเวหาขนาดใหญ่นี้ ของเหลวในร่างกายพองตัวจนทำให้ร่างของมันระเบิดออกเป็นหมอกเลือด
เลือดนกนางนวลสาดกระเซ็นลงมาจากประตูคริสตัลสีฟ้า แต่ก่อนที่มันจะหยดลงสู่ทะเลทันใดนั้นประตูยักษ์ก็ถูกเปิดออก เรือไม้โบราณที่มีชิ้นส่วนหลายชิ้นถูกปะด้วยตะปูแล่นออกมาจากมันก่อนจะตกลงไปในมหาสมุทรแปซิฟิก
เรือโบราญลอยลำอยู่กลางทะเลอย่างเงียบ ๆ ไม่นานหลังจากนั้น ชายคนหนึ่งที่มีความสูงกว่าสองเมตรและทั่วทั้งตัวก็ถูกคลุมไปด้วยเกราะหนัก ๆ ได้ลุกขื้นยืนจากดาดฟ้าเรือพร้อมถือดาบยาวอยู่ในมือ
เขาส่ายหัวขณะยืนนิ่งก่อนจะถอดหมวกเหล็กออกเผยให้เห็นปากทรงกว้างและจมูกที่คล้ายกันกับสิงโต เมื่อมองไปที่มหาสมุทรแปซิฟิกที่นิ่งสงบและสวยงาม ชานคนนั้นก็ตะโกนอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาว่า “ที่นี่คือโลกของปีศาจพวกนั้น! หากปราศจากแมกมา เปลวไฟ และความเศร้าโศกเสียใจ โลกของพวกเขาช่างสวยงามและเงียบสงบเหมือนกับของพวกเรา! พวกเขาเองก็มีโลกเป็นของตัวเองอยู่แล้วทำไมถึงยังต้องการไปที่โลกของเราอีกด้วย… ”
เมื่อคนที่เหมือนสิงโตร้องโวยวาย ชายในชุดคลุมสีดำที่ปกปิดตัวอย่างมิดชิดก็ลุกยืนขึ้นบนดาดฟ้าเรือโบราณแล้วพูดว่า “เป็นเพราะเราอ่อนแอเมื่อเทียบกับพวกเขา เรื่องง่าย ๆ ที่ใครก็เข้าใจ แคสเดีย หยุดทำตัวยิ่งใหญ่และคำพูดจาที่น่าโอหังแบบนั้นซะ เจ้าและผองเพื่อนยังเคยตัดหัวคนเถื่อนหลายพันคนก่อนที่จะฉกฉวยดินแดนของพวกเขามาอยู่เลย…”
“แต่คนพวกนั้นเป็นพวกคนป่าไร้อารยธรรม! พวกคนเถื่อนที่เชื่อในวิญญาณชั่ว ๆ ก็ไม่ต่างอะไรจากสัตว์ร้าย ในทางกลับกันพวกเราเป็นคนที่มีอารยธรรมแห่งศรัทธา…”
“เจ้าเห็นเรือลำใหญ่นั่นไหม?” ชายในชุดคลุมสีดำชี้ไปที่เรือขนาดยักษ์ที่กำลังจะหายไปบนพื้นทะเลก่อนที่จะชี้มาที่เรือไม้ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา ด้วยน้ำเสียงประชดกระชันแต่จริงจังเขาเอ่ยถามไปว่า “เจ้าคิดว่าในสายตาของผู้ที่สามารถสร้างเรือเหล็กขนาดยักษ์เช่นนั้นได้จะมองเจ้าผู้ซึ่งมีอารยธรรมแห่งศรัทธาเป็นพวกเดียวกันกับพวกคนเถื่อนที่เจ้าเคยตัดหัวไปหรือไม่?”
“ท่านกำลังดูถูกทุกคนในชาติเรดไอรอนที่เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริง! มันคือการดูหมิ่นต่อพระเจ้า!” แคสเดียไม่สามารถยอมรับคำพูดของชายในชุดคลุมสีดำได้ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจโบกดาบยาวในมือชี้ไปที่คอของชายในชุดคลุมสีดำในทันใด
ชายในชุดคลุมสีดำมองดูปลายดาบที่กำลังจะเฉือนคอด้วยท่าทีนิ่งสงบ ขณะที่เขากำลังจะถูกตัดหัว เสียงอันแหบห้าวที่น่าเกรงขามก็ดังก้องกังวานขึ้น “พอได้แล้วแคสเดีย! ที่นี่คือโลกของพวกปีศาจ ดินแดนที่ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงอำนาจที่แท้จริงของพระเจ้า เราต้องการความช่วยเหลือจากประชาชนชาติเรดไอรอนทุกคนไม่ว่าพวกเขาจะเป็นเช่นไรก็ตาม อย่าลืมว่าเผ่าโกลเด้นโรสได้เสียสละหนึ่งในสามทหารองครักษ์ของพวกเขาและจอมเวทย์ไปหลายสิบคนเพียงเพื่อทำลายการป้องกันเครื่องจักรโลหะปีศาจเหล่านั้นและให้พวกเราก้าวเข้าสู่โลกใบนี้ได้สำเร็จ มีคนบนเรือน้อยมากที่รอดพ้นจากความวุ่นวายของเวทน้ำมาได้ ด้วยเหตุนี้เราจำต้องรักษาทุกพลังที่เรามี!”
ดาบยาวหนัก ๆ หยุดกวัดแกว่งในทันใด แคสเดียผู้กล้าหาญและแข็งแกร่งดุจสิงห์กัดฟันด้วยความไม่พอใจก่อนจะเก็บดาบลงและพูดขึ้นว่า “เข้าใจแล้ว ท่านนักปราชญ์อัลท์แมน”
“จอมเวทย์ยูลีนาสและแคสเดียจะควบคุมอารมณ์ของตัวพวกเขาเอง หวังว่าทั้งคู่จะระวังคำพูดกันให้มากกว่านี้ ในฐานะผู้ไร้ศรัทธา บางทีเจ้าอาจสามารถหลบหนีจากการเฝ้าดูของท่านเทพในดินแดนปีศาจแห่งนี้ได้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่าภาคภูมิใจนัก” คนที่สามที่ขึ้นมายืนอยู่บนดาดฟ้าคือคนแก่หลังค่อม เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีม่วงมีผมสั้นแต่บริเวณตรงกลางศีรษะเขาโกนผมทิ้งไปจนหมด
แม้เขาจะดูแก่แต่แววตาเต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาด มือของเขากำลังถือหนังสือเล่มหนาอยู่ตรงหน้าซึ่งเขาไม่ยอมปล่อยวางมันลงแม้แต่ครู่เดียว
“ท่านนักปราชญ์อัลท์แมน ข้าคือผู้ที่เคารพใน ‘พิษ’ และ ‘กรด’ ข้าเป็นหมอผีไม่ใช่จอมเวทย์…แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ จะเป็นความเชี่ยวชาญใดก็ไม่สำคัญแล้วในตอนนี้ สิ่งสำคัญคือเราจะต้องไม่สูญเสียพลังของพวกเราไปอีกแม้แต่น้อย” ยูลีนาสตอบกลับก่อนจะกางแขนของเขาและร่ายคาถาออกมาสองสามบท ในไม่ช้าหยดของฟองสีเขียวเข้มสกปรกที่มีขนาดเท่าลูกปิงปองก็พุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขา
เมื่อเห็นลูกสีเขียวเล็ก ๆ เช่นนี้แล้วใบหน้าของแคสเดียก็เต็มไปด้วยความระมัดระวังไปในทันที เขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อปกป้องนักปราชญ์อัลท์แมนพร้อมหยิบโล่ที่มีขนาดเท่ากับกระทะจากด้านหลังมาถือมันไว้ในมือของเขา แสงสีเหลืองที่คล้ายกับเปลวไฟกำลังลุกไหม้ร่างกายของเขาภายในพริบตาก่อนจะขยายโล่เป็นโล่ขนาดใหญ่อย่างลึกลับ
“พระเจ้าอวยพร แคสเดีย ดูเหมือนว่าทั้งเจ้าและยูลีนาสจะยังไม่สูญเสียพลังไปแต่อย่างใด” ดูเหมือนอัลท์แมนจะไม่ได้เห็นการเผชิญหน้าการประลองสู่ความตาย เขาเปิดหนังสือเล่มหนาในมือ มองดูเรือยักษ์และนกนางนวลที่วาดขึ้นบนหน้ากระดาษ “อำนาจการปกครองความจริงของข้าถูกปิดกั้นแต่ข้ายังพอมีพลังในการเห็นแจ้งอยู่ ดูเหมือนว่าโลกนี้จะไม่ต้อนรับพลังของพระเจ้า แต่มันทนต่อพลังของมนุษย์อย่างมาก เอาล่ะ พวกเราควรหันไปดูว่ายังมีคนของเราเหลืออีกกี่ชีวิต จากนั้นก็ขึ้นไปบนฝั่งเพื่อทำตัวเยี่ยงคนบนโลกปีศาจนี้ ไม่มีเวลาเหลือมากพอสำหรับชาติเรดไอรอนอีกแล้ว”
เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของนักปราชญ์ ทั้งนักรบและหมอผีก็แยกย้ายกันไปอย่างเงียบ ๆ พลังลึกลับในร่างกายของพวกเขาพร้อมที่จะระเบิดออกมาเมื่อใดก็ได้ตามที่ต้องการ จากนั้นพวกเขาก็เริ่มทยอยนับผู้รอดชีวิตที่เหลืออยู่บนเรือ
ไม่กี่วินาทีต่อมาร่างคนประมาณเจ็ดถึงแปดคนก็ลุกขึ้นยืนบนดาดฟ้าของเรือโบราณเพื่อโยนศพลงทะเลพร้อมกับชุดเกราะและอาวุธต่าง ๆ
เมื่อลดภาระของเรือให้ได้น้อยที่สุดเสร็จแล้วมีชายร่างผอมบางคนพบไม้พายจากห้องเก็บของและก็เริ่มพายเรือไม้ตรงไปยังเกาะโอวาฮู
เมื่อเรือโบราณตัดผ่านลมและคลื่นขณะเดินทางไปข้างหน้า จางลี่เฉินผู้ซึ่งวางกระเป๋าไว้ในห้องพักโรงแรมเสร็จก็ได้โทรหาแม่ของเขาเพื่อแจ้งข่าวให้เธอรู้ว่าเขาเดินทางมาถึงฮาวายได้อย่างปลอดภัยแล้วก่อนจะกลับไปนั่งอยู่ในรถของอลิซเพื่อขับรถเล่นไปตามถนนในโฮโนลูลู
“อลิซ ผมคิดว่าเราควรไปที่ท่าเรือกันก่อนเพื่อสอบถามเวลาการเดินเรือไปเกาะคาไวพรุ่งนี้” ชายหนุ่มมองต้นปาล์มที่อยู่ตามข้างทางในขณะที่เขาเริ่มพูดแบบเป็นกันเอง
“มิสเตอร์ลี่เฉิน คุณจะต้องเดินทางไปเกาะคาไวโดยเครื่องบิน มีเพียงหนึ่งเที่ยวบินทุก ๆ สองวันในตอนเช้า หรือพูดอีกอย่างคือคุณสามารถไปเกาะคาไวได้ในวันรุ่งขึ้นเท่านั้น” หญิงสาวที่ตั้งใจสอนบทเรียนบางอย่างให้จางลี่เฉินแกล้งกุเรื่องขึ้นมาสร้างความเข้าใจผิด ๆ
“โดยเครื่องบิน? บ้าเอ้ย! ผมหาข้อมูลมาแค่เฉพาะการเดินทางมาฮาวาย โธ่! งั้นตอนนี้ก็ต้องจองตั๋วก่อนเลย”
“ไม่จำเป็นต้องจองตั๋วก่อนหรอก เครื่องบินที่ไปเกาะคาไวไม่ค่อยมีคนมากนัก คนส่วนใหญ่ที่มาฮาวายก็จะพักกันที่โฮโนลูลูสองสามวันก่อนออกเดินทางกันทั้งนั้น กำหนดการที่ฉันจัดให้ในวันนี้คือการพาคุณไปตลาดฮาวายดั้งเดิมที่ ๆ นักท่องเที่ยวไม่ค่อยได้สัมผัสอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่ จากนั้นฉันจะพาไปหาเพื่อนสองสามคนเพื่อพาคุณตั้งปาร์ตี้บาร์บีคิวและตั้งแคมป์กันนอกเมืองโฮโนลูลูที่เขตภูเขาไฟเพื่อให้คุณได้รู้ว่าชาวฮาวายท้องถิ่นชอบที่จะใช้เวลาในช่วงฤดูร้อนกันอย่างไร”
“ตั้งแคมป์? มันจะไม่เป็นอะไรสำหรับผู้หญิงเช่นคุณที่จะออกมาค้างคืนข้างนอกหรอกเหรอ?” คำพูดของจางลี่เฉินที่ดูเหมือนจะเจตนาดีแต่กลับฟังดูเหมือนเป็นการเยาะเย้ยในหูของอลิซอีกครั้ง
“ไม่ต้องห่วง มันก็แค่การดื่มเบียร์และย่างบาร์บีคิวในช่วงฤดูร้อนกับเพื่อนสนิทที่ฉันรู้จักมาตั้งแต่เด็ก ๆ ก็เท่านั้น หนุ่ม ๆ สาว ๆ ในวัยเดียวกันและพ่อแม่ของฉัน ไม่ต้องเป็นกังวลไป” หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า “แต่สำหรับคุณแล้วฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าคุณจะกล้าไปที่นั้นไหมนะ ขอเตือนล่วงหน้าไว้ก่อนก็แล้วกันว่าการพักค้างคืนในเขตพื้นที่ภูเขาไฟน่ะน่ากลัวไม่แพ้สิ่งใดเหมือนกัน!”
จางลี่เฉินมองไปที่หญิงสาวด้านข้างและแตะกระเป๋าข้างขาเขาอย่างสังหรณ์ใจก่อนที่จะยิ้ม “ผมได้อ่านออนไลน์ว่ามีพื้นที่ชีวมณฑลที่ไม่เหมือนใครรอบ ๆ ภูเขาไฟฮาวายอยู่ และแต่ละเกาะก็มีความแตกต่างกัน ผมมีความตั้งใจที่จะไปดูมันจริง ๆ”
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังพูดอยู่หญิงสาวก็จอดรถของเธอด้านหน้าของตึกระฟ้าห่างจากชายหาด “นั่นเป็นเรื่องที่เยี่ยมมากมิสเตอร์ลี่เฉิน ฉันจะช่วยทำให้คุณคุ้นเคยกับ ‘ชีวมณฑล’ ที่ไม่เหมือนใครรอบ ๆ บริเวณภูเขาไฟของโฮโนลูลูในคืนนี้เอง