ตอนที่ 410 ซุปมังกรบิน โดย Ink Stone_Fantasy
“เสี่ยวเซียน นี่แม่เองนะ ลูก…ลูกสลบไปตั้งหลายวันเลยละ”
เมื่อเห็นลูกสาวฟื้นขึ้นมา นางหูก็ตรงรี่เข้าไปอยู่ข้างเตียงทันที พอเริ่มพูด น้ำตาก็ ร่วงรินลงมาดัง “เปาะแปะ” ในช่วงหลายวันมานี้ที่ลูกสาวป่วย ทำให้เธอทุกข์ร้อนใจไปไม่น้อยเลย
หูหงเต๋อดึงแขนลูกสะใภ้แล้วพูดว่า “พอแล้ว รีบไปต้มโจ๊กมาให้เสี่ยวเซียนเถอะ เอ้อ ฉันไปด้วยดีกว่า ไอ้เป๋ซุนมันยังมีโสมดีอยู่อีกต้นหนึ่ง ถ้าฉันไม่ไปด้วยเธอคงเอามาไม่ได้หรอก!”
คนเก็บโสมบนภูเขาฉางไป๋นี้ โดยปกติจะต้องมีของช่วยชีวิตเก็บไว้ในคลังอยู่เสมอ อย่างโสมครึ่งต้นของไอ้บอดเมิ่งนั้น ก็ช่วยชีวิตเขาไว้ได้หลายครั้งแล้ว
ไอ้เป๋ซุนที่หูหงเต๋อพูดถึงนี้ ก็เป็นคนเก็บโสมที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในถิ่นภูเขาฉางไป๋ เนื่องจากสมัยหนุ่มเคยล้มขาหักตอนที่ไปเก็บโสม หลังจากรักษาหายแล้วก็กลายเป็นเดินขากะเผลก จึงได้ฉายานามนี้มาด้วยเหตุนี้เอง
“ชิงหย่า เธออยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวเซียนนะ ฉันจะกลับไปนอนที่โรงแรมสักงีบ เหล่าหู เราออกไปด้วยกันเลยนะ!”
เมื่อเห็นว่าหูเสี่ยวเซียนไม่เป็นอะไรแล้ว เยี่ยเทียนก็วางใจลง แต่แล้วก็รู้สึกเจ็บแปลบที่สมองขึ้นมาทันที และยังวิงเวียนศีรษะอีกด้วย เขารู้ว่า นี่คงจะเป็นอาการข้างเคียงหลังจากดวงจิตสูญสลายไปแน่ๆ
“เยี่ยเทียน คือว่า คือ…ไม่รู้จะขอบคุณเธอยังไงดีเลยละ!”
พอเยี่ยเทียนพูดออกไปแล้ว หูต้าจวินและภรรยาถึงเพิ่งจะนึกได้ว่าตัวเองมัวแต่สนใจลูกสาว แต่ยังไม่ได้ขอบคุณเยี่ยเทียนผู้มีพระคุณใหญ่หลวงเลยสักคำ ใบหน้าจึงร้อนวาบขึ้นมาทันที
เยี่ยเทียนโบกมือ “ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับอธิการหู ผมกับเสี่ยวเซียนก็เป็นเพื่อนกัน พวกคุณอยู่เฝ้าเสี่ยวเซียนเถอะครับ ผมจะกลับไปก่อนละ”
“เฮ้ เยี่ยเทียน เดี๋ยวฉันไปส่งคุณนะ!” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเดินออกไปจากห้อง หูหงเต๋อก็รีบตามไปทันที
“เยี่ยเทียน คุณไม่เป็นไรแน่นะ? สีหน้าดูไม่ดีเลยนี่นา” อย่าเห็นว่าหูหงเต๋อเป็นคนใจร้อนวู่วาม เขาเองก็มีสายตาละเอียดอยู่เหมือนกัน จึงเห็นว่าสีหน้าของเยี่ยเทียนหลังจากที่รักษาโรคให้หลานสาวนั้น แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
“พลังชี่เสียหายไปนิดหน่อยน่ะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก เหล่าหู วันสองวันนี้อย่ามารบกวนผมนะ ผมว่าจะพักผ่อนดีๆ สักหนึ่งวัน”
เมื่อก่อนที่พลังชี่ถูกกระทบกระเทือนนั้น อาการคือร่างกายรู้สึกไม่สบาย แต่ในการปะทะครั้งนี้เยี่ยเทียนเสียดวงจิตไป อาการเจ็บแปลบที่สมองแบบนี้ เขาจึงเพิ่งจะเคยประสบเป็นครั้งแรก
“ได้ ฉันจะไปส่งคุณเองนะ!”
หูหงเต๋อพยักหน้า เขาเองก็เป็นคนที่ให้ความสำคัญต่อน้ำใจไมตรีอย่างมาก แต่การขอบคุณนั้นถึงพูดด้วยปากไปก็ไม่มีประโยชน์ หูหงเต๋อจึงตัดสินใจไว้แล้วว่า จะขุดโสมแก่อายุร้อยปีบนภูเขาเหล่านั้นมาให้เยี่ยเทียน
หลังจากกลับไปถึงที่ห้อง เยี่ยเทียนก็ฝืนทนความไม่สบายบนร่างกาย แล้วนั่งขัดสมาธิบนเตียงโคจรลมปราณหนึ่งรอบ จากนั้นถึงจะเอนกายลงนอนเคลิ้มหลับไป
เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน พอเขาตื่นขึ้นมา อาการเจ็บแปลบในสมองก็หายเป็นปลิดทิ้งแล้ว
เขาลุกไปเลิกม่านหน้าต่างของโรงแรมออก หิมะข้างนอกหยุดตกแล้ว แต่หิมะที่ทับถมกันยังไม่ละลายไป เมืองทั้งเมืองจึงเหมือนถูกปกคลุมไว้ด้วยแป้งพอกหน้าสีขาวหนึ่งชั้น เยี่ยเทียนเงยหน้าขึ้นไปมองพระอาทิตย์ ดูลักษณะแล้วน่าจะเป็นตอนบ่ายเวลาสามสี่โมง
เยี่ยเทียนยืนบริหารร่างกายอยู่ข้างหน้าต่าง พลางเริ่มขบคิดในใจ ถึงจะไดรับบาดเจ็บมาเล็กน้อย แต่การมาเที่ยวนี้ก็ถือว่าได้กำไรมาเยอะมากแล้ว
ตอนนี้เยี่ยเทียนยังฝึกไปไม่ถึงขั้นหลอมจิตสู่ความว่างเลยด้วยซ้ำ แต่ก็เกือบจะหลอมกาย ปราณและจิต ทั้งสามอย่างให้เป็นหนึ่งได้แล้ว การบรรลุระดับนี้ไม่ใช่จำทำสำเร็จกันได้ง่ายๆ เลย
“โครกคราก…โครกคราก!”
หูของเยี่ยเทียนพลันกระดิกทีหนึ่ง เขาได้ยินเสียง “โครกคราก” ดังขึ้นมาในห้อง ขณะกำลังคิดจะเงยหน้ามองหาต้นตอก็ฉุกคิดได้เสียก่อน และอดหลุดขำออกมาไม่ได้ เพราะที่แท้ก็เป็นเสียงท้องตัวเองร้องด้วยความหิวนั่นเอง
เยี่ยเทียนหยิบโทรศัพท์ของโรงแรมขึ้นมา แล้วต่อสายไปที่ห้องของอวี๋ชิงหย่า แต่กลับไม่มีคนรับสาย เขาคิดๆ ดูแล้วจึงโทรไปที่โทรศัพท์มือถือของเธอ
“เยี่ยเทียน ตื่นแล้วเหรอ? นายหลับไปสองวันเลยนะ พวกฉันอยู่ที่บ้านของเสี่ยวเซียนแล้วละ นายรีบมาเลยนะ!” ทันทีที่รับสาย เสียงของอวี๋ชิงหย่าก็พูดขึ้นอย่างดีใจ แล้วบอกที่อยู่บ้านของหูเสี่ยวเซียนให้เยี่ยเทียนรู้
“เอ้อ นี่พวกเธอกินข้าวรึยังน่ะ? ฉันจะไปหาอะไรกินก่อนนะ แล้วค่อยเข้าไปหา” เยี่ยเทียนลูบท้องตัวเอง จะไปบ้านคนอื่นตอนนี้ก็ยังไม่ใช่เวลามื้ออาหาร ไปเติมกระเพาะให้เต็มก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ
“พวกฉันกินแล้วละ อ้อ เยี่ยเทียน คุณปู่หูจะคุยกับนายน่ะ!”
อวี๋ชิงหย่าเพิ่งจะพูดไปได้ครึ่งเดียว โทรศัพท์ก็ถูกหูหงเต๋อแย่งไปเสียก่อน “เยี่ยเทียน มาที่บ้านนี่สิ เมื่อวานฉันขึ้นเขาไปล่ามังกรบินมาได้สองตัว จะได้บำรุงพลังชี่คุณเสียหน่อย!”
“ดีเลย เหล่าหู แล้วก็เตรียมอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ไว้ด้วยนะ ผมหิวสุดๆ ไปเลยเนี่ย” เยี่ยเทียนก็ต้องไม่เกรงใจหูหงเต๋ออยู่แล้ว หลังจากวางสายก็ไปเรียกรถมุ่งหน้าไปที่บ้านของหูเสี่ยวเซียนเลย
บ้านของหูเสี่ยวเซียนตั้งอยู่ในแถบชานเมือง แถวนั้นเป็นหมู่บ้านซึ่งเป็นบ้านหลังเดี่ยวพร้อมสวน หน้าบ้านแต่ละหลังต่างก็มีสวนขนาดใหญ่กันทุกหลัง และแบ่งสัดส่วนเป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง
‘เป็นรองอธิการก็ได้อยู่ที่แบบนี้แล้วรึเนี่ย? หูต้าจวินนี่คงไม่ใช่พวกข้าราชการทุจริตหรอกนะ?’ เมื่อเห็นสวนตรงหน้าที่ปัดกวาดหิมะไว้จนสะอาด เยี่ยเทียนก็เกิดความคิดนี้ขึ้นมาในสมอง
เพียงแต่เยี่ยเทียนไม่รู้ว่า บ้านหลังนี้ไม่ใช่ของพ่อแม่ของหูเสี่ยวเซียน แต่เป็นของหูเสี่ยวเซียนเอง โดยเป็นบ้านที่หูหงเต๋อซื้อให้หลานสาวในปีที่เธอสอบติดมหาวิทยาลัยหวาชิง
ในฐานะที่เป็นนักล่าโสมแก่ผู้โด่งดังที่สุดบนภูเขาฉางไป๋ โสมป่าแก่ที่หูหงเต๋อขายได้ในหลายปีที่ผ่านมารวมๆ แล้วก็เป็นราคาไม่ต่ำกว่าสิบล้าน จะซื้อบ้านแบบนี้สักหลังหนึ่งก็ย่อมไม่เป็นปัญหาอยู่แล้ว
“เยี่ยเทียน มาแล้วเหรอ มาๆ เข้าบ้านเร็ว!”
ตั้งแต่ได้รับโทรศัพท์จากเยี่ยเทียน หูหงเต๋อก็มายืนรออยู่หน้าประตูตลอด ทำเอาหูต้าจวินและภรรยาต่างก็รู้สึกขัดเขิน จนต้องฝ่าลมหนาวออกมายืนอยู่ข้างนอกเป็นเพื่อนพ่อด้วย
“เหล่าหู ทำไมจะต้องเกรงใจกันขนาดนั้นด้วยเล่า!” เยี่ยเทียนหัวเราะ เขากล่าวทักทายหูต้าจวินและภรรยา แล้วจึงเดินเข้าไปในบ้าน
“เยี่ยเทียน นายนี่นอนเก่งจริงๆ นะ ขนาดฉันเปิดประตูนายยังไม่ตื่นเลย!” เมื่อเห็นว่าแฟนหนุ่มมาแล้ว อวี๋ชิงหย่าก้รีบวิ่งเข้าไปหาเยี่ยเทียน แล้วจับมือของเขาไว้อย่างเป็นห่วง
เยี่ยเทียนยิ้มแย้ม “ไม่มีอะไรหรอก แค่เสียพลังชี่ไปนิดหน่อยน่ะ หลับไปสองวันก็ดีขึ้นแล้ว”
หูเสี่ยวเซียนก็เดินเข้ามาหาด้วย แล้วโค้งคำนับต่อเยี่ยเทียนเป็นอย่างสูง “เยี่ยเทียน ขอบคุณนะ ฉันได้ยินคุณปู่บอกแล้วละ ถ้าไม่ใช่เพราะนาย ป่านนี้ฉันก็คงไม่รอดแล้วละ”
“เฮ้ จะมาคำนับกันทำไมเล่า?” เยี่ยเทียนเกาศีรษะ แล้วหันไปตะโกนพูดกับหูหงเต๋อ “เหล่าหู ผมตั้งใจจะมากินข้าวนะ รีบไปยกกับข้าวมาตั้งโต๊ะเสียสิ!”
“ได้เลยคร้าบ รอประเดี๋ยวนะท่าน จะไปลำเลียงมาเดี๋ยวนี้แหละ!”
เสียงตะโกนของเยี่ยเทียนนี้ และการตอบรับอย่างกับบริกรของหูหงเต๋อ ทำให้ทุกคนต่างหัวเราะออกมาดังลั่นห้อง บรรยากาศภายในห้องที่ตอนแรกค่อนข้างตึงเครียดนั้นก็ผ่อนคลายลงทันที
เมื่อผ่านไปราวๆ เจ็ดแปดนาที หูหงเต๋อก็หิ้วหม้อแขวนใบหนึ่งเดินเข้ามาในห้องรับแขก แล้วเรียกเยี่ยเทียนไปนั่งในห้องอาหารที่อยู่ติดกับห้องรับแขก “เยี่ยเทียน นี่คือซุปมังกรบินตุ๋นโสมคน ฝีมือของฉันนี่รับรองว่าคุณกินแล้วต้องอร่อยจนแทบจะเคี้ยวลิ้นตัวเองกลืนลงไปด้วยเลยละ!”
“หอมจังเลยเหล่าหู ฝีมือไม่เลวเลยนี่นา!”
เยี่ยเทียนยังไม่ทันได้เริ่มกิน ลำพังแค่เห็นน้ำซุปสีขาวข้นและได้กลิ่นหอมเตะจมูก ท้องก็เริ่มร้อง “จ๊อกๆ” ขึ้นมาแล้ว เขาใช้ช้อนตักซุปเข้าปากไปคำหนึ่ง แล้วที่ปลายลิ้นก็สัมผัสได้ถึงรสชาติสดหวานอย่างหนึ่งที่ยังไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อนเลย
“เยี่ยเทียน ซุปนี่น่ะใช้ซุปไก่ตัวเมียเป็นหัวซุป แล้วก็ใส่เห็ดสดจากในป่า นี่ถ้าไปอยู่ในสมัยโบราณละก็ ต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็ไม่ได้กินหรอก” พอได้ยินเยี่ยเทียนชื่นชมฝีมือของตัวเอง หูหงเต๋อก็ยิ้มออกมาจนแก้มแทบปริ
ซุปหม้อนี้หูหงเต๋อตั้งอกตั้งใจทำจริงๆ เขาไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนจะตื่นมาตอนไหน จึงตุ๋นซุปไก่ตัวเมียไว้หม้อหนึ่ง พอเยี่ยเทียนบอกว่าจะมาเมื่อไร ก็ค่อยใส่มังกรบินลงหม้อไป
นอกจากนี้ โสมคนครึ่งต้นที่อยู่ในซุปนั้น หูหงเต๋อก็กึ่งขอกึ่งแย่งมาจากไอ้เป๋ซุน และเป็นโสมแก่ที่มีอายุถึงหนึ่งร้อยกว่าปีแล้ว ถ้าเอาไปขายข้างนอก อย่างน้อยๆ ก็คงได้อยู่หลายล้าน
“พ่อ ต่อไปพ่อล่ามังกรบินให้น้อยๆ หน่อยจะดีกว่านะครับ เดี๋ยวนี้รัฐเขาเริ่มเอาจริงกับการอนุรักษ์สัตว์ป่ามากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ” หูต้าจวินที่อยู่ในห้องรับแขกได้ยินทั้งสองคุยกัน จึงอดพูดขึ้นมาไม่ได้
“เหลวไหล ข้าเอามากินเอง ไม่ได้เอาไปขายนี่หว่า? เมื่อวานแกก็เพิ่งจะกินท่าทางอร่อยอยู่เลยไม่ใช่เรอะ?” หูหงเต๋อถลึงตาด่ากลับไป จนหูต้าจวินต้องหุบปากลงด้วยสีหน้าเขินอาย
หลังจากกินเนื้อมังกรบินไปหนึ่งคำ ก็เป็นอย่างที่หูหงเต๋อพูดมาจริงๆ เยี่ยเทียนแทบจะเคี้ยวลิ้นตัวเองกลืนลงไปด้วยเลย จึงอดพูดไม่ได้ว่า “เนื้อนี่สดอร่อยจริงๆ เลยนะ เหล่าหู ไว้เราไปล่าในป่ามากันอีกหลายๆ ตัวนะ ผมต้องเอาไปฝากศิษย์พี่กับคนที่บ้านบ้างแล้วละ!”
เยี่ยเทียนเป็นคนประเภทเดียวกับหูหงเต๋อ ก็คือไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน ไม่ได้มีเรื่องการอนุรักษ์สัตว์อะไรนั่นอยู่ในใจเลยสักนิด กฎที่คนในยุทธภพคล้อยตามกันก็มีแต่กฎปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้เข้มแข็งอยู่รอดเท่านั้น
“ดีเลย เราสองปู่นี่นิสัยเหมือนกันจริงๆ”
คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้หูหงเต๋อยิ้มแย้มอย่างชอบใจ แต่แล้วก็ทำหน้านิ่วไปทันที “เยี่ยเทียน คุณ…คุณคนเดียวแหละที่เป็นปู่ เรื่องอย่างนี้มันต้องพูดกันให้ชัดเจน”
พอหูหงเต๋อพูดอย่างนั้น ทุกคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ตาเฒ่าคนนี้ถึงนิสัยจะไม่ได้ดีเท่าไรนัก อ้าปากทีไรเป็นต้องด่าทอคนอื่น แต่ก็เป็นคนที่น่ารักจริงๆ
“คุณปู่คะ หนูก็อยากกินด้วย!” พวกสาวๆ อย่างหูเสี่ยวเซียนและอวี๋ชิงหย่าก็รี่เข้ามาตั้งแต่ตอนไหนไม่ทราบ แล้วมองไปที่หม้อใบนั้นตาละห้อย
รสชาติของมังกรบินนั้นไม่ใช่ว่าคนธรรมดาจะต้านทานได้ หูต้าจวินถึงปากจะพูดอยู่ว่าต้องอนุรักษ์สัตว์ป่า แต่ขนาดนั่งอยู่ในห้องรับแขก เขาก็ยังอดเหลือบมองไปทางห้องอาหารเป็นระยะไม่ได้เลย
หูหงเต๋อขึงตาใส่หลานสาวอย่างขุ่นเคือง “เมื่อวานพวกเธอก็กินไปแล้วไม่ใช่รึไง? เยี่ยเทียนเขาช่วยรักษาหลานจนเสียพลังชี่ไป ปู่ก็ต้องบำรุงเขาดีๆ สิ!”
“ใช่ พวกเธอไม่ต้องมาแย่งเลย ถ้าอยากกินอีกสองสามวันก็ไปขึ้นเขากับฉันแล้วกันนะ”
เยี่ยเทียนไม่รู้หรอกว่าอะไรคือความเกรงใจ คราวนี้เขาหิวจนไส้กิ่วมาตั้งแต่ตื่นนอนแล้ว และก็ไม่สนว่าซุปจะร้อนขนาดไหน หยิบช้อนซุปคันใหญ่ส่งซุปลงท้องไปคำแล้วคำเล่า เพียงไม่นานซุปทั้งหม้อก็หายไปจนมองเห็นก้นหม้อ
“ผีอดตายมาเกิดแท้ๆ เลย!” อวี๋ชิงหย่าค้อนใส่เยี่ยเทียนอย่างขุ่นเคือง ที่จริงเธอก็อยากจะซดซุปมังกรบินอีกสักหน่อยเหมือนกัน เพราะได้ยินมาว่าผู้หญิงกินแล้วจะช่วยให้สวยขึ้น
“ฮ่าๆ ถ้าไม่กินละก็สงสัยได้อดตายจริงๆ แล้วละ!”
เวลาอยู่ต่อหน้าอวี๋ชิงหย่า เยี่ยเทียนก็หนังหน้าหนามาแต่ไหนแต่ไร เขาหัวเราะฮ่าๆ แล้วมองไปทางหูหงเต๋อ “เหล่าหู เราไปหาที่คุยกันเถอะ”
พอมาถึงถิ่นฉางไป๋แห่งนี้แล้ว อยู่ดีๆ ก็ต้องไปประวิชากับคนอื่น เยี่ยเทียนจึงต้องอยากรู้เป็นธรรมดาว่า นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?
และตามหลักในยุทธภพนั้น ในเมื่อผูกความแค้นกับผู้อื่นไปแล้ว ก็จะต้องคลายปมนั้นลงให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการจับมือไกล่เกลี่ยหรือสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่งก็ตามที สุดท้ายก็จะต้องขีดเส้นยุติบทนี้ลงให้ได้