บทที่ 442.3 นกหายสาบสูญไปในโพรงน้ำแข็ง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

สีหน้าของเฉินผิงอันเลื่อนลอย

ปีนั้นตอนที่ยืนอยู่หน้าประตูรั้วไม้ของเมืองเล็กในถ้ำสวรรค์หลีจู

ในประตูคือเด็กหนุ่มขาเปื้อนโคลนที่ยังสวมรองเท้าสาน

นอกประตูคือไช่จินเจี่ยน ฝูหนันหัว สกุลสวี่แห่งนครลมเย็น วานรย้ายภูเขาแห่งขุนเขาตะวันเที่ยง เด็กหญิงที่บอกว่าจะย้ายภูเขาพีอวิ๋นกลับไปเป็นสวนดอกไม้ที่บ้านตัวเอง

นั่นเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้สัมผัสกับคนต่างถิ่นที่เดินทางมาท่องเที่ยวเมืองเล็ก แต่ละคนล้วนเป็นคนบนภูเขา คือเทพเซียนในสายตาของคนธรรมดา

ยังดีที่ในบรรดาคนเหล่านั้นยังมีแม่นางคนหนึ่งที่เคยเอ่ยว่า ‘มหามรรคาไม่ควรเล็กถึงเพียงนี้’

เฉินผิงอันมาถึงทะเลสาบซูเจี่ยน

เมื่อความดีและความเลวของตัวเองพุ่งชนกันจนเลือดโชกไหลนอง เขาถึงได้ค้นพบว่าที่แท้สภาพจิตใจของตนก็มีจุดด่างพร้อยมากมายขนาดนี้ แตกสลายไม่เหลือชิ้นดีขนาดนี้

ยกตัวอย่างเช่นเขาจำเป็นต้องเริ่มยอมรับว่าตัวเองก็คือคนบนภูเขาแล้ว อย่างน้อยก็ถือว่าใช่ครึ่งตัว

ไม่อย่างนั้นก็จะคอยต่อต้านตัวเองอยู่ในใจตลอดเวลาเพียงแค่เพราะบุคคลอย่างวานรย้ายภูเขา นี่ก็คือข้อบกพร่องบนมหามรรคา

ดังนั้นแม้ว่าปีนั้นเขาจะสร้างสะพานยาวสีทองขึ้นมาท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาของพื้นที่มงคลดอกบัวได้สำเร็จ แต่จิตดั้งเดิมของเฉินผิงอันกลับบอกตัวเองอย่างชัดเจนว่า

ขอแค่เดินขึ้นไปจริงๆ สะพานจะถล่มลงมา และเขาก็จะจมลงสู่ลำคลอง

เฉินผิงอันถอนหายใจ “ครั้งหนึ่งคือตอนที่หมุนตัว อีกครั้งหนึ่งคือตอนที่เหม่อลอย หนีชิวน้อย ข้าให้โอกาสเจ้าแล้วสองครั้ง แต่เจ้ากลับยังไม่กล้าสังหารข้าอย่างนั้นหรือ?”

นางเอ่ยเสียงเย็น “นี่ก็ยังอยู่ในแผนการของเจ้าไม่ใช่หรือ? ตามคำบอกของเจ้า กฎเกณฑ์มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง อยู่ที่นี่ เจ้าซ่อนกฎเกณฑ์ของเจ้าเอาไว้ อาจจะแอบร่ายค่ายกลอำพรางตา อาจจะเป็นเชือกพันธนาการปีศาจที่กำราบข้ามาได้ตั้งแต่เกิด ล้วนเป็นไปได้ทั้งหมด อีกอย่าง เจ้าเองก็บอกแล้วว่า เมื่อฆ่าเจ้า จะมีประโยชน์อะไรกับข้า ต้องเสียที่พึ่งอย่างหนึ่ง เสียยันต์คุ้มกันกายแผ่นหนึ่งไปเปล่าๆ”

เฉินผิงอันยิ้มพูด “นี่ถือว่าเหตุผลของข้าใช้ได้แล้วหรือไม่?”

ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็กำลังจะบอกว่าคนอย่างข้าดีแต่เลือกใช้เหตุผลที่ตัวเองต้องการใช่หรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าเบาๆ

นางคลี่ยิ้มอย่างเสแสร้ง “ท่านอาจารย์จะสั่งสอนข้าอย่างไร? ถานเซวี่ยล้างหูรอฟังแล้ว”

เฉินผิงอันเอ่ยว่า “เจ้าไม่ใช่คน เป็นแค่สัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งเท่านั้น หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก ปีนั้นตอนอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูก็ไม่ควรมอบให้เจ้าเด็กขี้มูกยืด หากเอาไปต้มกินก็คงไม่มีบัญชีเละเทะมากมายอย่างในตอนนี้”

นางยิ้มบางๆ “ข้าไม่โกรธ แล้วก็จะไม่ทำให้เจ้าสมใจปรารถนา ข้าจะไม่ให้โอกาสเจ้าได้ตัดขาดและขีดเส้นจำกัดขอบเขตกับข้า”

เฉินผิงอันจุ๊ปากพูด “มีพัฒนาการแล้ว แต่เจ้าไม่สงสัยหรือว่าข้ากำลังแสร้งข่มขู่ให้เจ้ากลัวอยู่หรือไม่?”

นางส่ายหน้า “ถึงอย่างไรหลังจากที่พูดคุยกันอย่างเปิดอก ข้าก็ได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย ยังมีหลักการเหตุผลข้อหนึ่งที่ข้าฟังเข้าหูแล้ว ตอนนี้ท่านเฉินกำลังทำความดีของคนดีเพื่อตัวเอง แม้ข้าจะทำไม่ได้ แต่ข้าก็สามารถอยู่ร่วมกับเจ้าอย่างว่าง่าย แค่ไม่ทำผิดอีกก็ได้แล้ว ถึงอย่างไรก็จะไม่เปิดโอกาสให้เจ้าได้หาข้ออ้างมาเล่นงานข้า แล้วแบบนี้จะไม่ยิ่งสามารถทำให้ท่านเฉิน ที่ฉลาดมาก แต่ก็ชอบรักษากฎเกณฑ์ ชอบใช้เหตุผล สะอิดสะเอียนได้มากหรอกหรือ? สังหารข้า มหามรรคาของกู้ช่านจะได้รับความเสียหาย สะพานแห่งความเป็นอมตะต้องขาดสะบั้น เขาไม่ได้มีความยืดหยุ่นและมานะอุตสาหะเฉกเช่นเจ้า ไม่มีปัญญาคลานไปทีละก้าวด้วยตัวเอง เกรงว่าคงกลายเป็นเศษสวะไร้ค่าไปชั่วชีวิต เฉินผิงอันเจ้าทนเห็นเขาเป็นอย่างนั้นได้จริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ก็จริง เจ้าเด็กขี้มูกยืดจะเปรียบเทียบกับข้าได้อย่างไร? คนที่แม้แต่มารดาตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าเป็นคนเช่นไร ไม่รู้ว่าสัตว์เดรัจฉานที่มหามรรคาเชื่อมโยงอยู่กับตนคิดเช่นไร แม้แต่เรื่องที่นอกจากหลิวจื้อเม่าจะใช้วิธีการอำมหิตโหดร้ายงัดข้อกับคนอื่นแล้ว ยังมีความสามารถในการควบคุมจิตใจคนอย่างไร แม้แต่กับลวี่ไช่ซางก็ยังไม่รู้ว่าควรจะผูกมัดใจเขาให้ได้จริงๆ อย่างไร หรือแม้กระทั่งกับคนโง่ฟ่านเหยี่ยนก็ยังไม่แม้แต่จะเต็มใจคิดให้มากว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนโง่จริงหรือไม่ แม้แต่หนึ่งในหมื่นของสถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดก็ยังไม่ยอมเสียเวลาคิดพิจารณา กู้ช่านที่เป็นเช่นนี้ เขาจะเอาอะไรมาแข่งกับข้าได้? ตอนนี้เขาอายุยังน้อย แต่ก็อยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน ทว่าต่อให้มอบเวลาให้เขาอีกสิบปียี่สิบปี เขาก็ยังไม่ยินดีจะคิดให้มากอยู่อย่างนี้”

คำพูดประโยคนี้พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยสบายๆ

เฉินผิงอันเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มือสองข้างรับไออุ่นอย่างเต็มที่ “เรื่องราวทางโลกก็ประหลาดเช่นนี้ ข้าสังหารปีศาจปลาไหล กลับกลายเป็นว่ามีเวรกรรมติดตัว กู้ช่านฆ่าคนบริสุทธิ์ของทะเลสาบซูเจี่ยนไปมากมายขนาดนั้น คนบางส่วนที่ฆ่าไปก็ถือว่าถูกต้องแล้ว แต่แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่คนส่วนน้อยเท่านั้น นอกจากผลกรรมใหญ่แล้ว กลับยังได้รับโชควาสนามาเพิ่มด้วย ทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเจ้าช่างเป็นสถานที่ที่ทำให้คนไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีจริงๆ หากไม่เล่นงานพวกคนธรรมดา เอาแต่เปิดฉากสังหารใหญ่กับผู้ฝึกตนอิสระอย่างเดียว คาดว่าคงฆ่ากันไปจนสิ้นซากแล้ว อย่างน้อยผลลัพธ์ที่ได้ก็คงเป็นความผิดและความชอบลดทอนหายกันไปกระมัง? แน่นอนว่าข้าไม่กล้ายืนยัน นี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาในช่วงเวลาที่เบื่อหน่ายเท่านั้น”

ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

คำกล่าวนี้ เมื่อปรากฎอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนก็สามารถนำมาใคร่ครวญขบคิดได้ซ้ำไปซ้ำมา

คนที่มีชีวิตอยู่เป็นเช่นนี้ คนที่ตายไปแล้วก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

นางยังคงยิ้มตาหยีกล่าวว่า “เรื่องราววุ่นวายอลวนเหล่านี้ ข้าไม่ท่านเฉินสักหน่อย ไม่คิดจะสนใจหรอกนะ ส่วนที่ด่าข้าว่าสัตว์เดรัจฉาน ขอแค่ท่านเฉินอารมณ์ดีก็พอ แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีถานเซวี่ยก็เป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่แล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มกว้างสดใส “เมื่อก่อนตอนที่อยู่บ้านเกิด ต่อให้ข้าจะเดินทางท่องไปในยุทธภพไกลนับพันนับหมื่นลี้มาถึงสองครั้ง แต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดี ต่อให้คนที่สำคัญต่อข้าอย่างมากสองคนจะบอกว่าข้าเป็นคนดีเกินเหตุ ข้าก็ยังไม่เชื่อแม้แต่น้อย ตอนนี้พอได้มาอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนระยำของพวกเจ้า ข้าผู้อาวุโสเกือบจะกลายเป็นอริยะผู้ทรงคุณธรรมอยู่แล้ว วิถีทางโลกชาติหมา กฎเกณฑ์ทะเลสาบซูเจี่ยนผายลมสุนัข พวกเจ้าคงกินขี้กันจนติดใจแล้วสินะ?”

นักบัญชีหนุ่มพูดไม่เร็ว แม้ว่าในน้ำเสียงจะแฝงไว้ด้วยคำถาม แต่เนื่องจากน้ำเสียงของเขาแทบจะไม่มีขึ้นลง จึงเหมือนคนกำลังเล่าเรื่องตลกอย่างไรอย่างนั้น

นางปิดปากหัวเราะคิก “ท่านเฉินแน่จริงก็ไปพูดกับกู้ช่านสิ ข้าฟังไม่เข้าหูหรอก มีแต่จะเห็นเป็นลมที่พัดผ่านหูไป ตอนนี้สภาพจิตใจของกู้ช่านไม่มั่นคง ไม่สู้เลือกวันไหนที่แสงแดดสาดส่องหลังหิมะตก แล้วท่านเฉินก็ไปนั่งอยู่บนม้านั่งไม้ไผ่กับเจ้าเด็กขี้มูกยืด คนหนึ่งพูด คนหนึ่งฟัง เหมือนกับก่อนหน้านั้นตอนที่อยู่บนโต๊ะอาหารอย่างไรล่ะ เชื่อว่าตอนนี้กู้ช่านน่าจะเต็มใจฟัง อาจจะยังไม่เห็นเป็นจริงเป็นจังอยู่เหมือนเดิม แต่อย่างน้อยก็เต็มใจรับฟังบ้างแล้ว”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าจะลองพิจารณาดู พูดคุยกับเจ้ามามากมายขนาดนี้ เจ้าและข้าต่างก็ลืมเรื่องที่คุยกันตอนแรกสุดไปแล้วหรือเปล่า?”

ถานเซวี่ยพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “วันนี้เป็นวันตงจื้อ ข้ามาเรียกท่านเฉินไปกินเกี้ยวฉลองที่ทั้งครอบครัวได้กลับมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา”

เฉินผิงอันเองก็พยักหน้าอีกครั้ง “ส่วนข้าก็รับปากกู้ช่านไว้ว่าจะมอบของให้เจ้าหนึ่งชิ้น รับเอาไป”

คือแผ่นหยกที่สลักคำว่า ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ แผ่นนั้น

นางขมวดคิ้ว ใช้ความคิดอยู่เล็กน้อย สุดท้ายก็ไม่ได้ยื่นมือไปรับ ‘ถ่านร้อน’ ก้อนนั้น เพียงแค่ปล่อยให้มันลอยอยู่ตรงหน้าตัวเอง ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังขาสงสัย

แล้วทันใดนั้นนางก็พลันขนลุกอยู่ในใจ ไม่ผิดไปจากที่คาด เกิดภาพประหลาดขึ้นบนแผ่นหินสีเขียวบนพื้น ไม่เพียงเท่านั้น เชือกพันธนาการปีศาจเส้นนั้นยังพุ่งพรวดออกมารัดพันเอวของนางไว้

นางหัวเราะเสียงเย็นไม่หยุด

แต่แล้วก็รู้สึกเหมือนจมลงในบ่อน้ำแข็ง

ก้มหน้าลงมอง แล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง

เส้นสีทองที่เล็กบางอย่างถึงที่สุดเส้นหนึ่งพุ่งจากผนังลามมาหยุดอยู่ตรงหน้าหัวใจของนาง จากนั้นอาวุธกึ่งเซียนที่ฉายประกายเฉียบคมเล่มนั้นก็ทะลุผ่านร่างของนางไป

เฉินผิงอันควักขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมา เทยาที่เก็บเป็นความลับในตำหนักวารีออกมาหนึ่งเม็ดแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็วางขวดยาไว้บนโต๊ะเบาๆ ยกนิ้วตั้งทาบริมฝีปากเป็นการบอกให้นางเงียบเสียง “ขอเตือนเจ้าว่าอย่างส่งเสียงดัง ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องตายทันที”

เฉินผิงอันเห็นว่านางไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ถูกอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งแทงทะลุหัวใจ ต่อให้เป็นก่อกำเนิดที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์สูงสุดก็ยังต้องบาดเจ็บสาหัส

เฉินผิงอันไม่สะทกสะท้านกับสภาพอันน่าสังเวชของนางเลยสักนิด เขาเพียงย่อยและดูดดึงปราณวิญญาณที่อยู่ในยาเม็ดนั้นเงียบๆ พลางเอ่ยช้าๆ ว่า “วันนี้เป็นวันตงจื้อ ตามประเพณีของบ้านเกิดต้องนั่งกินเกี้ยวร่วมกันหนึ่งมื้อ คำพูดที่ข้าเอ่ยกับกู้ช่านไปก่อนหน้านี้ เพราะตัวข้าเองเคยคำนวณความเร็วในการประสานตัวหายดีของบาดแผลเจียวหลงก่อกำเนิดอย่างพวกเจ้าได้คร่าวๆ แล้วก็คอยตรวจสอบดูสภาพร่างกายของกู้ช่านอยู่ตลอดเวลา บวกกับวิเคราะห์ว่าเจ้าจะขึ้นฝั่งมาเวลาใด ข้าจำเวลากินอาหารเย็นของจวนชุนถิงได้คร่าวๆ รวมไปถึงคิดว่ามีความเป็นไปได้เกินครึ่งที่เจ้าจะไม่ยินดีเผยกายให้ผู้ฝึกตนเกาะชิงเสียเห็น มีแต่จะใช้วิชาอภินิหารของเซียนดินมาเคาะประตูข้า ดังนั้นไม่ช้าไม่เร็ว หนึ่งก้านธูปก่อนที่เจ้าจะมาเคาะประตู ข้ากินยาบำรุงลมปราณไปถึงสามเม็ด แล้วเจ้าล่ะ เจ้าไม่รู้รากฐานที่แท้จริงของข้า อาศัยแค่ว่าตัวเองมีตบะก่อกำเนิด ยิ่งไม่ยินดีตรวจสอบจวนน้ำแห่งชะตาชีวิตของข้าอย่างละเอียด เจ้าจึงไม่รู้ว่า หากข้าคิดจะควบคุมกระบี่เซียนอย่างเต็มกำลังในเวลานี้ ยังพอจะทำได้ เพียงแต่ว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนค่อนข้างมากก็เท่านั้น แต่ก็ไม่เป็นไร มันคุ้มกันแล้ว ยกตัวอย่างเช่นเมื่อครู่นี้ที่ขู่เจ้าว่าหากขยับจะต้องตาย อันที่จริงนั่นก็เป็นแค่คำขู่เท่านั้น ไม่อย่างนั้นข้าจะเอาโอกาสที่ไหนมาชดเชยลมปราณของตัวเอง ส่วนตอนนี้ เจ้าจะต้องตายจริงๆ แล้ว”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินอ้อมโต๊ะ กวักมือหนึ่งครั้งควบคุมให้แผ่นหยกแผ่นนั้นลอยขึ้นจากพื้น แล้วกุมไว้ในมือเบาๆ

ราวกับไม่กลัวว่าหนีชิวที่ดิ้นรนก่อนตายจะบ้าคลั่งแว้งกลับมาโจมตี เขาถึงได้เดินตรงไปหยุดอยู่ห่างจากเบื้องหน้านางแค่ไม่กี่ก้าวแล้วยิ้มถามว่า “วางท่าปลอมๆ ว่ามีขอบเขตก่อกำเนิด แต่แท้จริงแล้วมีตบะแค่เซียนดินโอสถทอง ไม่รู้จริงๆ ว่าใครกันที่มอบความกล้าให้เจ้าบังอาจเกิดจิตคิดสังหารข้าอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ มีแค่จิตสังหารก็ช่างเถิด แต่เจ้ามีความสามารถพอให้ประคับประคองจิตสังหารนี้หรือ? เจ้าเห็นข้าไหม นับตั้งแต่ที่ขึ้นมาบนเกาะชิงเสียก็เริ่มวางแผนเล่นงานเจ้าแล้ว จนกระทั่งหลังจากผ่านศึกกับหลิวเหล่าเฉิง แน่ใจแล้วว่าเจ้าสอนได้ยากยิ่งกว่ากู้ช่าน ข้าถึงได้เริ่มวางแผนการอย่างแท้จริง ข้าเอาเหตุผลมาพูดกับเจ้าอยู่ตลอดเวลาในห้องแห่งนี้ เพราะฉะนั้นถึงอย่างไรก็ยังต้องใช้เหตุผล ไม่มีประโยชน์? ข้าว่ามีประโยชน์มากเลยล่ะ เพียงแต่ว่าวิธีการใช้เหตุผลกับคนดีและคนเลวนั้นไม่ค่อยเหมือนกัน คนดีหลายคนไม่เข้าใจในจุดนี้ ถึงต้องเจอกับความลำบากมากมายขนาดนั้น ปล่อยให้ตัวเองต้องเสียเปรียบวิถีทางโลกแห่งนี้ไปซะเปล่าๆ”

เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา แต่ไม่ได้กุมเจี้ยนเซียนเล่มนั้น

เพียงใช้ฝ่ามือยันด้ามกระบี่แล้วค่อยๆ ผลักไปข้างหน้าทีละนิด ทีละชุ่น

ตัวกระบี่ขยับไปเบื้องหน้าอย่างต่อเนื่อง

เฉินผิงอันกล่าว “อันที่จริงพอข้ากินยาเม็ดนั้นไปก็ไม่สามารถสังหารเจ้าได้จริงๆ แต่ตอนนี้ น่าจะทำได้จริงแล้ว ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ลองดิ้นดูสิ ไม่สู้ลองดูสักตั้ง? พวกเจ้าที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนชอบเดิมพันด้วยชีวิตนักไม่ใช่หรือ?”

เฉินผิงอันรออยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าไม่ฉลาดเลยแม้แต่น้อย ทว่ากลับโชคไม่เลว”

“รู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงไม่เคยบอกชื่อกระบี่เล่มนี้แก่เจ้าและกู้ช่าน? มันชื่อว่าเจี้ยนเซียน (เซียนกระบี่) เซียนกระบี่ของเซียนกระบี่พสุธา ดังนั้นข้าจึงจงใจที่จะไม่พูดถึง”

“เจ้าลองคิดดู ในยุคบรรพกาลของแจกันสมบัติทวีปเรา ที่ไหนที่มีเซียนกระบี่ปรากฏตัวบ่อยครั้งที่สุด?”

“แคว้นสู่โบราณ”

“แล้วทำไมถึงมีเซียนกระบี่เยอะ? เพราะที่นั่นมีทั้งเจียวและมังกรปะปนกัน เหมาะแก่การให้เซียนกระบี่นำมาใช้ขัดเกลาคมกระบี่มากที่สุด”

สุดท้ายเฉินผิงอันเอ่ยว่า “ดังนั้น เจ้าไม่ลองเดิมพันด้วยชีวิตก็ถือว่าถูกต้องแล้ว อันที่จริงต่อให้ข้าไม่กินยาเม็ดสุดท้ายนั่น หลังจากที่กระบี่เล่มนี้ได้ลิ้มรสเลือดสดๆ จากหัวใจเจ้าแล้ว ตัวมันเองก็กระเหี้ยนกระหือรือเต็มที อยากจะปั่นคว้านหัวใจเจ้าให้เละเสียเดี๋ยวนั้น ไม่จำเป็นต้องให้ข้าสิ้นเปลืองปราณวิญญาณและจิตใจไปควบคุมเลย การที่ข้ากินยา กลับกลายเป็นว่าจะได้ควบคุมมัน ไม่ให้มันสังหารเจ้าในทันที”

ในฐานะทายาทมังกรที่แท้จริงตัวหนึ่ง นางเกิดมาก็ไม่กลัวความเหน็บหนาว ถึงขั้นยังเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับโชคชะตาน้ำมากที่สุดในบรรดาทายาทที่แท้จริงทั้งห้าตัว เวลานี้กลับได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าจมสู่บ่อน้ำแข็งเป็นครั้งแรกในชีวิต

ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยแวววิงวอนและขอร้องอย่างน่าสงสาร

เฉินผิงอันเอียงหูทำท่ารับฟัง “เจ้าก็มีเหตุผลจะพูดเหมือนกัน?”

เขาขยับมายืนตัวตรง จากนั้นก็ผลักด้ามกระบี่ นางจึงเซถอยกรูดไป แผ่นหลังชนเข้ากับประตูห้อง

ปลายกระบี่เจี้ยนเซียนแทงทะลุประตูห้องไปนานแล้ว

ปักตรึงนางแนบติดอยู่กับประตูเช่นนี้

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ คลี่ยิ้มกล่าวว่า “แต่เจ้าเคยถามข้าหรือไม่ว่า ข้าอยากฟังไหม?”

—–