หอคอยโตวหยวนเป็นสถานที่ซึ่งใช้รวมตัวและปรึกษาหารือกันของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงโดยเฉพาะ เจ้าของของมันคืออาวุโสระดับผสานอินทรีย์ในเมืองเทวะสวรรค์ ไม่ว่าผู้ใดก็ให้เกียรติหอคอยแห่งนี้ มิกล้าก่อเรื่องวุ่นวายและลงมือในสถานที่แห่งนี้เด็ดขาด
ดังนั้นชื่อเสียงของหอคอยนี้จึงไม่เลวนักในบรรดากลุ่มผู้บำเพ็ญเพียร
หากผู้บำเพ็ญเพียรทั่วๆ ไปอย่างเปิดการประชุมเล็กๆ หรือหารือเรื่องลับๆ กัน ปกติแล้วก็มักจะเช่าหอคอยนี้ชั่วคราว ดังนั้นจึงทำให้ผู้ที่เข้าร่วมวางใจ
หลังจากบินมาได้ระยะหนึ่งเบื้องหน้าก็มีป่าทึบปรากฏขึ้น ขนาดประมาณร้อยหมู่
ใจกลางป่าทึบมีหอคอยขาดใหญ่อยู่หนึ่งหอขนาดเล็กอีกสามหอ
หอคอยที่ใหญ่ที่สุดมีความสูงถึงพันจั้ง ไม่ต่ำต้อยกว่าหอคอยหินในเมืองเทวะสวรรค์เท่าใดนัก สามหอคอยเล็กมีขนาดความสูงสามสี่ร้อยจั้ง มองไกลๆ ก็ดูยิ่งใหญ่มาก
หานลี่เห็นสิ่งปลูกสร้างสองสามแห่งนี้ ก็มีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แล้วเพิ่มความเร็วขึ้นหลายเท่า
ยามนี้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสวมชุดคลุมสีเหลืองสองสามคนกำลังรักษาการณ์อยู่ตรงทางเข้าบนชั้นที่สูงที่สุดในหอคอย พลางกำลังพูดคุยกันไปมา
แต่ฉับพลันนั้นคนเหล่านั้นก็รู้สึกดวงตาพร่ามัว ดูเหมือนว่าจะมีอันใดสักอย่างแวบผ่านพวกเขาเข้าไปข้างใน
จากผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีผู้ใดมองเห็นสิ่งนั้นได้ชัดเจนเลยสักนิด
ครานี้ผู้พิทักษ์เหล่านั้นพลันตกใจจนหน้าถอดสี!
มีสองสามคนที่รีบยกมือทำสัญลักษณ์อาคม และหันกายมองไปทางหอคอย และมีคนยกมือขึ้น ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ หว่างนิ้วมียันต์วิเศษที่ใช้รายงานปรากฏขึ้น
ในยามนั้นในประตูพลันเสียงแค่นเสียงหึด้วยความเย็นชาดังขึ้น พลังแรงกดมหาศาลทะลักออกมา
ผู้พิทักษ์เหล่านั้นรู้สึกเพียงว่าบรรยากาศรอบด้านตึงแน่น ร่างกายถูกพลังมหาศาลนับพันชั่งกดเอาไว้จนไม่อาจกระดิกกระเดี้ยตัวได้เลยสักนิด
กลุ่มคนจึงอดที่จะร้องอุทานออกมาไม่ได้
ยามนี้พวกเขาถึงได้มองเห็นใจกลางห้องโถงของชั้นหนึ่งได้อย่างชัดเจน มีเงาร่างคนสวมชุดคลุมสีเขียวเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
แม้ว่าจะหันหลังให้พวกเขา แต่แรงกดอันแข็งแกร่งที่แผ่ออกมาจากเรือนร่างของเขา ก็แข็งแกร่งไม่อาจต้านทานได้ราวกับมารเทวะสำหรับพวกเขา
“ข้ามาหาสหายคนหนึ่ง พวกเจ้าห้ามทำอันใดทั้งนั้น รออยู่ที่นี่ก็พอ ข้าหาพบแล้วจะไปทันที” เงาร่างคนไม่ได้หันกลับมาพลางเอ่ยอย่างราบเรียบ น้ำเสียงเต็มไปด้วยแววออกคำสั่งอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
ครู่ต่อมาเงาร่างคนก็รางเลือน แล้วหายวับไปราวกับมองไม่เห็นเขตอาคมของหอคอย
และชั่วพริบตาที่เงาร่างคนสลายหายไป แรงกดบนเรือนร่างของผู้พิทักษ์สองสามคนก็อ่อนกำลังลง แล้วถึงได้กลับมาเคลื่อนไหวได้
“ท่านอาวุโสผู้นี้คือผู้ใด เหตุใดถึงกล้าบุกเข้ามาในหอโตวหยวน หรือว่าไม่รู้ว่าเจ้าของหอคอยผู้ใด?” ชั่วพริบตาที่ผู้พิทักษ์ที่ดูเหมือนอ่อนเยาว์คนหนึ่งกลับมาเป็นอิสระ ก็อดที่จะร้องตะโกนออกมาด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวไม่ได้
แม้ว่าอีกสองสามคนจะไม่ได้เอ่ยอันใด แต่สีหน้าย่อมดูไม่ได้
“หึ เจ้าหุบปากไว้จะดีกว่า จะได้ไม่หาเรื่องมาใส่ตัว!” ชายชราที่เรือนผมเป็นสีฟ้าคนหนึ่ง มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส กลับเอ่ยปากตัดบทสนทนาของชายหนุ่มผู้นั้นด้วยเสียงแผ่วเบา
“สหาย เจ้าหมายความว่าอย่างไร หรือว่าเจ้ารู้จักคนผู้นี้” ผู้พิทักษ์ผู้อ่อนเยาว์ได้ยินพลันตกตะลึง แต่บุรุษวัยกลางคนอีกคนที่อยู่ด้านข้างกลับเอ่ยถามด้วยสีหน้าเหน็บหนาว
“ใช่แล้ว พวกเจ้าล้วนเป็นผู้ที่เพิ่งเข้ามาในหอคอยแห่งนี้ ไม่รู้จักท่านอาวุโสผู้นี้ก็ไม่แปลก แต่ตอนนั้นข้าเคยพบกับท่านอาวุโสผู้นี้ครั้งหนึ่ง ท่านอาวุโสผู้นี้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง พลังยุทธ์สูงกว่านายท่านเจ้าของหอคอยขั้นหนึ่ง หากพวกเราล่วงเกิน ก็มีแต่รนหาที่ตายเท่านั้น” ชายชราพ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาแล้วถึงได้เอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“อันใดนะ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง!” ผู้พิทักษ์คนอื่นๆ ได้ยินคำนี้ก็สูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไปเฮือกหนึ่ง ผู้พิทักษ์วัยเยาว์ที่เอ่ยปากเมื่อครู่ยิ่งหน้าถอดสีอย่างหาที่เปรียบมิได้
หากผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ลงมือกับพวกเขา เกรงว่าคงไม่ต่างอันใดกับออกแรงบี้มดเท่าใดนัก หากอีกฝ่ายโกรธแค้นล่ะก็…
ผู้พิทักษ์วัยเยาว์อดที่จะยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัวไม่ได้!
“แซ่หาน แล้วยังเป็นผู้อาวุโสระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง! หรือว่าท่านอาวุโสผู้นี้คือ…” หลังจากที่บุรุษวัยชราตกตะลึง กลับดูเหมือนจะนึกอันใดได้พลางร้องอุทานด้วยเสียงแหบแห้ง
“หึๆ สหายนึกออกแล้ว ไม่ผิด ก็คือท่านอาวุโสหานที่มีข่าวลือว่าเพลี่ยงพล้ำไปเมื่อสองปีก่อน ยามนี้ท่านอาวุโสมาปรากฏตัวที่นี่อย่างปลอดภัย ข่าวลือก่อนหน้านี้ย่อมเป็นเพียงข่าวลือ” ชายชราลูบเคราแล้วเอ่ยพร้อมกับพยักหน้า
“แต่ท่านอาวุโสผู้นี้มีจิตสังหารที่เข้มข้นมาก ดูเหมือนว่าจะเป็นที่มีเจตนาไม่ดี เกรงว่าคงไม่ได้แค่มาหาคนหรอกกระมัง หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น กฎของหอคอยเราจะไม่ถูกทำลายหรือ” ผู้พิทักษ์วัยเยาว์ผู้นั้นเอ่ยพึมพำออกมา
เมื่อได้ยินคำนี้คนอื่นๆ ก็หน้าเปลี่ยนสีไปอีกครั้ง แววตาฉายแววหวาดกลัว
“ท่านอาวุโสหานมาทำอันใดที่นี่ ไหนเลยจะเป็นเรื่องที่พวกเรายุ่งวุ่นวายได้ ต่อให้ทำลายกฎของหอคอยโตวหยวน นายท่านก็คงไม่ลงโทษพวกเราด้วยเหตุนี้ กฎของหอคอยเรามีไว้สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรทั่วๆ ไปเท่านั้น ไหนเลยจะใช้กับท่านอาวุโสหานได้” ชายชราผมสีฟ้ากลับเอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา แล้วกลับไปยืนอยู่ตรงตำแหน่งเดิม โดยไม่ได้พูดจาอันใดอีก
เมื่อได้ยินชายชรากล่าวเช่นนี้ผู้พิทักษ์คนอื่นๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วยเป็นพัลวัน และไม่เอ่ยถึงเรื่องเมื่อครู่ไปโดยปริยาย ราวกับว่าทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
มีเพียงผู้พิทักษ์วัยเยาว์ที่ยังตกตะลึงพรึงเพริด และบางครั้งก็หันกลับไปมองในประตู
แทบจะในเวลาเดียวกันภายในห้องโถงที่ถูกผนึกเอาไว้ด้วยเขตอาคมหลายชั้นภายในหอคอย มีบุรุษและสตรีเจ็ดแปดคนกำลังนั่งล้อมหญิงสาวชุดขาวพลางกำลังพูดคุยชักจูงอันใดสักอย่างอยู่
หญิงสาวสวมชุดคลุมสีขาวมีผิวสีขาวราวกับหิมะ ดวงตาดุจหงส์และคิ้วดำขลับ แต่ใบหน้ากลับมีสีหน้าเย็นชา
นั่นก็คือหงส์น้ำแข็งที่ถูกเชิญให้เข้าร่วมการประชุมที่นี่
เมื่อนางมาถึงที่นี่ ผลคือไม่เห็นว่าจะมีผู้ใดเปิดการชุมนุมแลกเปลี่ยน และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่รู้สึกผิดปกติ เดิมก็คิดจะจากไปทันที แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะถูกคนอื่นๆ เปิดผนึกเขตอาคมต้องห้ามทั่วทั้งชั้น
จากนั้นคนที่มาเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ก็เริ่มผลัดกันพูดชักจูงนางไม่หยุด คาดไม่ถึงว่าจะถูกชิงหลงซื้อไว้แล้ว
“สหายเฟิง จะว่าไปแล้วร่างหงส์น้ำแข็งของเจ้าและเผ่าหงส์ดำของพวกเราก็นับว่ามีที่มาที่ไปเดียวกัน มิเช่นนั้นช่วงนี้พี่หญิงอย่างข้าคงไม่ค่อยมาพัวพันอยู่กับเจ้าและท่านอาวุโสชิงหลงหรอก แต่หากเจ้ายื้อต่อไป อาจจะทำให้ท่านอาวุโสชิงหลงโกรธ จากอิทธิฤทธิ์ระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางของท่านอาวุโสชิงหลง หากลงมือกับน้องหญิงอย่างเจ้าคงไม่มีแรงต้านทาน กลับมิสู้ตอบรตกลง จากฐานะตำแหน่งของท่านอาวุโสชิงหลงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเจ้าเด็กแซ่หานเลยสักนิด เหตุใดเจ้าถึงยังยึดมั่นเช่นนี้” ผู้พูดคือหญิงงามสวมชุดกระโปรงสีดำ หว่างคิ้วมีจิตสังหารรางๆ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเสี่ยวหงของเผ่าหงส์ดำ สองสามปีก่อนสตรีผู้นี้ถูกราชาปีศาจหงส์ดำออกคำสั่งให้กักตัวระยะหนึ่ง ยามนี้มาปรากฏตัวในเมืองเทวะสวรรค์ ท่าทางมีพลังยุทธ์เพิ่มขึ้นไม่น้อย
คนอื่นๆ เองก็มีทั้งเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ และยิ่งไปกว่านั้นยังมีผู้ที่หงส์น้ำแข็งรู้จักอยู่ไม่น้อย ยามนี้ก็มีท่าทีพยายามเกลี้ยกล่อม
เผ่าปีศาจมาปรากฏตัวที่นี่ แน่นอนว่าเป็นเพราะเผ่ามารเริ่มโจมตีเมือง ในเมืองจึงทำลายเขตกั้นของทั้งสองเผ่าออก และช่วยกันดูแลเขตแดนของอีกฝ่าย
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้สิ่งมีชีวิตทั่วๆ ไปของทั้งสองเผ่าก็ไม่วิ่งไปยังเขตแดนของอีกฝ่ายโดยไม่มีสาเหตุ มีแค่ระดับสูงที่ดูแลกันและกันอย่างไม่ถือสา
โดยพื้นฐานแล้วในบรรดาเผ่าปีศาจล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา แน่นอนว่าย่อมมีคุณสมบัติมาปรากฏตัวที่นี่
ทว่าสิ่งที่พวกเขาชักจูงกลับไม่มีอันใดใหม่ๆ ยังคงเอ่ยว่าอรหันต์ชิงหลงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ไม่หยุด การเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับเขาย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย สตรีผู้บำเพ็ญเพียรในเมืองจำนวนตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ที่ใฝ่ฝันถึงเรื่องนี้แต่ก็ทำไม่ได้
แต่ไม่ว่าเสี่ยงหงจะพูดอย่างไร และคนอื่นจะชักจูงอย่างไร หงส์น้ำแข็งกลับนั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้ราวกับไม่ได้ยิน แต่ใบหน้ากลับมีสีหน้าเย็นชาฉาบอยู่ แทบจะแช่แข็งเป็นน้ำแข็ง
“น้องหญิงหงส์น้ำแข็ง สิ่งที่ควรพูดพี่หญิงก็ได้บอกเจ้าหมดแล้ว ยามนี้เจ้าตอบมาเถิด จะยอมตกลงเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับท่านอาวุโสชิงหลงหรือไม่?” เสี่ยวหงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมขมวดคิ้วแน่น หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็โบกมือให้คนอื่นๆ หุบปาก แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
ในบรรดาคนเหล่านี้เห็นได้ชัดว่านางเป็นผู้นำ
“ต่อให้สหายพูดได้คล่องแคล่วแค่ไหน ข้าก็ไม่ตกลง ข้ากลับรู้สึกแปลกใจ สหายเสี่ยวเป็นหนึ่งในสมาชิกเผ่าปีศาจ หรือว่าไม่รู้ว่าคนและปีศาจร่วมเดินทางกันเป็นกฎข้อห้ามที่ยิ่งใหญ่ของเผ่าปีศาจของพวกเรา เจ้าออกหน้าช่วยอรหันต์ชิงหลงบีบบังคับข้าเพียงนี้ กลับไปจะไม่ถูกใต้เท้าราชาปีศาจหงส์ดำลงโทษหรือ?” ในที่สุดหงส์น้ำแข็งก็เอ่ยปาก แต่คำพูดกลับคมราวกับใบมีด ทิ่มแทงไปหาสตรีปีศาจนามว่าเสี่ยวหงผู้นี้
เสี่ยวหงได้ยินคำนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติพลางฉีกยิ้มบางๆ
“น้องหญิงหงส์น้ำแข็งยังไม่รู้สินะ เดิมท่านอาวุโสชิงหลงมีโลหิตวิญญาณของเผ่าปีศาจไหลเวียนอยู่ เดิมก็มีต้นกำเนิดเป็นลูกครึ่งปีศาจ แต่แค่เขาเลือกจะอยู่ที่เผ่ามนุษย์ ถึงได้กลายเป็นอาวุโสของพรรคเก้าดารา ดังนั้นพี่หญิงอย่างข้าจึงไม่กังวลเรื่องนี้ และยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ไม่มีเรื่องที่ท่านอาวุโสชิงหลงเป็นลูกครึ่งปีศาจ จากการร่วมมือกันของมนุษย์และปีศาจในยามนี้ หัวหน้าเผ่าและอาวุโสระดับผสานอินทรีย์คนอื่นๆ ก็รู้แล้ว แค่ทำเป็นไม่รู้เท่านั้น ทว่าคำตอบของน้องหญิงกลับทำให้พี่หญิงรู้สึกเสียดายมาก เรื่องนี้มีแต่ต้องละมือไปสนใจแล้ว” เสี่ยวหงใช้มือลูบปอยผม แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“มอบให้ผู้อื่น!” หงส์น้ำแข็งได้ยินคำนี้ ก็อดที่จะหน้าซีดขาวไม่ได้ ดูเหมือนจะรู้ว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร
ดังคาดเสี่ยวหงส์กันหายไปทันที แล้วเอ่ยกับประตูด้านข้างอีกด้านของห้องโถงอย่างนอบน้อม
“ท่านอาวุโสชิงหลง ข้าพยายามเต็มที่แล้ว แต่ดูแล้วสหายหงส์น้ำแข็ง ก็ต้องให้ท่านอาวุโสเป็นผู้สั่งสอนเองเห็นจะได้”
“ในเมื่อหงส์น้ำแข้งน้อยตัวนี้หมกมุ่น ตาเฒ่าก็มีแต่ต้องออกโรงเองแล้วแต่ขั้นตอนนี้ตาเฒ่าก็ไม่อยากทำ” เสียงของบุรุษดังออกมาจากประตูด้านข้าง จากนั้นประตูด้านข้างก็ถูกผลักออกตามกลไก บุรุษสวมชุดผ้าไหมคนหนึ่งเดินออกมาอย่างไม่รีบร้อน