เมิ่งอี้หยุดชะงักไป เกาหัว แล้วกล่าวถามด้วยความสงสัยว่า “น้องโยวเอ๋อร์ อะไรคือสาขาทั่วประเทศหรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบายด้วยความตื่นเต้น “ก็คือทั่วทุกที่ในรัฐอู่จะมีร้านบะหมี่มันฝรั่งของเรา ส่งของเหมือนกัน บริหารเหมือนกัน ผู้จัดการและพนักงานก็หาคนที่อยู่ในพื้นที่ ทุกปีจะตั้งเป้ายอดขายให้กับพวกเขา ถ้าถึงเป้าก็จะมีเงินปันผล ถ้าไม่ถึงก็เปลี่ยนคน ทำเยี่ยงนี้ไม่เพียงแต่พี่ไม่ต้องเดินทางไปมา ยังสามารถขายบะหมี่มันฝรั่งของเราออกไปในปริมาณที่มาก ได้ข้อดีหลายอย่าง”

 

 

เมิ่งอี้สรุปคำพูดของนางอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่เห็นด้วยเล็กน้อย “เจ้าบริหารเยี่ยงนี้แน่นอนว่าลดกำลังของเราลงไปมาก แต่ก็มีข้อเสีย การบริหารของร้านบะหมี่มันฝรั่งทุกที่ไม่เหมือนกัน แน่นอนว่ายอดที่ตั้งก็ต้องไม่เหมือนกัน อย่างเช่นถ้าหากร้านบะหมี่มันฝรั่งที่บริหารดีทะลุเป้าที่เรากำหนดจะทำเยี่ยงไร ถ้าหากเขาปลอมบัญชีใหม่ขึ้นมา หลอกพวกข้า พวกข้าก็ไม่รู้”

 

 

“พี่เมิ่งอี้” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วเรียกเขา “พี่ลืมไปแล้วหรือว่าตอนนี้ข้ามีฐานะอะไร เป็นถึงซื่อจื่อเฟย คนที่ทุกคนในรัฐอู่อยากจะประจบสอพลอด้วย อยากถามว่าผู้ใดกล้ากระตุกหนวดเสือ เขาไม่กลัวหรือว่าหากข้ารู้แล้ว ในรัฐอู่จะไม่มีที่ให้เขาอยู่ พี่วางใจเถิด ไม่มีใครกล้าทำเยี่ยงนี้หรอก”

 

 

เมิ่งอี้เข้าใจในทันที เมิ่งเชี่ยนโยวพูดถูก ในบ้านเมืองที่ปกครองด้วยฮ่องเต้นี้ ถ้าหากผู้ใดใกล้ชิดกับตำหนักอ๋องฉีต้นไม้ใหญ่ต้นนี้นั้นถือว่าเป็นบุญวาสนาที่สั่งสมมานานหลายชาติ ไม่มีใครกล้าเกิดความคิดที่ไม่ควรมีแน่นอน

 

 

คิดถึงตรงนี้ เมิ่งอี้ก็หัวเราะออกมา “ข้าโง่เขลาเอง คิดถึงแต่เรื่องเงินทอง ไม่ได้คิดถึงฐานะของเจ้า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะออกมา “แต่ว่างานก่อนที่จะเปิดร้านก็ยังต้องให้พี่ไปทำอยู่ ถ้าเยี่ยงนี้ ก็จะมีช่วงเวลายาวเลยที่พี่จะไม่ได้อยู่จวน ไม่รู้ว่าพี่สะใภ้จะโกรธข้าหรือไม่”

 

 

เมิ่งอี้หน้าแดงขึ้นมาทันที ไม่พูดตอบ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนที่อยู่ข้างๆ ไอออกมาเบาๆ หนึ่งที เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแล้วยิ้มออกมา จึงเปลี่ยนเรื่องทันที “พี่เมิ่งอี้ พวกเรามาคุยเรื่องเปิดสาขากันต่อเถิดเจ้าค่ะ”

 

 

เมิ่งอี้กล่าวว่า “ผู้จัดการของร้านบะหมี่มันฝรั่งเมื่อครั้งก่อนได้ให้ที่อยู่ไว้กับเราทุกคน พวกเราไปติดต่อพวกเขาก่อน มีพวกเขาอยู่ พวกเราจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ครั้งนั้นที่เราให้เงินเดือนกับพวกเขาเกินไปคนละหนึ่งปี เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับวันนี้ หลังจากพี่กลับไป เอาที่อยู่ของพวกเขามา ข้าจะให้คนไปเชิญ แน่นอนว่าหากใครไม่ยินยอมเราก็ไม่บังคับ”

 

 

คนที่ไม่ยินยอมคือคนที่สมองขึ้นสนิมไปแล้ว เมิ่งอี้คิดในใจ แต่ไม่ได้เอ่ยออกมา กล่าวว่า “ส่วนที่เหลือ เรา…”

 

 

“ที่เหลือข้าก็คิดไว้แล้ว พรุ่งนี้เขียนประกาศ กระจายออกไปทุกตำบลทุกอำเภอ เขียนเงื่อนไขของเราให้ชัดเจน ใครที่มาสมัคร ให้มาสมัครที่เมืองหลวง ให้ทันหลังจากเก็บเกี่ยวมันฝรั่ง ร้านของเราก็สามารถเปิดได้ทันที”

 

 

วันที่สอง องครักษ์ลับหลายร้อยคนก็นำใบประกาศที่เมิ่งเชี่ยนโยวให้คนเขียนขึ้นมาไปทั่วทุกที่ในประเทศ ในใบประกาศนอกจากจะเขียนตั๋วเงินที่ผู้จัดการร้านทุกคนจะได้รับต่อปีอย่างชัดเจนแล้ว ยังมีเงินปันผลที่จะได้รับในแต่ละสัดส่วนไม่เหมือนกัน ตามยอดขายที่ไม่เหมือนกัน แน่นอนว่ายอดขายในร้านมากเท่าไหร่ เงินปันผลก็ยิ่งมากขึ้น ถ้าหากใครยอมรับได้ หลังจากครึ่งเดือนนี้สามารถมาสัมภาษณ์ได้ที่เมืองหลวง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ว่า ทันทีที่ใบประกาศนี้ออกมา ผู้จัดการทั่วประเทศที่มีประสบการณ์ทุกคน ต่างลาออกจากงานที่ตนทำอยู่ นั่งรถม้ามาเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว กลัวว่าหากตัวเองไปถึงช้า จะไม่มีที่เหลือให้ตัวเอง หลังจากนั้นไม่กี่วันก็เต็มทุกที่ห้องว่างโรงเตี๊ยมในเมือง ทำให้เถ้าแก่โรงเตี๊ยมต่างดีใจกันใหญ่

 

 

ครึ่งเดือนผ่านไป หน้าประตูที่ว่าการเมือง เปาชิงเหอนั่งบัญชาการรักษาการณ์ด้วยตัวเอง นำทหารลาดตระเวน หวงฝู่อี้เซวียนและองครักษ์ลับทั้งหลายดูแลอยู่ข้างๆ เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่กับเมิ่งอี้และเมิ่งฉี รับสมัครทุกคนอย่างเปิดเผย

 

 

นอกจากครั้งก่อนที่รับสมัครผู้ยากไร้ให้มาปรับสภาพหน้าดินที่เป่ยเฉิงแล้ว เป็นอีกครั้งที่หน้าประตูที่ว่าการของเป่ยเฉิงเกิดเหตุการณ์คนมาต่อแถวเป็นพันคน แม้แต่เปาอีฝานเห็นแล้วยังประหลาดใจ คนอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ใครก็คิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาสมัครเยอะเพียงนี้

 

 

นี่ก็เกินความคาดหมายของเมิ่งเชี่ยนโยวจริงๆ แต่ว่า คนเยอะก็ดี ทางเลือกจะได้เพิ่มมากขึ้น

 

 

ผู้จัดการพวกนี้ แน่นอนว่าต้องรู้จักมารยาทมากกว่าคนยากไร้พวกนั้น แม้ว่าจะร้อนใจ ก็ยังคงเข้าแถวตามลำดับใครมาก่อนมาหลังอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเพื่อรอสมัคร

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวที่นั่งอยู่ด้านหลังลุกขึ้นมา

 

 

หน้าประตูที่ว่าการเมืองที่กว้างขวาง แถวขบวนหลายแถวที่ต่อแถวอยู่เงียบลงทันที ทุกคนต่างมองนางด้วยความตื่นเต้นและรอคอย

 

 

น้ำเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวชัดเจน ลากยาว “ขอบคุณทุกท่านมากที่ลำบากมาสมัครถึงเมืองหลวง ก่อนอื่น ข้าขอพูดอย่างชัดเจนว่า ทุกคนที่มาในวันนี้ ถ้าหากได้งานแล้ว ข้าจะไม่พูดอะไร แต่ถ้าหากไม่ได้งาน เดี๋ยวให้ท่านไปรับตั๋วเงินสิบตำลึงได้ที่ฝั่งโน้น ถือว่าข้าชดเชยให้กับทุกท่านที่เสียเวลาเสียตั๋วเงินในช่วงนี้”

 

 

ทันทีที่นางพูดจบ ก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างเสียงดังในกลุ่มผู้คน ซื่อจื่อเฟยทุ่มเงินก้อนใหญ่มาก คนที่ไม่ได้งานยังให้ตั้งสิบตำลึง ถ้าหากได้เป็นผู้จัดการของร้านบะหมี่มันฝรั่งจริงๆ ทั้งปีจะได้เงินเท่าไรกัน ทันใดนั้น ความคิดที่อยากเป็นผู้จัดการร้านบะหมี่มันฝรั่งของทุกคนยิ่งรุนแรงมากขึ้น คิดไว้แล้วว่าเดี๋ยวจะแสดงความสามารถของตัวเองออกมาให้หมด อย่างไรก็ตามต้องได้ตำแหน่งผู้จัดการร้านมาให้ได้

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวต่อว่า “ในส่วนของเงินค่าทำงานและเงินปันผลของผู้จัดการทุกคนนั้น เชื่อว่าทุกท่านน่าจะได้เห็นจากประกาศของทุกที่แล้ว สถานที่ต่างกัน เงินปันผลก็ต่างกัน แน่นอนว่ายอดขายของแต่ละปีก็ไม่เท่ากัน คิดว่าทุกคนคงไม่มีความคิดเห็นใดๆ กับเรื่องนี้”

 

 

“ไม่มีขอรับ” มีเสียงตะโกนออกมาจากกลุ่มผู้คน คนอื่นๆ ต่างก็เห็นด้วย

 

 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้า “ดี ถ้าเยี่ยงนั้น การรับสมัครจะเริ่มทันที หวังว่าผู้จัดการทุกท่านจะบอกข้อดีของทุกคนออกมาให้หมด เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการคัดเลือกตำแหน่งผู้จัดการร้าน”

 

 

คนเกือบพันคนตอบรับ เสียงก้องดังเป็นเวลานาน

 

 

ผู้จัดการแต่ละคนค่อยๆ ขยับขึ้นมาทีละคน เมิ่งฉีและเมิ่งอี้เริ่มรับสมัคร เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเดินมาข้างหน้าหวงฝู่อี้เซวียน ยิ้มเอาใจเขาหนึ่งที เพราะสองสามวันนี้เตรียมเรื่องเปิดร้านบะหมี่มันฝรั่ง หวงฝู่อี้เซวียนไม่พอใจนางมาสักพักแล้ว วันนี้ก็เป็นเพราะนางขอร้องแทบเป็นแทบตายเขาจึงให้นางมา แม้ว่าจะยอมนาง แต่ก็ไม่วางใจ มองดูผู้คนมากมา สีหน้าก็ไม่เคยดีขึ้นเลย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเขาเป็นห่วง ก็ซาบซึ้งใจมาก กล่าวอย่างเอาใจว่า “ไม่มีเรื่องของข้าแล้ว เจ้าไปดูโรงงานเป็นเพื่อนข้าหน่อย”

 

 

สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนจึงค่อยๆ อ่อนลง ส่งสัญญาณให้โจวอัน แล้วจึงไปโรงงานเป็นเพื่อนเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

โจวอันรับคำสั่ง จึงทำสัญญาณมือออกมา ให้องครักษ์ลับทั้งหลายอยู่ดูแลต่อ ป้องกันการเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น ส่วนตนและองครักษ์ลับอีกสามคนเดินตามหลังทั้งสองอย่างไม่ใกล้ไม่ไกล

 

 

ผู้จัดการอันรอคอยให้เมิ่งเชี่ยนโยวมานานแล้ว ยืนมองไปข้างนอกไกลๆ อยู่ที่หน้าประตูโรงงานไม่หยุด เห็นทั้งสองมาแต่ไกล ก็รีบวิ่งออกไปต้อนรับทันที “ซื่อจื่อ นายหญิง มาแล้วหรือขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ดูสถานการณ์ตอนนี้แล้ว พี่รองยังต้องยุ่งอีกหลายวัน ช่วงนี้เรื่องในโรงงานต้องรบกวนให้ผู้จัดการอันดูแลแล้ว”

 

 

“นี่เป็นหน้าที่ของบ่าวอยู่แล้วขอรับ นายหญิงพูดเยี่ยงนี้บ่าวรับไม่ไหวจริงๆ ขอรับ” ผู้จัดการอันรีบตอบกลับไป

 

 

รอยยิ้มของเมิ่งเชี่ยนโยวหยุดชะงักไป กล่าวว่า “ผู้จัดการอัน ข้าเคยบอกเจ้าหรือไม่ว่า อยู่ต่อหน้าข้าอย่าแทนตัวเองว่าบ่าว”

 

 

ผู้จัดการอันหยุดชะงักไป กล่าวถามว่า “บ่าวพูดเยี่ยงนี้ไม่เหมาะสมหรือขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บสีหน้า แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ไม่ว่าข้าเคยหรือไม่เคยพูดกับเจ้า วันนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าพูด เจ้าจงจำไว้ ไม่ว่าเมื่อก่อนเจ้าจะแทนตัวเองอย่างไรตอนที่อยู่ในจวนของท่านเปา แต่ต่อไปอยู่ต่อหน้าข้าห้ามแทนตัวเองว่าบ่าว ข้าฟังไม่ชินหู”

 

 

ผู้จัดการอันมองนางด้วยความตกใจ ปากสั่น มึนงงพูดอะไรไม่ออก

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนส่งสายตาไป ผู้จัดการอันก็รู้สึกตัวทันที ตื่นเต้นจนพูดสะเปะสะปะว่า “นายหญิง…นี่…บ่าว…บ่า…”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “พอแล้ว มีอะไรเราเข้าไปคุยในโรงงานเถิด”

 

 

ผู้จัดการอันแม้แต่เสียงตอบรับยังเอ่ยไม่ออก รีบก้มหัวทำความเคารพเมิ่งเชี่ยนโยวหนึ่งที หลีกทาง แล้วทำท่าเชิญด้วยความตื่นเต้น

 

 

รู้จักกันมาเป็นเวลานานเยี่ยงนี้ เป็นครั้งแรกที่เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นสีหน้าปีติยินดีที่แสดงออกมาเต็มที่บนใบหน้าของผู้จัดการอัน จึงยิ้มแล้วส่ายหัว เดินเข้าไปในโรงงานพร้อมกับหวงฝู่อี้เซวียน

 

 

ผู้จัดการอันเดินตามหลัง หลังจากเข้าไปในห้องพักผ่อนชั่วคราว ก็รีบชงชา เทชาให้หวงฝู่อี้เซวียน แล้วก็เตรียมน้ำเปล่าให้เมิ่งเชี่ยนโยว แล้ววางข้างๆ นาง เสร็จแล้วก็ยืนรออยู่ข้างๆ รอยยิ้มบนใบหน้าไม่จางหายไปเลย

 

 

หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลง ก็ผ่อนคลายตัวลง พิงลงบนเก้าอี้อย่างสบาย ยิ้มแล้วมองไปทางผู้จัดการอัน

 

 

สีหน้าของผู้จัดการอันแดงก่ำยิ่งขึ้น “ข้าทำตัวเปิ่นๆ ให้นายหญิงหัวเราะแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วส่ายหัวไปมา “ผู้จัดการอันทนรอไม่ไหวต้องออกไปต้อนรับพวกข้าข้างนอก มีเหตุด่วนอันใดหรือไม่”

 

 

สีหน้าของผู้จัดการอันยิ่งแดงเถือกขึ้นไปอีก แอบมองหวงฝู่อี้เซวียน เห็นเขายกแก้วชาขึ้นดื่ม เหมือนไม่ค่อยแปลกใจในเรื่องของเขาเท่าไหร่ ก็โล่งอกไปที แต่ก็ยังคงตอบกลับด้วยความรู้สึกเกรงใจว่า “ช่วงก่อนหน้านี้ นายหญิงให้คนส่งข่าวมงคลแก่ข้า บอกว่าแม่นางท่านนั้นตกลงหมั้นหมายกับข้าแล้ว ข้าก็กลับไปที่จวนของท่านเปา เพื่อไปถามฮูหยินเปาว่าตอนสู่ขอควรเตรียมของอะไรบ้างจึงจะเหมาะสม ฮูหยินเปาบอกข้าว่า ต้องดูว่าหญิงสาวคนนั้นมีฐานะอะไร จึงจะตัดสินได้ ฉะนั้น…ข้าเลยอยาก…”

 

 

“เจ้าอยากรู้ว่าหญิงสาวคนนั้นคือผู้ใด” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวถาม

 

 

ผู้จัดการอันรีบโบกมืออย่างรวดเร็ว “มิใช่ขอรับ มิใช่ขอรับ ข้าไม่ได้อยากรู้ว่าหญิงสาวท่านนั้นคือผู้ใด ข้าแค่อยากรู้ว่านางเป็นลูกสาวบ้านใด จะได้เตรียมของหมั้นหมายที่เหมาะสมขอรับ”

 

 

“เป็นลูกสาวของเหวินเปียว เหวินเหลียน” เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเขาตรงๆ

 

 

ผู้จัดการอันหยุดชะงักไปสักพัก หลายปีแล้ว ฐานะของเหวินเปียวเขาก็รู้พอสมควร จริงๆ แล้วเป็นคุณชายเจ้าของสำนักคุ้มภัยที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง สุดท้ายถูกคนใส่ร้าย ทั้งครอบครัวจึงตกมาเป็นสภาพแบบนี้ ฉะนั้นลูกสาวของเขาควรเป็นคุณหนู ฐานะของตัวเองตอนนี้จะไปเหมาะสมกับนางได้อย่างไร

 

 

หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบก็สังเกตสีหน้าของเขาตลอดเวลา เห็นเขาไม่เพียงแต่ไม่ดีใจ สีหน้ากลับเศร้าหมอง ยิ้มแล้วกล่าวถามว่า “เป็นเยี่ยงไร หรือว่าผู้จัดการอันรู้สึกว่าเหวินเหลียนไม่เหมาะสมกับเจ้า”

 

 

สีหน้าดีใจของผู้จัดการอันได้หายไปจนหมดสิ้น ยิ้มขมขื่นแล้วกล่าวว่า “นายหญิง ท่านอย่างแกล้งข้าเลย ฐานะอย่างข้า กลัวว่าแม้แต่ยกรองเท้าให้คุณหนูเหวินเหลียนยังไม่เหมาะเลยขอรับ หมั้นหมายกับนางยิ่งไม่ต้องพูดถึง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผู้จัดการอันหมายความว่าเยี่ยงไร คือไม่ตกลงกับการหมั้นหมายครั้งนี้หรือ”

 

 

น้ำเสียงของผู้จัดการอันยิ่งขมขื่นมากขึ้น “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ตกลง แต่ข้าเอื้อมไม่ถึงขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เอ่ยอะไรอีก เพ่งมองเขา สำรวจเป็นเวลานาน จึงกล่าวว่า “เช่นนั้น หากเจ้ามีความคิดเยี่ยงนี้ ข้าก็ไม่บังคับ เดี๋ยวข้าให้คนส่งจดหมายให้เหวินเปียว บอกความคิดของเจ้ากับเขา แต่ช่างน่าเสียดาย ข้าคิดว่าเจ้ากับเหวินเหลียนเป็นคู่สร้างคู่สมกันเสียอีก ดูแล้ว ข้าคิดมากไปเอง”

 

 

 

 

ผู้จัดการอันกัดปากตัวเอง กล่าวถามด้วยความไม่มั่นใจว่า “นายหญิงคิดว่าพวกข้าเหมาะสมกันหรือ”

 

 

“เหวินเหลียนติดตามข้ามาหกเจ็ดปี เป็นหญิงสาวที่ดี เป็นคนขยันทำงาน ต่อไปต้องเป็นคนที่ดูแลบ้านได้ดี ส่วนเจ้า ทำงานดี ทำงานรอบคอบ เป็นคนคิดละเอียดอ่อน หลายปีมานี้ทำงานดูแลโรงงานให้ข้าโดยที่ไม่มีข้อบกพร่องเลยแม้แต่น้อย ฉะนั้นข้าจึงคิดว่าพวกเจ้าเป็นคู่สร้างคู่สมกัน แต่ไม่คิดว่าเจ้ามีความคิดเยี่ยงนี้ ถ้าเป็นเยี่ยงนี้คงไม่ได้จริงๆ ถ้าหากเจ้าหมั้นหมายกับเหวินเหลียนทั้งที่มีความคิดเยี่ยงนี้ รอจนหลังจากที่พวกเจ้าแต่งงานกัน เหวินเหลียนต้องโทษข้าเป็นแน่ ยกเลิกงานหมั้นของพวกเจ้าเถิด เดี๋ยวข้าค่อยหาคนที่เหมาะสมให้นางใหม่ อย่างไรคนงานของข้าก็มีเป็นพัน ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเจ้า”

 

 

ผู้จัดการอันอ้าปาก อยากเอ่ยอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่พูดเรื่องนี้ต่อ ยกน้ำเปล่าที่ไม่ร้อนและไม่เย็นขึ้นมา ค่อยๆ ดื่ม ฉวยโอกาสตอนที่ผู้จัดการอันไม่สังเกต ยิ้มมุมปากแล้วส่งสายตาให้หวงฝู่อี้เซวียนอย่างยียวน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหัวไปมาแล้วหัวเราะออกมา

 

 

ผ่านไปสักพักใหญ่ เมิ่งเชี่ยนโยวดื่มน้ำในแก้วจนหมด เตรียมเอ่ยอะไรออกมา ผู้จัดการอันกลับ ตึกตัก คุกเข่าลงต่อหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว “นายหญิง ข้าโง่เขลาเอง ข้าจะออกไปซื้อของหมั้นหมาย แล้วไปสู่ขอด้วยตัวเองทันที”

 

 

ค่อยๆ วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะเบาๆ เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวว่า “เจ้าคิดดีแล้วหรือ นี่เป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของพวกเจ้าสองคน บังคับใจกันไม่ได้”

 

 

ผู้จัดการอันรีบกล่าวว่า “ข้าไม่ฝืนใจ ข้ากลัวคุณหนูเหวินเหลียนฝืนใจ ขอแค่คุณหนูเหวินเหลียนตกลง ข้าอย่างไงก็ได้ขอรับ”

 

 

“ถ้าเยี่ยงนั้น เจ้ารอก่อน ข้ากลับไปที่จวนแล้วจะให้คนไปยืนยันอีกครั้ง”

 

 

ผู้จัดการอันผงกศีรษะหงึกๆ ด้วยความดีใจ “ขอบพระคุณขอรับนายหญิง