ภาคที่ 5 บทที่ 12 ภัยคุกคาม

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 12 ภัยคุกคาม

กู่ชิงลั่วสวมกอดซูเฉิน

นางกอดเขาไว้แน่นมาก ราวกับกลัวว่าเขาจะหนีไปอีกครั้ง

ซูเฉินอดไม่ได้ที่จะผลักนางกลับเล็กน้อยเพื่อให้ตนได้หายใจบ้าง

ขณะที่กู่ชิงลั่วกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มก็พลันคว้ามือของนางไว้แล้วพูดขึ้นว่า “มากับข้า”

ซูเฉินดึงกู่ชิงลั่วให้ออกวิ่งไปพร้อมกับเขา

ในเวลาเดียวกันกับที่ทั้งสองเริ่มวิ่งอย่างรวดเร็ว คนกลุ่มใหญ่ก็ได้พุ่งออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลกู่ เมื่อพวกเขาเห็นทั้งคู่ พวกเขาก็พากันตะโกนว่า “ทางนั่น !”

และเริ่มไล่ตามทั้ง 2 คนมา

เนื่องจากเมืองฝนต้นฤดูมีข้อจำกัดห้ามบิน คนทั้งคู่จึงทำได้เพียงวิ่งไปตามถนนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ซูเฉินวิ่งหนีพร้อมกับกู่ชิงลั่วพุ่งเข้าออกตรอกซอกซอยไปทั่วในชั่วพริบตา เมื่อซูเฉินเห็นว่าไม่มีใครอยู่ข้างหลังแล้ว พวกเขาก็หยุดลง

เขาหันไปมองกู่ชิงลั่ว และนางก็มองซูเฉินกลับเช่นกัน

ทั้งสองสบตากันโดยไม่พูดอะไร

เมื่อยามไม่ได้เจอกันก็รู้สึกเหมือนมีเรื่องมากมายเกินกว่าจะกล่าวออกไป แต่เมื่อได้พบกันกลับไม่รู้ว่าควรจะพูดสิ่งใดถึงจะดี ทั้งสองจึงได้แต่สบตากันเงียบ ๆ

ซูเฉินโน้มตัวกอดกู่ชิงลั่วเอาไว้อย่างอบอุ่น ก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มจูบกันอย่างดูดดื่มกลางที่สาธารณะอยู่ตรงหัวมุมถนน

จูบนี้ช่างหอมหวาน ยาวนาน ลึกซึ้ง และอบอุ่น ทั้งคู่ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานมากเท่าไหร่แล้วก่อนที่จะผละออกจากกัน เมื่อพวกเขารู้สึกตัว ทั้งสองก็พบว่าตนถูกรายล้อมไปด้วยฝูงชนมากมายแล้ว

บ้างก็เต็มไปด้วยความชื่นชม บ้างก็มาเพื่อดูว่ามีเรื่องสับสนวุ่นวายอะไรกัน บ้างก็อิจฉาตาร้อน และบางคนก็มองมาด้วยแววตาที่ไร้เดียงสา เด็กสาวสองสามคนกำลังจับจ้องพวกเขาอย่างตั้งใจด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

เมื่อทั้งสองแยกจากกัน ผู้ชมก็เริ่มปรบมือให้กำลังใจพวกเขา

แน่นอนว่าย่อมมีพวกหัวโบราณบางคนที่ส่ายหัว และถอนหายใจใส่ทั้งคู่อยู่บ้างเช่นกัน ก่อนจะบ่นว่า “ศีลธรรมอันดีและมโนธรรมของผู้คนพากันเสื่อมทรามลงทุกวัน ถึงกับเกี้ยวพาราสีกันกลางที่สาธารณะช่างหน้าไม่อายกันเลยจริง ๆ ” แล้วก็จากไป

ซูเฉินกับกู่ชิงลั่วระเบิดเสียงหัวเราะออกมา และกอดกันอีกครั้ง

ขณะที่พวกเขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นกลุ่มผู้ที่ไล่ตามมาจากคฤหาสน์ตระกูลกู่ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาแต่ไกล

“ดูเหมือนว่าผีร้ายจะไม่ยอมหายไปเสียทีนะ” ซูเฉินกล่าว

กู่ชิงลั่วขมวดคิ้ว “ข้าจะไปจัดการพวกมัน”

“อย่า” ซูเฉินคว้านางเอาไว้ “ข้ารู้ดีว่าเจ้าเป็นคนตระกูลกู่ แต่การที่กู่เฟยหงกล้าทำเช่นนี้ก็หมายความว่าทางนั้นเลือกที่จะทุบหม้อข้าวจมเรือ(1)แล้ว ตอนนี้การไปรวมตัวกับคนอื่น ๆ สำคัญกว่า เรายังมีโอกาสให้กลับมาแก้แค้นอีกมาก”

เขาพูดพลางดึงกู่ชิงลั่วหนีอีกครั้ง

นางรู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมานั้นถูกต้อง เมื่อสถานการณ์ดำเนินมาจนถึงจุดนี้ กู่เฟยหงย่อมไม่ปล่อยสิ่งต่าง ๆ เอาไว้แบบนี้แน่ …ตอนนี้เขาก็คงจะไม่สนใจถึงสถานะหรือชื่อเสียงตัวเองอีกแล้ว

ในขณะที่นางปล่อยให้ซูเฉินลากไป นางก็กล่าวขึ้น “เมืองฝนต้นฤดูเป็นเขตของตระกูลกู่ การจะสลัดพวกมันออกไปนั้นคงจะไม่ใช่เรื่องง่าย”

“จริงหรือ ?” ซูเฉินหันกลับมาและยิ้ม “ข้าคิดว่าเมืองฝนต้นฤดูเป็นของตระกูลฉู่เสียอีก ?”

“……” กู่ชิงลั่วชะงักไปครู่หนึ่ง “เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดเช่นนั้น ในแง่ของความแข็งแกร่งไม่มีใครเทียบได้กับสมาชิกของตระกูลกู่ ตามนิสัยของเจ้า ข้าว่าเจ้าคงจะสืบเบื้องลึกเบื้องหลังมาบ้างแล้ว”

“ข้ารู้ ไม่ใช่ว่ามีบรรพบุรุษด่านมหาราชันอยู่ 12 คนหรอกหรือ ?” ซูเฉินยิ้ม “น่าเสียดายที่พวกเขาส่วนใหญ่หลับใหลอยู่ใต้พื้นดิน”

กู่ชิงลั่วจ้องอีกฝ่าย “งั้นเจ้าเองก็รู้เรื่องนี้เหมือนกันสินะ ?”

แม้ว่าตระกูลกู่จะมีบรรพบุรุษด่านมหาราชันทั้ง 12 อยู่ แต่ส่วนใหญ่ล้วนหลับใหลอยู่ในโถงบรรพบุรุษ และจะตื่นขึ้นมาทุก ๆ 3,000 ปีเท่านั้น ใน 1 รอบจะมีบรรพบุรุษเพียง 3 คนเท่านั้นที่ตื่นขึ้นพร้อมกัน และเมื่อครบ 1,000 ปีหลังจากตื่นมาแล้ว พวกเขาก็จะกลับไปหลับใหลต่ออีกครั้ง

มีเพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่จะช่วยให้บรรพบุรุษของตระกูลกู่ สามารถฝ่าฟันข้อจำกัดเรื่องอายุขัยและมีชีวิตอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้

“มันก็ไม่ใช่ความลับอะไรขนาดนั้น ทางนี้ … ” ซูเฉินตอบ

ชายหนุ่มพากู่ชิงลั่วเข้าไปในตรอกที่อยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะกล่าวว่า “ขอเลือดของเจ้าหน่อย”

หญิงสาวไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงต้องการเลือดของนาง แต่เนื่องจากเขาต้องการนางจึงกรีดนิ้วของตน และบีบเลือดสองสามหยดให้เขาไป

พริบตาต่อมา กู่ชิงลั่วก็ได้เห็นฉากที่น่าตกใจต่อหน้าต่อตา – ซูเฉินกับกู่ชิงลั่วอีกคู่ที่เหมือนกับทั้ง 2 ไม่มีผิดเพี้ยนปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าพวกเขา

จากนั้นซูเฉินโบกมือไปทางตุ๊กตาคู่นั้น มอบพลังจิตให้กับพวกมันเล็กน้อย ต่อมาตุ๊กตาทั้งสองก็ขยับราวกับมีชีวิตและพุ่งออกจากตรอกไปยังถนนใหญ่ ในเวลาเดียวกันเขาก็ดึงกู่ชิงลั่วเข้าไปซ่อนในเงามืด

ทันใดนั้นกลุ่มผู้ไล่ตามก็ไล่มาทัน เมื่อพวกเขาเลี้ยวเข้าตรอกมาเห็นตุ๊กตา ก็พากันตะโกนชี้ขึ้น “อยู่ตรงนี้ !”

กู่ชิงลั่วเฝ้ามองกลุ่มผู้วิ่งผ่านตรอกไปอย่างตกใจ “กลยุทธ์ในคลังแสงของเจ้าเพิ่มขึ้นอีกแล้ว”

“ชู่ !” ซูเฉินส่งสัญญาณมือให้นางเงียบ

เงาคนอีกสองวิ่งตรงมาทางทั้งคู่ แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้บินอยู่แต่พวกเขาก็เคลื่อนที่เร็วมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ไล่ล่ามานั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร

“พี่น้องตระกูลหลิง ! ไอ้สารเลวกู่เฟยหง !” กู่ชิงลั่วสบถสาปแช่ง

ซูเฉินเอามือปากนางไว้หลวม ๆ มันยังมีคนไล่ตามพวกเขาอยู่

กู่ชิงลั่วจ้องมองซูเฉินที่อยู่ข้างตัวนาง สสารต้นกำเนิดแห่งความมืดปกปิดทั้งสองเอาไว้ ทำให้นางมองไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่ก็ยังคงสามารถสัมผัสถึงการมีอยู่ของซูเฉินได้อย่างชัดเจน ทั้งลมหายใจที่สงบและมั่นคง ทั้งไออุ่นจากกายของอีกฝ่าย

หญิงสาวดึงมือของคนข้างตัวออก และลูบไล้ใบหน้าของเขาเบา ๆ ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น

ซูเฉินสัมผัสได้ถึงความรักใคร่ของกู่ชิงลั่ว จึงอดไม่ได้ที่จะผ่อนคลายสักหน่อย

ชายหนุ่มก้มศีรษะลงเพื่อตอบรับนาง ริมฝีปากของพวกเขาสัมผัสกันเล็กน้อย พวกเขารู้สึกได้ถึงความอ่อนโยน ความชุ่มชื้นจากริมฝีปากของกันและกัน รวมทั้งเปลวไฟอารมณ์ที่ไม่อาจปฏิเสธได้

ทั้งสองโอบกอดกันและแลกจูบกันอย่างเผ็ดร้อน

คราวนี้ไม่มีใครมามุ่งดูอยู่รอบ ๆ พวกเขาแล้ว

จูบของพวกเขาดูดดื่มยิ่งขึ้น เร่าร้อนขึ้น และรุนแรงขึ้นกว่าเดิม

กลุ่มคนที่ไล่ตามมากลุ่มแล้วกลุ่มเล่าวิ่งผ่านตรอกไปไม่หยุด

ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น “ไอ้พวกขยะไร้ประโยชน์ ! กับแค่ซูเฉินเพียงคนเดียวก็ยังจับไม่ได้ เสียหน้าตระกูลกู่ของข้าหมด !”

นั่นคือเสียงของกู่เฟยหง

ซูเฉินกับกู่ชิงลั่วชะงักไปเล็กน้อย

“นายน้อยโปรดอย่าได้กังวลไปเลย เราจะต้องจับซูเฉินได้อย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้คุณหนูชิงลั่วก็อยู่กับมันแล้ว หากนางตอบโต้กลับมาเต็มกำลัง เราจะทำเช่นไรดี ?” เสียงที่ฟังดูแก่กว่าดังขึ้น

หลังจากได้ยินเสียงนี้กู่ชิงลั่วดูจะกระวนกระวายกว่าเดิมเล็กน้อย แม้แต่ไฟอารมณ์ที่ไม่อาจปฏิเสธได้เมื่อครู่ก็เริ่มเบาลง

ซูเฉินรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังอย่างแน่นอน

เขาสัมผัสได้ถึงฝีเท้าของกู่เฟยหง แต่ไม่รู้สึกถึงฝีเท้าของผู้เฒ่าที่เพิ่งพูดไปเลยสักนิด นี่เป็นจุดที่ชี้ชัดว่าอย่างน้อยชายชราผู้นี้ก็ต้องอยู่ในด่านผลาญจิตวิญญาณ แม้ว่าซูเฉินจะไม่กลัวที่จะต้องสู้กับอีกฝ่าย แต่คนระดับนั้นก็ไม่ใช่คู่มือที่ซูเฉินจะรับมือได้ง่ายอยู่ดี

ร่างของกู่เฟยหงปรากฏขึ้นในตรอก “ข้าปฏิบัติต่อชิงลั่วอย่างจริงใจ แต่นางกลับมองว่าความรักของข้าเป็นเหมือนสิ่งสกปรกและเหยียบย่ำมัน ในเมื่อนางไร้ซึ่งใจ ก็ไม่อาจตำหนิข้าว่าไร้ซึ่งความเป็นสุภาพบุรุษได้ หลังจากที่จับนางได้แล้ว เอาตัวไปไว้ที่ห้องข้า”

กู่ชิงลั่วรู้สึกโกรธอย่างมากที่ได้ยินเช่นนั้น โชคดีที่ซูเฉินอยู่ที่นี่ด้วย เขากอดนางเอาไว้แน่นช่วยให้นางยังควบคุมตัวเองเอาไว้ได้

ชายชราที่อยู่ใกล้ ๆ พูดตอบ “ภายนอกของคุณหนูชิงลั่วจะดูอ่อนโยนก็จริง แต่ภายในของนางนั้นดื้อรั้นยิ่ง ทั้งยังใจแข็งราวกับเหล็ก ข้าเกรงว่าถึงบังคับนางทุกอย่างก็อาจยังไม่สามารถปราบนางลงได้”

กู่เฟยหงลังเล “หากข้าปราบนางไม่ได้ เมื่อไม่อาจเป็นเจ้าของได้เช่นนั้นข้าก็ขอเพลิดเพลินสักครั้งก็แล้วกัน”

“แล้วด้านท่านบรรพบุรุษ … ”

กู่เฟยหงพูดอย่างไม่อดทน “อย่างมากที่สุดท่านย่าสี่ก็คงจะสั่งสอนและลงโทษข้าเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นแหละ แล้วท่านจะสังหารข้าทำไม ? ยังไงเสียกู่ชิงลั่วก็เป็นเพียงสมาชิกของตระกูลสาขา ไม่เหมือนข้าที่เป็นคนของตระกูลหลัก ไม่ว่าบรรพบุรุษจะชอบนางมากแค่ไหน พวกเขาก็คงจะสามารถแยกแยะระหว่างคนในกับคนนอกออก จริงไหม ? ญาติสนิทกับญาติห่าง ๆ ยังไงก็ต่างกันอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวล ข้าจะรับผลที่ตามมาเอง”

“ทราบแล้ว !” ชายชรากล่าว

ขณะที่พวกเขาพูด ทั้งสองก็ค่อย ๆ เดินห่างออกไป ร่างของกู่ชิงลั่วที่สั่นเล็กน้อยเพราะความโกรธในที่สุดก็สงบลง

นางถอนหายใจยาวแล้วหัวเราะ “แม้ว่าข้าจะไม่เคยเจอกู่เฟยหงแบบซึ่ง ๆ หน้า แต่ข้าก็ไม่เคยรู้เลยว่ามันมีปัญหาตรงไหน ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสร้างความวุ่นวายนี้ขึ้น ข้าคงไม่มีทางได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของชายผู้นี้”

ซูเฉินหัวเราะเบา ๆ “ไม่ว่าเจ้าจะเห็นตัวตนที่แท้จริงของมันหรือไม่ เจ้าก็ไม่มีทางที่จะตามมันไปอยู่แล้ว”

“เจ้าช่างมั่นใจในตัวเองเสียเหลือเกินนะ มันก็ผ่านไปตั้ง 2 ปีแล้วนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เจ้ามาหาข้า” กู่ชิงลั่วเริ่มดึงหูของซูเฉิน “เจ้าเองก็ไม่ได้ดีขนาดนั้นเลยสักนิด ! ตอนนั้นเจ้าก็หลอกล่อบังคับข้าเช่นกันมิใช่หรือ งั้นเจ้าจะแตกต่างจากกู่เฟยหงมากสักแค่ไหนกันเชียว ?”

“นี่… ไม่ใช่ว่าเราปล่อยให้มันเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วกันแล้วหรอกหรือ ?”

“จู่ ๆ ข้าก็นึกถึงมันขึ้นมา”

เพราะกู่เฟยหง ทำให้กู่ชิงลั่วนึกถึงเรื่องต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตอีกครั้ง ความโกรธในหัวใจของนางยังไม่ได้หายไปไหน ดังนั้นนางจึงตัดสินใจที่จะจัดการกับซูเฉินแทน

ซูเฉินกลายเป็นกระสอบทรายให้นางได้ระบายความโกรธ หูของเขาถูกดึงอย่างแรงจนความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย แต่เขาไม่กล้าขัดขืนและทำได้เพียงยิ้ม “ข้ารู้ ข้าผิดไปแล้ว ไม่ใช่ว่าตอนนี้ข้าก็มาหาเจ้าแล้วหรอกหรือ ?”

“ฮึ่ม ตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว ! พูดมา เมื่อตอนที่ไม่ได้อยู่กับข้า เจ้าได้ไปแอบสานสัมพันธ์กับใครที่ไหนอีกหรือไม่ ?”

“ไม่อย่างแน่นอน !” ซูเฉินสาบานกับท้องฟ้า

“จริงหรือ ?” กู่ชิงลั่วจ้องมองที่เขาอย่างจับผิด

“ข้าสาบานได้ เจ้าลองคิดดูสิ อาณาเขตของคนเถื่อนนั้นอันตรายยิ่ง แล้วข้าจะมีเวลาให้คิดเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไรกัน อีกอย่างหญิงคนเถื่อนนั้นน่าเกลียดยิ่งนัก ข้าจะสนใจพวกมันได้อย่างไร ?”

“หรือก็คือไม่ใช่ว่าเจ้าไม่คิด แต่ไม่มีเวลาให้คิดหรือทำและไม่มีเป้าหมายที่สนใจงั้นสินะ ?”

“ไม่เอาน่า มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย ข้าก็มีเจ้าอยู่แล้วนี่ไง จริงไหม ?” ซูเฉินกอดกู่ชิงลั่วพลางเกลี้ยกล่อมนางอย่างระมัดระวัง

แม้ว่าเขาจะไม่ใช่มืออาชีพด้านนี้ แต่เขาก็เข้าใจดีว่าผู้หญิงจำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมและหยอกล้อ ด้วยพูดคำที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสม เขาจึงค่อย ๆ พูดกล่อมนางอย่างระมัดระวัง ต่อไปจนกระทั่งความโกรธของกู่ชิงลั่วเริ่มบรรเทาลง

เมื่อเขาเห็นว่ากู่ชิงลั่วไม่ได้โกรธตนอีกต่อไปแล้ว ซูเฉินก็กล่าวว่า “ที่นี่ไม่เหมาะที่เราจะคุยกัน ออกไปก่อนแล้วหาที่คุยที่อื่นกันเถอะ”

“ตกลง !” กู่ชิงลั่วพยักหน้า

ซูเฉินพานางออกมาจากตรอก “อยู่ในเมืองคงไม่สะดวกนัก ออกไปนอกเมืองค่อยว่ากัน อ่า เจ้าออกจากเมืองได้ใช่หรือไม่ มันจะไม่เป็นไรใช่ไหม ?”

“ตราบใดที่ตระกูลกู่สายเลือดเดิมไม่ออกจากอาณาจักรภูผาสูญ เราก็ยังสามารถไปทุกที่ที่เราต้องการ”

“แล้วถ้าออกไปนอกอาณาจักรชั่วคราวพวกเขาจะรู้หรือไม่ ?”

“ตระกูลกู่ได้สร้างตราประทับพิเศษไว้บนร่างกายของสมาชิกทุกคนในตระกูลกู่ ทำให้พวกเขาสามารถระบุตำแหน่งของเราได้ ดังนั้นไม่ว่าคนของตระกูลกู่จะอยู่ที่ไหน ก็ไม่อาจซ่อนตัวจากตระกูลฉู่ได้”

“เช่นนั้นถ้ากู่เฟยหงพยายามตามหาเจ้าผ่านตระกูลฉู่ มันจะหาตัวเจ้าได้ ?”

“ใช่ แต่กู่เฟยหงไม่มีหน้ามีตามากอะไรขนาดนั้น ตราบใดที่สมาชิกของตระกูลกู่ไม่ออกจากภูผาสูญ ตระกูลฉู่ก็ไม่มีทางจะรับงานหน้าเบื่อแล้วมาไล่จับข้า”

“แล้วบรรพบุรุษของตระกูลกู่มีหน้ามีตามากพอหรือไม่ ?”

กู่ชิงลั่วเงียบลง

แม้ว่าตระกูลกู่จะอยู่ภายใต้การดูแลของตระกูลฉู่ แต่ด้วยความแข็งแกร่งของตระกูลกู่ ตราบเท่าที่พวกเขาไม่ละเมิดข้อตกลงเดิมของพวกเขา แม้แต่ตระกูลฉู่ที่เป็นเชื้อเจ้าก็ยังต้องไว้หน้าพวกเขาอยู่บ้าง

เมื่อเห็นการแสดงออกของหญิงสาวซูเฉินก็เข้าใจ “งั้นหากพวกเขาต้องการ พวกเขาจะตามหาเจ้าเจอได้เสมอใช่ไหม ?”

กู่ชิงลั่วพยักหน้าเงียบ ๆ

“ถ้าเช่นนั้นเราก็รีบไปกันเถอะ” ซูเฉินกล่าว

“รีบ ? รีบไปไหนกัน ?” กู่ชิงลั่วถามด้วยความตกใจ

“ก็ต้องไปแก้ปัญหาและจัดการกับไอ้สารเลวกู่เฟยหงน่ะสิ”

เนื่องจากกู่ชิงลั่วไม่สามารถออกจากภูผาสูญไปได้ และกู่เฟยหงก็ยังคงจับจ้องนางอยู่ไม่ห่าง ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องคิดหาวิธีอ้อนวอนให้ตระกูลฉู่ตามหาตำแหน่งของกู่ชิงลั่วให้เป็นแน่ ดังนั้นตัวตนของกู่เฟยหงจึงถือได้ว่าเป็นภัยคุกคาม

และเมื่อมันเป็นการคุกคาม เช่นนั้นก็ต้องกำจัด !

*****

(1) 破釜沉舟 – ทุบหม้อข้าวจมเรือ หมายถึง การตัดสินใจที่เด็ดขาดที่เมื่อคิดจะทำแล้วต้องทำต่อไปให้ถึงที่สุด