เสียงหัวเราะของไวเค็นมิได้ถูกปิดกั้นไว้ พระคาร์ดินัลเสื้อคลุมแดงสองคนที่อยู่นอกห้องสมุดจึงหันมามองหน้ากันด้วยความมึนงงสับสน นึกสงสัยว่าเหตุใดท่านผู้ทรงศีลสูงสุดจึงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเสียขนาดนั้นในขณะที่สภาเวทมนตร์กำลังถ่ายทอดสดอยู่ หรือว่าดักลาสจะสมองกลับหลังจากได้เป็นมนุษย์ครึ่งเทพ แล้วประกาศต่อหน้าสาธารณชนว่าเขาขอยอมจำนนต่อศาสนจักรผ่านการถ่ายทอดสดกันนะ

นอกเหนือจากเรื่องนี้แล้ว พวกเขาก็ไม่อาจคิดถึงเหตุผลอื่นได้อีกว่าเพราะเหตุใดการถ่ายทอดสดของสภาเวทมนตร์จึงทำให้ผู้ทรงศีลสูงสุดยินดีปรีดาแทนที่จะโกรธเกรี้ยว

แต่แน่นอน พวกเขารู้ดีว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้น

หลังจากหัวเราะจนสาแก่ใจ ไวเค็นก็กลับมาสงบนิ่งและเก็บกดความรู้สึกของตนกลับลงไป อย่างไรมันก็เป็นการทดลองของดักลาสและไม่อาจเชื่อถือได้เสียทั้งหมด จะเกิดอะไรขึ้นหากอีกฝ่ายจงใจหลอกเขา เขาจำต้องทำการทดลองนี้ด้วยตัวเองสักสองสามครั้งเพื่อยืนยันผลลัพธ์ก่อนที่เขาจะวางแผนใดต่อไป

การทดลองในครั้งนี้หาได้ซับซ้อนจนเกินไป และส่วนที่ยากที่สุดก็คือการควบคุมอันละเอียดอ่อนและการสร้างเครื่องมือต่างๆ สำหรับพระสันตะปาปาไวเค็นที่มีความรู้ความเข้าใจในศาสตร์แห่งการแปรธาตุอย่างลึกซึ้ง และเป็นผู้ที่ให้ความสนใจและศึกษาอาร์คานามาโดยตลอด มันจึงมิได้ยุ่งยากจนเกินไป ความแตกต่างอันใหญ่หลวงระหว่างเขากับเหล่ามหาจอมเวทนั้นหาใช่ทักษะที่เป็นประโยชน์ใช้ได้จริง แต่เป็นวิธีการคิดตามระบบอาร์คานาต่างหาก ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะออกแบบการทดลองเช่นนี้ขึ้นมา และเขาก็ทำได้เพียงทำตามความก้าวหน้าทางการวิจัยของดักลาสและลูเซียน

ภายในจัตุรัส ขณะที่ดักลาสทำการทดลองซ้ำ เสียงอุทานว่า ‘เป็นไปไม่ได้!’ ก็ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน คนธรรมดาๆ ที่รับชมและรับฟังรายการของสภาเวทมนตร์ต่างได้รับการสอนสั่งด้วยสามัญสำนึกและตรรกะไม่มากก็น้อย พวกเขาจะไม่ตกใจกลัวได้อย่างไร กับข้อเท็จจริงที่ว่าผลลัพธ์เป็นตัวตัดสินกระบวรการ อีกทั้งมันยังขัดต่อประสบการณ์ในชีวิตประจำวันและสัญชาตญาณทางธรรมชาติของพวกเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตมากสติปัญญาโดยสิ้นเชิง!

ทว่า ขณะที่ผลการทดลองได้รับการยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่า ความกลัวของพวกเขากลับค่อยๆ ลดลง อย่างไรเสีย เวทมนตร์ก็เป็นสิ่งที่อยู่เหนือจินตนาการอยู่แล้ว เหตุผลที่ว่าทำไมการที่กฎของเหตุและผลมิได้ทำให้ความคิดของพวกเขาปั่นป่วนนั้นก็เป็นเพราะว่า เวทมนตร์ได้ทำลายมันไปนานแล้วน่ะสิ

“เวทมนตร์ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก!” ชายชราผู้หนึ่งเอ่ยเสียงดังด้วยความตื่นเต้น “มันยืดช่วงชีวิตคนและเปลี่ยนแปลงอดีตได้!”

นักเวทคนหนึ่งที่บังเอิญผ่านมา จึงได้รับชมการถ่ายทอดสดที่จัตุรัสแห่งนี้ หันไปมองชายชราด้วยสายตา ‘เจ็บปวดขื่นขม’ สองอย่างนี้เปรียบเทียบกันได้ด้วยหรือ

ในหัวและดวงตาของนักเวทผู้นั้นบวมเป่งด้วยหยาดโลหิต เขารู้สึกว่าความเข้าใจที่ตนมีต่อโลกใบนี้กับชีวิตของเขาถูกจับพลิกคว่ำพลิกหงาย ทุกสิ่งทุกอย่างกลับกลายเป็นภาพมายาและหาได้มีความหมายใดอีกต่อไป อย่างไรเสีย การตัดสิน ณ เวลาปัจจุบันสามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้!

ก่อนนั้น นักเวททุกคนต่างเชื่อว่าอดีตคือสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ และอนาคตก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ แต่บัดนี้ อดีตกลับถูกปรับเปลี่ยนได้แล้วเช่นนั้นหรือ

ในหูเขาดังอื้ออึง ราวกับเกิดเสียงฟ้าคำราม เขาหันศีรษะไปด้วยอาการเหม่อลอย นึกสงสัยว่าตนกำลังฝันอยู่หรือไม่

ชายชราอีกคนหนึ่งที่สวมหมวกผ้าอุทานด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน “ใช่ เวทมนตร์ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก ข้าเคยได้ยินมาว่านักเวทระดับสูงๆ สามารถยืดช่วงชีวิตได้หลายร้อยปีและยังคงแข็งแรงมีชีวิตชีวาเหมือนตอนยังหนุ่มเลยด้วย!”

พวกเขาให้ความสนใจกับเรื่องนั้นยิ่งเสียกว่าผลการทดลองที่ว่าปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอดีตได้ ซึ่งเป็นเหมือนเรื่องชวนฝัน

กวีขับลำนำและนักเขียนบทละครที่อยู่รอบๆ หลังจากได้สติจากอาการตกตะลึง ต่างก็ตื่นเต้นยินดี การทดลองแสนยอดเยี่ยมนี้ทำให้พวกเขาเกิดแรงบันดาลใจ พวกเขาอดรนทนไม่ไหวที่จะได้สรรค์สร้างเรื่องราวน่าตื่นเต้นและน่าประหลาดใจ เช่น เมื่อ ‘ผู้สังเกตการณ์ผู้แข็งแกร่ง’ สังหารใครบางคน ร่องรอยทั้งหมดของเขาที่เกิดขึ้นในอดีตจะถูกลบและแทนที่ด้วยคนและสิ่งอื่น ดังนั้นจึงมิมีผู้ใดจดจำเขาได้อีกต่อไป และมิมีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเคยมีคนคนนี้อยู่บนโลกด้วย…

ยิ่งคิด พวกเขาก็ยิ่งตื่นเต้น บางคนยังถึงกับทรุดตัวลงไปนั่งยองๆ และจดบันทึกแรงบันดาลใจด้วยปากกากับกระดาษ

ไม่ต้องเดาก็รู้ได้เลยว่าความลี้ลับของขอบเขตโลกจุลภาคจะต้องตอบสนองความกระหายอยากของเหล่านักเขียนบทละครและกวีขับลำนำเป็นแน่

เหล่านักเรียนในโรงเรียนสายสามัญและโรงเรียนสำหรับชนชั้นสูงมิได้คิดง่ายๆ และมีความสุขเช่นพวกเขา กลับตกอยู่ความเจ็บปวดระทมทุกข์ การทดลองที่ท่านประธานและท่านอีวานส์ลงมือปฏิบัติด้วยตนเองได้โค่นล้มสามัญสำนึกขั้นพื้นฐานและขัดต่อตรรกะที่เป็นสิ่งพื้นฐานที่สุดอีกด้วย เด็กๆ ต่างกุมศีรษะที่เหมือนกับจะแยกออกเป็นสองซีก ทางหนึ่ง มันคือโลกปกติพร้อมด้วยองค์ความรู้ทั่วไป ส่วนอีกทางหนึ่งคือโลกที่น่าเหลือเชื่อ ซึ่งเพิ่งจะถูกเปิดเผยด้วยการทดลองเมื่อครู่นี้ พวกมันต่อสู้กันอย่างหนักหน่วงภายในสมอง เหมือนกับเทวดากับปีศาจ

เป็นตอนนี้เองที่พวกเขาได้ประสบพบเจอด้วยตัวเองว่าความเจ็บปวดและความปั่นป่วนแตกซ่านเป็นเช่นไร นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่พวกเขานึกเสียใจที่เข้าใจองค์ความรู้ทางด้านอาร์คานามากมายถึงเพียงนี้!

‘ทำไม…ทำไมข้าจึงต้องมาดูการทดลองที่ท่านอีวานส์มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยล่ะนี่’

‘เหตุใดข้าจึงอยากฆ่าตัวตายนัก’

อาลีครุ่นคิดอย่างเหม่อลอย ‘ข้ามีอยู่จริงหรือไม่ในยามนี้ ทุกความคิดในตอนนี้กำลังเปลี่ยนแปลงตัวข้าในอดีตหรือไม่’

“ไม่ ไม่หรอก จะต้องมีคำอธิบายอื่นแน่ๆ ไม่มีสูตรการคำนวณไหนสามารถอธิบายเรื่องนี้ได้…” ลองแมนพยายามปลอบใจตนเองให้สงบลง แต่เขากลับไม่อาจหยุดพึมพำกับตนเองได้

ในขณะที่พวกเขาตกอยู่ในภวังค์ความเจ็บปวดและรู้สึกล่องลอยไร้หนทาง ผู้ฝึกใช้มนตราและจอมเวทกลับเงียบกริบ ราวกับพวกเขาไม่แม้แต่จะหายใจ คนอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลว่าศีรษะของพวกเขาจะระเบิดโพลงพร้อมๆ กัน

ภายในห้องชุด ดักลาสทำการทดลองซ้ำไปซ้ำมา และผลลัพธ์ที่ได้ก็เป็นแบบเดียวกัน แต่เขากลับมิได้หยุดนิ่ง ทำเพียงคิดคำนวณต่อไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

จนกระทั่งลูเซียนส่งเสียงกระแอมไอนั้นเอง เขาจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่และหยุดการทดลอง ก่อนจะพูดกับผู้ชมทุกคนด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ข้าเชื่อว่าจุดยืนอันเป็นขั้นพื้นฐานที่สุดของเหล่าจอมเวทก็คือการเคารพในผลการทดลอง ปรากฏการณ์ และคณิตศาสตร์”

ถ้อยคำของเขาเป็นดั่งคำประกาศ ซาแมนธา หลุยส์ และจอมเวทคนอื่นๆ ที่มีส่วนร่วมในการถ่ายทอดสดครั้งนี้ต่างหมดเรี่ยวแรงจะยืนต่อไป พวกเขาทรุดตัวลงไปกองกับพื้น เหมือนกับองค์ความรู้ สามัญสำนึก และสัญชาตญาณทางธรรมชาติแต่เดิมที่ไม่อาจสนับสนุนโลกทันศ์ของพวกเขาได้อีกต่อไป

ในอัลลิน เรนทาโต และทุกหนทุกแห่งที่มีการถ่ายทอดสด เหล่าจอมเวทต่างก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเวทที่เชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ พวกเขาถึงกับร่ำไห้ออกมาอย่างไร้ซุ่มเสียง ราวกับกำลังไว้อาลัยให้กับนิยัตินิยมที่กำลังดับสูญไปและกฎของเหตุและผลที่อาจถูกลบล้าง

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นิยัตินิยมได้มาถึงจุดที่ใกล้จะสูญสลายเต็มที แต่ทุกคนต่างไม่เต็มใจยอมรับ และไม่ยอมเผชิญหน้ากับความจริงจนกระทั่งพวกเขาต้องมาเจ็บปวดทนทุกข์กับแรงทำลายล้างอันทรงพลัง ตอนนี้พวกเขาเปราะบางที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา

ความโศกเศร้า สูญเสีย สับสน และความสิ้นหวังเหนือคำบรรยายเข้าครอบงำนครลอยฟ้าและสาขาใหญ่ๆ ของสภาเวทมนตร์

ดักลาสกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง เขาเห็นว่า นอกจากบรูก เฟอร์นันโด และนักเวทชั้นตำนานอีกไม่กี่คนที่ยังครุ่นคิดไตร่ตรองถึงคำถามต่างๆ อย่างเคร่งเครียด จอมเวทคนที่เหลือดูจะหมดแรงและเหลือรับ เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเราในตอนนี้ก็คือการหาคำตอบให้ได้ว่าเพราะเหตุใดจะปรากฏผลลัพธ์เช่นนี้ขึ้น ทุกคนต้องจดจำเอาไว้ว่าอนุภาคขนาดเล็กจิ๋วนั้นคือสสารที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง บางทีเราอาจจะได้ค้นพบคำอธิบายในทางอื่นๆ แทนที่จะมามัวบีบบังคับให้ตัวเองเชื่อว่าปัจจุบันสามารถเปลี่ยนแปลงอดีต”

คำพูดของเขาช่วยกระตุ้นจอมเวทที่ตกตะลึงอึ้งงันให้ค่อยๆ กลับมาได้สติ

หลังจากจบการถ่ายทอดสด ดักลาสก็ถอนหายใจแผ่วเบาขณะเฝ้ามองซาแมนธาและจอมเวทคนอื่นๆ จากไปด้วยท่าทางเศร้าซึม “ไม่ว่าจะอย่างไร ก็เป็นเวลาเหมาะที่พวกเขาจะให้ความสนใจกับปัญหาเรื่องนิยัตินิยม ในยุคที่อาร์คานาศาสตร์พัฒนารุดหน้าไปไกล มันย่อมมีความรุ่งเรือง ความวิเศษ ความปีติ ความตื่นเต้น และความสุขล้น มากพอๆ กับความโศกเศร้า ความเจ็บปวด และความสิ้นหวัง นี่คือยุคสมัยแห่งรอยยิ้มและน้ำตา”

“แต่หลังจากวันนี้ไป หากไร้ซึ่งการทะลวงขั้นในทางทฤษฎี จอมเวทส่วนใหญ่ในสภาคงจะหยุดเลื่อนระดับไปอีกสิบปีเพราะความไม่มั่นคงของโลกแห่งปัญญาอันมีสาเหตุจากความสับสนปั่นป่วนในหลักการขั้นพื้นฐานของพวกเขา” บรูกผู้เคยมีประสบการณ์โลกแห่งปัญญาพังทลายและถูกแช่แข็ง เดินจากไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายปะปนกัน

เฟอร์นันโดจ้องมองเครื่องมือการทดลองพลางพูดด้วยน้ำเสียงมิแยแสเช่นแต่ก่อน “การติดแหง็กในยามนี้ย่อมดีกว่าไปติดแหง็กในอนาคต ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ชีวิตเราจะหยุดนิ่งไปตลอดกาล ตอนนี้เรามีมนุษย์ครึ่งเทพหนึ่งคน กับชั้นตำนานระดับสูงสุดสี่คน เท่านี้ก็เพียงพอจะปกป้องทุกคนขณะที่พวกเขาปรับเปลี่ยนโลกทัศน์เสียใหม่”

เสียงฝีเท้าดังขึ้นที่ด้านนอก แอนนิค สปรินต์ ไฮดี้ และลูกศิษย์คนอื่นๆ ของลูเซียนเดินมาถึงห้องชุดแล้ว หลังจากที่พวกเขารับชมการทดลอง พวกเขาก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป และอยากจะสอบถามอาจารย์ให้ได้โดยเร็วที่สุด

ดักลาสยิ้มขื่นเมื่อเห็นเช่นนั้น “เป็นเจ้าที่นำเสนอการทดลองทางความคิดทั้งสองอย่างนี้ อีวานส์ ฉะนั้น ข้าเชื่อว่าหลังจากการถ่ายทอดสดนี้ จอมเวท ผู้ฝึกใช้มนตรา และคนธรรมดาส่วนใหญ่ที่มีความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับอาร์คานา คงจะหวาดผวาทันทีที่ได้ยินใครชื่อเจ้า”

“ข้านี่ช่างฉาวโฉ่เสียจริง…” ลูเซียนยกมือขึ้นเกาปลายคางพลางยิ้มด้วยสีหน้าช่วยอะไรไม่ได้

“อาจารย์ขอรับ มันขัดแย้งกับกฎของเหตุและผลจริงๆ หรือขอรับ ข้าไม่คิดเช่นนั้นเลย…” แม้จะเป็นคนชอบเก็บตัวและขี้อาย แต่แอนนิคกลับแสดงอาการต่อต้านปัญหาทางอาร์คานาอย่างผิดวิสัย หลังจากที่เขาทำความเคารพเหล่ามหาจอมเวท เขาก็รัวคำถามใส่อาจารย์ตนอย่างไม่รีรอ ทั้งยังแสดงความเห็นของตนเองอีกด้วย

เมื่อได้ยินคำถามจากเขา ทั้งดักลาส แฮทธาเวย์ โอลิเวอร์ และคนอื่นๆ ต่างก็เคลื่อนสายตาไปจดจ้องใบหน้าลูเซียนด้วยเช่นกัน พวกเขาเองก็สนใจความคิดเห็นเกี่ยวกับการทดลองนี้ของลูเซียน

ดูเหมือนว่าลูเซียนจะคาดการณ์ถึงคำถามจากแอนนิคไว้แล้ว เขาจึงตอบกลับโดยไม่ต้องคิด “ความเห็นของท่านประธานอาจเป็นจริงก็ได้ อิเล็กตรอนจะกระจายตัวไปทั่วพื้นที่และมาจากทุกเส้นทาง และมีเพียงตอนหลังจากที่เราเลือกผลลัพธ์ที่ต้องการจะเห็นแล้วเท่านั้นที่พวกมันจะสลายตัวบนหนึ่งหรือสองเส้นทาง มันไม่ใช่เพราะปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอดีต แต่เพราะอิเล็กตรอนไม่ได้สลายตัวก่อนที่เราจะเลือก และเส้นทางก็ไม่เคยถูกกำหนดไว้จนกระทั่งเราเลือก”

‘ก่อนที่เราจะเลือก…’ ดวงตาของแอนนิคพลันเบิกโพลง “ผลกระทบจากผู้สังเกตหรือขอรับ”

คำอธิบายนั้นไม่เพียงไขข้อขัดแย้งเรื่องกฎของเหตุและผล แต่ยังเน้นย้ำถึงผลกระทบจากผู้สังเกตอีกด้วย!

ลูเซียนเม้มปาก ก่อนส่งยิ้มให้แอนนิค ทว่ามิได้เอ่ยอะไรอีก

เฟอร์นันโดและคนที่เหลือต่างส่ายศีรษะ ยังคงไม่เต็มใจจะยอมรับทฤษฎีผลกระทบจากผู้สังเกต ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน ขณะตรึกตรองและพยายามหาคำอธิบายที่ไม่ขับเน้นทฤษฎีผลกระทบจากผู้สังเกตและไม่ขัดต่อกฎของเหตุและผล

……………………………..