Ch.38 – การบุกป้อมปราการของราชาผู้พิชิตแห่งต่างพันธุ์ และแผนการฟื้นฟูอาณาเขตชายแดน (จบบทที่ 2))

Translator : ปลาดุกอเมซอน / Author

 ──หลายวันต่อมา ที่ป้อมปราการของ[ลัทธิปลุกแผ่นดิน]──

 

“ไปบอกพวกทหารชาวนาซะ! [พวกแกไม่มีที่ให้กลับไปแล้ว เพื่อให้แผ่นดินของพวกเราเกิดขึ้นจริง ก็จงมาเป็นทหารเพื่อปกป้องป้อมปราการนี้ซะ]!!”

 

ผู้ชายที่เป็นผู้บริหารของลัทธิฟาดดาบลงแล้วตะโกนออกไป

เหล่าคนที่อยู่ในป้อมปราการชูมือขึ้นแล้วส่งเสียงเชียร์

ช่วงเวลาย่ำรุ่ง เป็นพิธีกรรมที่เกิดขึ้นทุกเช้าที่ปราสาทนี้

 

“เอาล่ะ ไปปลุกพวกทหารชาวนาบนพื้นได้แล้ว! ได้เวลาเริ่มการฝึกของท่านผู้ชี้นำ[เกลียร์ เทรเชอร์]! ผู้ที่ช้าสมควรต้องได้รับความตายเป็นหมื่นครั้ง!”

 

หนึ่งในลูกน้องที่ได้ยินเสียงของผู้บริหารวิ่งออกไป

ผู้บริหารที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ พร้อมกับลูบแมลงปอยักษ์ที่เกาะไหล่อยู่

 

“แต่ว่า…ข่าวลือที่ว่าท่านผู้ชี้นำ[เกลียร์ พิลล่าร์]ถูกจัดการไปนี่เรื่องจริงหรือเปล่านะ”

 

หน่วยที่ไปบุกหมู่บ้านใกล้ๆชายแดน ตอนนี้ก็ยังไม่มีการตอบกลับมา

กองกำลังหลักของ[ลัทธิ]นั้นเคลื่อนที่เพื่อศึกตัดสินกับ[เจ้าเมืองคิโทล] ไม่สามารถส่งทหารกำลังเสริมไปได้ พวกตัวเองแค่ปกป้องป้อมปราการก็เต็มกลืนแล้ว

 

“ยิ่งกว่านั้น คงจะไม่มีศัตรูที่ปีนมาถึงที่นี่ได้หรอก”

 

ป้อมปราการถูกสร้างขึ้นบนยอดเขาสูงชัน ถนนที่จะมายอดก็มีเพียงเส้นเดียว ที่นั่นมีรั้วถูดสร้างไว้ แล้วมีคนคอยสอดแนมอยู่หลายคน ถึงทหารประจำการจะมาก็ไม่ใช่ว่าจะบุกได้ง่ายๆ

 

ระหว่างอาณาเขตของมนุษย์กับชายแดนที่อมนุษย์กับอสูรอาศัยอยู่นั้นมีภูเขาอยู่มากมาย

ภูเขานั้นแยกศูนย์กลางกับชายแดนออกมาจากกัน และที่นั่นก็มีป้อมปราการที่ไม่มีใครใช้อยู่ จำนวนนับได้5แห่ง ลัทธิได้ค้นพบพวกมันแล้วก็เอามาใช้ประโยชน์ เนื่องจากเป็นป้อมปราการเล็กๆ ก็เลยอยู่กันได้แค่ประมาณไม่กี่สิบคน แต่ถึงอย่างนั้น ก็เหมาะกับการใช้สอนให้พวกขี้ข้ารู้จักจุดยืน

 

มีการสร้างค่ายทหารกับกระท่อมเฝ้ายามที่พื้น พวกขี้ข้าก็ถูกให้ไปอยู่ในนั้น ในการเฝ้ายามก็จะมีลูกน้องที่จะคอยรายงานสายตรงมาอยู่ด้วย เจ้าพวกทหารชาวนาชีวิตน่าสมเพชก็จะต้องต่อสู้สุดชีวิต การต่อสู้ของพวกเราผู้บริหารนั้นคือในตอนท้ายที่สุด แบบนั้นละดีแล้ว

 

“หน้าที่ของพวกเราก็คือการรักษากำลังทหาร แล้วในตอนที่ฉุกเฉินจะได้ทำการทะลวงหลังของพวกทัพประจำการ จนกว่าจะถึงตอนนั้นจะใช้พวกทหารชาวนาไม่ได้เด็ดขาด”

 

“ท่านหัวหน้าหน่วยคุ้มกัน!”

 

ทหารที่ส่งไปสำหรับรายงานกลับมาแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าผู้บริหาร

 

“พวกข้างล่างกำลังแตกตื่นครับ มีพวกอื่นนอกจากทหารประจำการของอาริเชียกำลังเคลื่อนไหวเพื่อบุกป้อมปราการนี้อยู่ ดูเหมือนได้ยินข้อมูลแบบนั้นมา…”

“อีกแล้วเหรอ”

“ครับ ในระหว่างที่เราไม่รู้ตัวก็มีผ้าที่เขียนตัวอักษรถูกปล่อยลงมาครับ เขียนว่า[ลัทธิจะพินาศในไม่ช้า หนีไปซะ]”

“[เจ้าเมืองคิโทล]ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้–ฝีมือของเจ้าพวกนั้นใช่ไหมล่ะ อย่างกังวลไปน่า”

“แต่ว่า จะมองข้ามไปไม่ได้ครับ”

“ให้ตายสิ…รีบแตกตื่นกับพวกขยะไปก็ไม่ได้อะไรหรอกน่า”

 

ผู้บริหารหัวเราะออกมา

แมลงปอที่อยู่บนไหล่ก็ส่งเสียงหัวเราะ กี๊กี๊กี๊ ตอบเสียงนั้น

ที่อยู่ที่ขาคือตะขาบที่หุ้มด้วยเปลือกสีดำ เป็นอสูรที่แข็ง ดาบและธนูไม่สามารถทะลวงได้ง่ายๆ เป็นพลังที่ใช้เพื่อให้มนุษย์ทำตามอย่างซื่อสัตย์

 

“ที่นี่มีท่านผู้ชี้นำ[เกลียร์ เทรเชอร์]อยู่ แค่ทหารประจำการของประเทศเน่าๆ ไม่เห็นจะน่ากลัวสักนิด”

“แต่ว่าทหารชาวนาเป็นพวกที่ถูกบังคับมา…จึงเต็มไปด้วยคนที่อยากจะกลับหมู่บ้านครับ ถ้าเกิดมีการต่อสู้ขึ้นมา จะสามารถรักษาขวัญกำลังใจได้หรือเปล่า”

“ถ้าแสดงผลลัพธ์ให้เห็น ก็คงจะเลิกกังวลกันไปเองนั่นล่ะ”

 

ผู้บริหารอ้าแขนออก แล้วก็ส่งเสียงราวกับจะปัดเป่าความไม่สบายใจของลูกน้อง

 

“ถนนที่จะมาป้อมปราการมีเพียงทางเดียวเท่านั้น ถ้าเกิดอะไรฉุกเฉิน ก็แค่อุดมันก็พอแล้ว กำลังทหารแค่พวกที่ชิงมาจากหมู่บ้านก็พอแล้ว พวกเราก็ทำหน้าที่แค่ปล่อยธนูกับไฟลงจากป้อมปราการก็พอ ยังจะมีอะไรต้องกลัวอีกงั้นหรือ!”

“กะ ก็จริง”

“เอาเถอะ ที่เจ้าพวกศรัทธาต่ำกังวลก็เข้าใจอยู่หรอก จะนำทหารระดับสูงหลายนายที่อยู่ในป้อมปราการลงไปค่ายทหารก็ได้ ทำให้พวกที่มันแตกตื่นสงบซะ จากนั้นก็เสริมการป้องกันบนพื้นดิน ทำแบบนั้นคงจะสบายใจแล้วสินะ”

“เข้าใจแล้วครับ!”

 

ทหารรายงานยืนขึ้นแล้วออกวิ่งไป

พอผู้บริหารมองออกไปนอกหน้าต่าง ก็เห็นทหารรายงานกับอีกหลายคนลงไปยังถนน

 

“บัดนี้โชคชะตาได้อยู่ภายใต้เงื้อมมือของพวกเราแล้ว!”

 

ผู้บริหารมองไปที่พื้นดิน แล้วพูดด้วยเสียงดังขึ้น

 

“พวกเรา[ลัทธิปลุกแผ่นดิน]จะก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ขึ้นมาบนแผ่นดินนี้แทนที่อาริเชีย พวกเจ้าจะได้พบกับการก่อตั้งนั้นที่ตรงหน้า แทนที่จะคำนึงถึงชีวิตมาคิดถึงชื่อเสียงดีกว่า! ชื่อในฐานะผู้ที่ได้อยู่ในเวลาแรกแห่งราชวงศ์ที่จะดำเนินไปชั่วนิรันดร์! ฟุฮะ ฟุฮะฮะฮะฮะฮะฮะฮะฮะฮะฮะฮะฮะ!!”

 

“คือว่า ขอโทษที่มากวนตอนตื่นเต้นนะ ขอเวลาหน่อยได้ไหม”

 

มีเสียงดังขึ้น

จากด้านหลังของผู้บริหารกับผู้ศรัทธา

 

พอหันกลับไปตรงนั้นก็มีมนุษย์ที่คลุมหน้าด้วยผ้าสีฟ้ายืนอยู่หลายคน

ดูยังไงก็เป็นคนที่น่าสงสัย

 

“ก็สำรวจมาสักพักแล้วล่ะ แต่คนที่อยู่ในป้อมปราการดูเหมือนจะหายไป10คนสินะ ก็เลยคิดว่าได้จังหวะแล้วหรือเปล่า น่ะ”

 

โผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

พวกมนุษย์ที่โผล่มาที่ที่สอดแนมของป้อมปราการ–ระเบียงด้านตะวันตกมองมาที่ชายผู้บริหารลัทธิเงียบๆ

ไม่เห็นหน้า เพราะแสงอ่อนๆยามเช้างั้นเหรอ ก็เลยเห็นเป็นแค่รูปร่างรางๆ

 

“ได้ยินข้อมูลมาจากทหารที่บุกหมู่บ้านแล้ว ทั้งตำแหน่งของป้อมปราการ ทั้งกำลังรบ ทั้งกำหนดการณ์ทุกวันของลัทธิด้วย ดังนั้น ก็เลยมาตอนก่อนย่ำรุ่ง”

 

ผู้ชายที่ซ่อนหน้าด้วยผ้าสีฟ้าก็พึมพำออกมาเรียบๆ

 

“แล้วก็จะขอร้องอะไรหน่อย ที่นี่ ได้ยินมาว่าเป็นซากป้อมปราการเก่าสมัยจักรพรรดิมังกรสินะ ขอสำรวจสักหน่อยได้ไหม?”

“อะ อะ อะ อะ อะไรของแก!?”

“เรื่องนั้นไม่ต้องสนใจก็ได้”

 

ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าพูดแบบดูแคลนผู้บริหาร

 

“พวกเราแค่อยากสำรวจที่นี่เฉยๆ แต่ว่า ถ้าขัดขวางก็คงต้องจัดการ”

“ที่นี่คือยอดภูเขานะเฟ้ย! เข้ามาได้ยังไงฟะ!?”

“หืม”

 

ผู้ชายที่ปิดหน้าชี้ไปด้านหลัง

ที่หลังของชายคนนั้นมีปีกสีขาวบริสุทธิงอกอยู่

 

ผู้บริหารเบิกตากว้าง พวกอมนุษย์ที่บินบนฟ้าได้ก็รู้จักอยู่ แต่ พวกมันเปลี่ยนแขนให้เป็นปีก อมนุษย์ที่มีปีกงอกจากข้างหลังน่ะไม่เห็นจะรู้จัก

 

แล้ว พวกเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังนั่นมันอะไร? พวกเธอถือดาบกับกระบอง ข้างหลังก็มีทหารที่ล้มเรียงราย ถึงจะบุกมาจากบนฟ้าโดยที่ทางนี้ไม่รู้ตัว…แต่ไอ้เรื่องที่ทำให้ทหารหมดสติโดยไม่มีโอกาสได้ส่งเสียงนี่มัน…เป็นไปไม่ได้

 

“พวกแก…เป็นใคร!”

 

ผู้บริหารลัทธิตะโกนออกมา

 

“ราชาผู้พิชิตที่ผ่างทางมา” “กับน้องสาวล่ะ!”

 

เด็กสาวที่อยู่ข้างหลังผู้ชายส่งเสียงออกมา

 

“เพื่อโค่นลัทธิที่บุกหมู่บ้าน” “แล้วก็ เพื่อการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขของท่านพี่”

““ด้วยนามแห่งราชาผู้พิชิตแห่งต่างพันธุ์ มาบุกป้อมปราการนี้เรียบร้อยแล้วค่ะ!!””

“อย่ามาพูดบ้าๆน่าาาา!!”

 

ผู้บริหารเหวี่ยงดาบแล้วตะโกนออกมา

 

“ราชาผู้พิชิตงั้นเหรอ!? พูดจาอะไรบ้าบอ! ราชาที่ไหนจะผ่านทางมาที่แบบนี้!! อย่ามาทำอะไรบ้าๆนะว้อย!!”

“นี่ไง ถูกโกรธจนได้”

 

ชายคนนั้นถอนหายใจ มองไปที่เด็กสาวทั้งคน

 

“ก็ถึงได้บอกไงว่าอย่าใช้การประกาศชื่อนั้นน่ะ?”

“แต่ว่าแต่ว่าท่านพี่!” “การภูมิใจในตัวท่านพี่ คือสัญชาตญาณของน้องสาวนะ!”

“เรื่องนั้นก็เอาไว้หลังจากคิดการประกาศชื่อที่ดีกว่านี้เถอะ”

““ค่าา””

“ก็บอกว่าอย่ามาพูดอะไรบ้าๆ!! จงมา เหล่าแมลง!!”

 

ผู้บริหารสะบัดมือ

อสูรรูปร่างแมลงเข้ามารวมตัวจากรอบๆตอบสนองเสียงนั้น

พวกแมลงปอที่มีปีกขนาดใหญ่ที่กว้างกว่าคนตอนกางแขน ตะขาบที่มีเปลือกแข็งยิ่งกว่าเกราะ ไม่ว่าจะตัวไหน ต่างก็เป็นไพ่ตายที่เขาได้รับมาจากผู้ชี้นำ

 

ทหารเกือบส่งใหญ่ที่อยู่ในป้อมปราการถูกส่งไปที่ภาคพื้น

ที่ถนนมีรั้วที่สร้างเป็นที่กั้นอยู่ ทหารจำนวนมากไม่สามารถผ่านมันได้ในรวดเดียว

แถมที่นี่ยังเป็นสถานฝึกสำหรับให้ทหารชาวนากลายเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิ และเป็นคลังอาวุธเพื่อยามฉุกเฉิน จำนวนทหารจึงมีน้อย กำลังรบก็ต่ำ

 

แต่ว่า ไม่มีปัญหา ศัตรูก็มีแค่3คน

แถมทางนี้ยังมีอสูรรูปร่างแมลงที่ได้รับมาจากปรมาจารย์

 

“จงเสียใจที่มาดูแคลน[ลัทธิปลุกแผ่นดิน]ของพวกเราเสียเถอะ”

“เวทมนตร์ดำเหรอ…”

 

ผู้ชายที่คลุมหน้าด้วยผ้าสีฟ้าถอนหายใจ

 

“ได้ยินมาว่าการใช้เวทมนตร์ทำจะทำให้ความบิดเบี้ยวของโลกเพิ่มขึ้น แถมยังทำให้อสูรเพิ่มขึ้นอีก ช่วยเลิกจะได้ไหม?”

“หุบปาก! จะฉีกกระฉากหัวของแกออกมาให้ดู!!”

[กิ๊กิ๊กิ๊กิ๊กิ๊กิ๊!!]

 

พวกแมลงปอยักษ์พุ่งตรงไปที่ศัตรู

ถึงจะมีรูปร่างเป็นแมลงปอ แต่ก็เป็นอสูร แค่ส่วนหัวก็ใหญ่กว่าตัวคนแล้ว ขากรรไกรของมันก็สามารถบดขยี้หัวของมนุษย์ได้

 

“หลังจากหัวนั่นถูกบดจะแสดงสีหน้าแบบไหนออกมาให้เห็นกันนะ! ไปซะ!!”

“จงเผาผลาญ! [Craile Flare(เพลิงชำระล้าง)]!!”

 

ที่ด้านหลังชายที่คลุมผ้า เด็กสาวผมเงินทำการสะบัดมือ

แล้วก็มีเพลิงสีฟ้าเกิดขึ้นที่ปลายนิ้วนั้น–

 

[กิ๊กิ๊กิ๊กะก๊าาาาาาาา!!]

 

ปีกของพวกแมลงปอถูกเผาไหม้

 

“วะ เวทมนตร์!? ทหารประจำการของอาริเชียที่เน่าเฟะมีนักเวทด้วยเหรอ!?”

“อ๊ะ พวกเรา ไม่ใช่ทหารของประเทศหรอกนะ”

“ท่านพี่ ขอจัดการแมลงจะได้ไหม?”

“ตามสบาย เอนชานต์ไว้ให้แล้วล่ะ”

“อืม ถ้าอย่างนั้นก็ เอ้”

 

ฉูด

กระบอกที่เด็กสาวผมแดงฟาดลงมา บดขยี้หัวของแมลงปอ

 

“ทำไมกัน? ด้วยกระบองไม้เนี่ยนะ!?”

“หะ หัวหน้าาาาาาาา!” “อะไรกันเจ้าพวกนี้ ทำยังไงดี!!”

 

ทหารที่อยู่ซ้ายขวาของผู้บริหารออกอาการสั่น

เจ้าพวกใช้งานไม่ได้–ผู้บริหารของลัทธิสบถออกมา ทั้งตอนบุกหมู่บ้าน ทั้งตอนสู้กับทหารของอาณาจักร พวกที่อยู่แนวหน้าก็เป็นพวกแมลงที่ควบคุมโดยผู้บริหาร พวกทหารก็ทำแค่ส่งเสียงตะโกนด้านหลัง แล้วบุกโจมตีเท่านั้น ไอ้เรื่องที่ถูกบุกฐานหลักนี่ก็เป็นครั้งแรก

 

แถมที่อยู่ที่นี่ นอกจากตัวเองที่เป็นผู้บริหารแล้วก็มีแค่สองคน

ไอ้เจ้าสองคนนั้นก็ทำท่าจะหนีซะแล้วด้วย

 

“เอาเถอะน่าเป่านกหวีดซะ! เป่าเรียกให้มันเต็มแรงซะ!”

 

ชายผู้บริหารตะโกน

 

“ทำแบบนั้นพวกทหารชาวนาที่อยู่ข้างใต้จะได้มา! ถ้าได้เห็นเจ้าพวกนี้ถูกแมลงกิน จะได้เป็นบทเรียนให้พวกทหารชาวนาที่ไร้กะจิตกะใจ!!

 

แมลงยังเหลืออีก6ตัว พวกแมลงตัวยาวที่มีเกราะดำ ของจริงมันอยู่ตรงนี้

 

“เกราะของเจ้าพวกนี้ดาบธรรมดาไม่สามารถทะลวงได้ ไปซะ Black Centipede(ตะขาบยักษ์)!!”

[ชู่ชู่ชู่ชู่ชู่—-!]

 

ตะขาบ6ตัวคลานออกจากใต้ขาของผู้บริหาร

ตัวใหญ่ ความยาวประมาณผู้ใหญ่2คน

ขานับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวอย่างน่าขนลุก ผิวของมันถูกปกคลุมด้วยเปลือกที่มันดำ

 

“หัวหน้าผู้คุ้มกัน!”

“อะไร?”

“อะ อาจจะไม่ได้ยินเสียงนกหวีดกันก็ได้ จะไปเรียกโดยตรงให้นะครับ!” “ได้สินะครับ ได้สินะครับ!?”

“…คิดจะหนีสินะ พวกแก”

 

ปลายนิ้วของผู้บริหารชี้ไปที่กลุ่มผู้ชายลูกน้อง

ตะขาบ2ตัวเคลื่อนไหวตามสัญญาณนั้น

 

“ฮี๊!” “ฮิย๊าาา!”

 

แกร๊ง!

 

ลูกน้องฟาดดาบลงไป แต่ ก็ไม่สามารถทำอะไรเปลือกของตะขาบได้เลย ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน

แล้วตะขาบก็กดร่างของลูกน้องลง แล้วแตะเขี้ยวที่ส่งเสียง กี๊ดกี๊ด ไปที่ร่างกายของพวกเขา

ลูกน้อง2คนที่ถูกอสูรกดร่างไว้ ก็น้ำลายฟูมปากสลบไป แต่ถึงอย่างนั้นผู้บริหารก็ไม่ได้ให้แมลงถอยออกมา

 

“ทำไมถึงไม่ยอมพูดว่าจะสู้ร่วมไปกับข้ากัน? แผ่นดินของลัทธิไม่มีที่ให้พวกขี้ขลาดมีชีวิตอยู่หรอก!”

“ทำแบบนั้นกับลูกน้องเนี่ยไม่ดีเลยนะ!!”

 

ตุ๊บ

 

กระบองของเด็กสาวผมแสงฟาดลงไปที่ตะขาบยักษ์

ร่างกายของตะขาบกลิ้งไปด้านข้างด้วยแรงกระแทก แต่ มันก็แค่นั้น ตะขาบยังคงไร้บาดแผลแล้วทำตาแดงวาวกรีดร้างอย่างโกรธเกรี้ยว

 

“ท่านพี่ ท่าทางกระบองจะใช้ไม่ได้ผลน่ะ? ขอยืมดาบของท่านพี่ได้ไหม?”

“เข้าใจแล้ว เอาไปสิ”

“[โคตรแข็ง]?”

“อิม โคตรแข็งล่ะ”

“อ๊ะ ขี้โกงค่ะ ในฐานะน้องสาว ฉันเองก็อยากจะได้ดาบของท่านพี่ค่ะ!”

“ท่านพี่ก็มี[ดาบยาวโคตรแข็ง]อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”

“ต้องได้จากท่านพี่โดยตรงถึงจะมีความหมายสิคะ! โธ่!”

 

ผู้บุกรุกทั้ง3คนหัวเราะออกมา

 

“…มันอะไรกันเนี่ยเจ้าพวกนี้”

 

เหงื่อเย็นไหลลงจากหน้าผากของผู้บริหารลัทธิ

ทั้งๆที่ตะขาบกำลังเข้าไปใกล้แท้ๆ แต่ทำท่าทำทางราวกับไม่กลัวสักนิด

 

“ทำไมถึงไม่กลัวกัน!? คนที่ถูกไล่ล่ามันทางนั้นนะเฟ้ย!?”

 

ผู้บริหารไม่เข้าใจสักนิดว่าเจ้าพวกนั้นทำอะไรกันอยู่

แต่ว่า รู้สึกถึงความอันตราย [ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาเด็ดขาด]–รู้สึกถึงความหวาดกลัวแบบนั้นจากก้นบึ้ง แต่ว่า จะถอยไม่ได้ ดังนั้นผู้บริหารก็เลยเชื่อในกำลังรบตรงหน้ามากกว่าลางสังหรณ์ของตัวเอง

 

“จะทำอะไรมันก็สายไปแล้ว! จงถูกกินซะเถอะ ผู้บุกรุก!!”

“““ฮ๊า”””

 

ฉับ

 

คนปิดหน้าทั้ง3คนก็ดาบยาวฟาดลงไปฟันลำตัวของตะขาบยักษ์

 

[ชู้กว๊าาาาาาาาาาา–!!]

“……เห?”

 

เสียงกรีดร้องของแมลงที่บาดเจ็บ กับเสียงอึ้งของผู้บริหาร

ดาบของพวกผู้บุกรุกแทงเปลือกนอกของตะขาบยักษ์ได้อย่างง่ายดาย ที่ผ่านมาอสูรตะขาบ ไม่เคยได้รับบาดเจ็บเลยสักนิดนี่นา จนทำเอาลืมเรื่องของศัตรูตรงหน้าแล้วกรีดร้องออกมาไม่หยุด

 

“อีกรอบค่ะ [Craile Flare(เพลิงชำระล้าง)]!!”

 

เด็กสาวผมเงินปล่อยเวทมนตร์ใส่เปลือกสีดำที่แตกออก

เปลวเพลิงสีฟ้าพุ่งเข้าใส่ร่างของตะขาบ–จนเนื้ออสูรถูกเผาจากภายใน

 

รู้สึกเหมือนกับว่าผู้ชายเองก็พ่นไฟออกมาด้วย แต่นั่นก็คงจะเป็นภาพลวงตาที่เห็นจากความหวาดกลัวสินะ ระหว่างที่มองดูตะขาบก็ถูกทำลายจนหมดสิ้น ผู้บริหารที่เข้าไปฟันโดยไม่พูดพล่ำทำเพลงก็โดนทำลายอาวุธอย่างง่ายดาย แต่ว่า ดาบยาวที่สามารถตัดดาบชั้นดีได้อย่าง่ายดายนั่นมันอะไรกัน? พริบตาที่คิดแบบนั้น–ในหัวก็ขาวไปหมด

 

“…ทะ ทำไมข้า…ต้องมาเจออะไรแบบนี้…?”

 

พอรู้สึกตัวผู้บริหารก็ถูกมัด

แล้วพวกผู้บุกรุกก็เลิกสนใจในตัวผู้บริหารและออกจากห้องของเขาไป

จากนั้น–สักพักก็มีเสียงกรีดร้องจากที่อื่นของป้อมปราการว่า “อะไรน่ะ!?” บ้างล่ะ “อุเกี๊ยก!” บ้างล่ะ

 

จากนั้นก็ได้ยินเสียงและสัมผัสจากที่ต่างๆว่ามีคนล้มลงไป

ป้อมปราการนั้นเต็มไปด้วยลูกน้องโดยตรงของผู้บริหาร ถ้าทั้งหมดนั่นถูกกำจัด ที่เหลืออยู่ก็มีแค่ทหารชาวนาที่ถูกบังคับมาเท่านั้น ไม่ว่ายังไงก็คิดว่ารับมือกับผู้บุกรุกนั่นไม่ได้

 

ถ้าป้อมปราการนี้ถูกทำลาย ก็คงจะไม่มีหน้าไปพบกับปรมาจารย์แล้ว

ลัทธิคือกลุ่มที่ยึดมั่นในด้านความสามารถเป็นหลัก สำหรับตัวเองที่เสียป้อมไปแล้ว ผู้บริหารคงอื่นก็คงจะไม่ปราณี

 

“เจอแล้ว วงเวทล่ะ!”

 

“…วงเวท งั้นเหรอ?”

 

ผู้บริหารลัทธิพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว

จะว่าไปแล้วที่พื้นโกดังของป้อมปราการก็มีสัญลักษณ์แปลกๆเขียนอยู่ แต่ไม่เข้าใจความหมาย แล้วก็ใช้อะไรไม่ได้ก็เลยปล่อยไป…แต่เป้าหมายของพวกมันคือสิ่งนั้นเหรอ? แต่ว่า เพื่ออะไรล่ะ?

 

“…งั้น ให่…ที่กำลังรอละกัน”

“…ถึงคราวของเวทน้ำแข็งสินะคะ”

“…จังจะเป็นเจ้าปราสาทสินะ”

 

พวกนั้นพูดอะไรบางอย่าง รู้สึกว่าจะมีอีกคนมาจากข้างนอก

ผู้บริหารที่ล้มอยู่บนพื้น พยายามเงี่ยหูฟังเต็มที่–

 

ป้อมปราการก็ถูกปกคลุมด้วยแสงสีขาว

 

“…นี่มัน อะไรกัน”

 

มีประกายแสงบริสุทธิ์อยู่ในบรรยากาศ

ถึงจะแปลก…แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่ กลับกันมันเป็นแสงที่ทำให้รู้สึกสบาย

 

พออาบแสงนั่น ซากศพของพวกแมลงก็หายไป

ราวกับว่าละลายหายไป ทั้งของเหลว ทั้งขาที่ถูกตัด แม้แต่เศษเสี้ยวก็ไม่เหลือ

 

“จบแล้วล่ะ งั้น กลับกันไหม”

(จะกลับไปแล้วเหรอ!?)

 

ผู้บริหารตะโกนออกมาแบบไม่มีเสียง

ดีจริงๆ เท่านี้ก็สามารถฟื้นฟูป้อมปราการนี้ได้

ที่พื้นดินมีท่านผู้ชี้นำคนที่2[เกลียร์ เทรเชอร์]อยู่ ถ้าได้รับแมลงจากคนคนนั้น ก็จะสามารถกลับมาเป็นแบบเดิมได้ สามารถปกครองทหารชาวนาด้วยความหวาดกลัวได้ ลัทธิยังไม่จบสิ้นหรอกนะ…

 

“เอาไงต่อดีล่ะ กลับกันก่อนไหม?”

“แทบไม่ได้สู้เลยนะคะ ไปลองสำรวจป้อมปราการต่อไปกันเถอะค่ะ”

“ใช่แล้วล่ะท่านพี่ ที่อื่นก็อาจจะมีวงเวทก็ได้นะ”

“ฉันเองก็เห็นด้วยค่ะ ยังเหลิอป้อมปราการอีก1ที่ ไปจัดการให้เสร็จแล้วกลับจะดีกว่านะคะ”

 

“……ครับ?”

 

เมื่อกี้ พูดว่าเหลิอป้อมปราการอีก1ที่เหรอ?

ป้อมปราการของลัทธินั้นมีแค่4แห่ง…งั้นนอกจากที่นี่อีก2แห่งเกิดอะไรขึ้นล่ะ!?

 

“องค์ราชา”

“เสร็จงานแล้วเหรอคะ จะไปส่งให้ค่ะ”

“พวกยามกำลังเตรียมตัวอยู่ค่ะ แต่คงไม่จำเป็นแล้วล่ะนะคะ”

“ปล่อยผ้าที่เขียนตัวอักษรแล้วค่ะ พวกทหาร คงจะอ่านเรียบร้อยแล้วค่ะ”

 

มีเสียงดังมาจากด้านนอกป้อมปราการ

จากมุมมองของผู้บริหารที่นอนอยู่กับพื้น แล้วไม่สามารถเห็นว่าเป็นยังไง

เสียงราวกับว่านกขนาดใหญ่กางปีก…แล้วสัมผัสของผู้บุกรุกก็หายไป

 

“……อะไรอีกเนี่ย…ตอนนี้”

 

ผู้บริหารพึมพำออกมาทั้งๆที่ยังนอนกองอยู่บนพื้น

 

ร่างกายที่ถูกมัดด้วยเชือกทำให้ไม่สามารถขยับร่างกายได้สักนิด ภายในป้อมปราการก็กลับมาเงียบสงบ

บางทีพวกลูกน้องสายตรงเอง ก็คงจะถูกมัดเหมือนกับตัวเอง

 

ผู้บริหารกลิ้งไปมาบนพื้น แล้วก็หันไปหาลูกน้องที่ถูกแมลงโจมตี ถึงพวกมันจะสลบอยู่ แต่ที่หน้าอกก็มีนกหวีด–ขลุ่ยไว้เรียกทหารชาวนาอยู่ ผู้บริหารที่คลานไปถึงตรงนั้นได้ ก็สูดลมหายใจเข้าไป แล้วก็เป่าออกมารวดเดียว หลายต่อ หลายครั้ง

 

ตุ๊บตุ๊บตุ๊บตุ๊บตุ๊บตุ๊บตุ๊บ!!

 

ผ่านไปสักพัก ก็มีเสียงเท้าดังขึ้น

ที่ปรากฎออกมาคือเหล่าทหารชาวนาที่ลัทธิไปบุกหมู่บ้านรวบรวมมา หลายสิบคน

พวกเขาเห็นผู้บริหารที่กลิ้งอยู่กับพื้นก็เบิกตากว้าง

 

“มาได้จังหวะพอดี! เหล่าทหารผู้กล้าหาญแห่งลัทธิเอ๋ย!!”

 

ผู้บริหารตะโกน

 

“ด้วยฝีมือของผู้บุกรุกปริศนา แมลงที่ได้มาจากท่านศาสดาก็ถูกจัดการ แถมข้ายังต้องมาเจอกับสภาพแบบนี้ ถ้าเป็นแบบนี้ภาพลักษณ์ของพวกเราได้ป่นปี้แน่!”

 

กึกกึก

 

ผู้บริหารพยายามลุกขึ้นทำตัวให้ดูมีเกียรติขึ้นแม้จะเพียงเล็กน้อย แล้วตะโกนออกมา

 

“จะให้มันจบแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด! จะไปสืบหาตัวจริงของพวกที่บังอาจมาบุกป้อมปราการของพวกเรา แล้วทำให้มันเสียใจที่เกิดมาซะ! เอาล่ะ ก่อนอื่นก็แก้มัดให้ข้า จากนั้นก็พยายามเพื่อความภาคภูมิใจของลัทธิ…เอ๊ะ…เดี๋ยวสิ!?”

““““………””””

 

เหล่าทหารชาวนา ทุกคน ไร้สีหน้า

มองลงไปยังผู้บริหารที่ล้มลงแล้วพึมพำแค่ว่า “เห” “หึ” “โห”

 

มีหลายคนที่วิ่งไปยังห้องอื่น แต่หลายสิบวินาทีก็กลับมา ไม่รู้ทำไมทุกคนถึงยิ้ม แล้วกำหมัดสองข้าง แล้วพวกทหารชาวนาก็ตอบว่า “งั้นเหรอ พวกผู้บริหาร ทุกคนถูกจัดการจนทำอะไรไม่ได้สินะ”

 

“มัวทำอะไรอยู่!? ไปทำตามคำสั่งได้แล้ว! คนที่ขัดขืนจะกลายเป็นอาหารแมลงของท่านผู้ชี้นำ[เกลียร์ เทรเชอร์]นะเฟ้ย!!”

 

พอส่งเสียงออกไป–ชายผู้บริหารถึงได้รู้ตัว

พวกทหารชาวนาขึ้นมาบนป้อมปราการ แต่ว่า ก็ไม่เห็นตัวผู้ชี้นำ

แปลก

ผู้ชี้นำ เกลียร์ เทรเชอร์ น่าจะอยู่กับพวกทหารเพื่อกันไม่ให้พวกทหารชาวนาหนีไปไหนแท้ๆ

ต้องได้ยินเสียงเรียกแน่ๆ แต่ทั้งๆแบบนั้น ทำไมถึงไม่โผล่มา…

 

“ผู้ชี้นำ เกลียร์ เทรเชอร์น่ะ หายไปแล้วเฟ้ย”

“—-หา?”

“ตอนที่ป้อมปราการส่องแสงเมื่อกี้ ร่างก็ระเหิดหายไปจนเหลือแต่ผลึกเวทก้อนโต แล้วมันก็ถูกคนที่มาจากบนฟ้าเก็บไปแล้ว แมลงที่ไว้ขู่พวกเราน่ะ หายไปหมดแล้วฟะ”

“บะ บ้าน่า! จะ จริงสิ ไปสำรวจที่โกดังซะ! เจ้าผู้บุกรุกมันทำอะไรสักอย่างที่นั่นแน่ๆ ถ้าทำลายมัน ท่านผู้ชี้นำก็จะฟื้นคืนชีพกลับมา…”

“โกดังน่ะ เข้าไปไม่ได้หรอก”

 

ทหารชาวนาเหยียดตามองลงไปที่ผู้บริหารลัทธิด้วยดวงตาเยือกเย็นแล้วตอบกลับไป

 

“รอบๆโกดังมี[กำแพงน้ำแข็ง]ขนาดยักษ์ปิดล้อมอยู่ แค่จะเข้าใกล้ยังไม่ได้เลย ยิ่งกว่านั้น พวกเราทำแบบนั้นไปจะได้อะไรขึ้นมา”

“ผู้ชี้นำ กับแมลงก็หายไปแล้ว พวกแกก็กำลังถูกมัดอยู่แบบนี้”

“ไอ้เจ้าพวกผู้บริหารลัทธิที่บังอาจพาตัวพวกเรามาแล้วใช้ให้สู้”

 

พวกทหารชาวนาค่อยๆเดินเข้าไปใกล้

ผู้บริหารเสียวสันหลัง ไม่อาจเข้าใจสถานการณ์ได้

ที่รู้ก็แค่ ผู้ชี้นำกับแมลง ไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว

 

เหงื่อเย็นๆไหลไปทั่วหลังของเขา

หรือก็คือ…พรรคพวกของเขาไม่มีอีกต่อไปแล้ว

 

“……คือว่า…คือว่านะ ข้าน่ะ…คือ”

 

ใบหน้าของผู้บริหารซีดเผือด

 

““““ฟุฟุ ฟุฟุฟุฟุฟุฟุฟุ””””

 

เสียงหัวเราะน่าขนลุกดังจากปากของพวกทหารชาวนา

 

““““ต้องตอบแทนสักหน่อยอุตส่าห์มาบุกหมู่บ้าน แล้วก็ขโมยผลผลิต…แล้วก็ใช้งานพวกเราซะเต็มที่เลยนี่นะ…””””

 

“เดี๋ยวก่อนเดี๋ยวก่อน นั่นก็เพื่อเป้าหมายอันสูงส่งของลัทธิ…ใช่แล้ว เพื่อราชวงศ์ใหม่! ราชวงศ์น่ะสุดยอดเลยใช่ไหมล่ะ? ถ้าราชวงศ์ใหม่ได้ก่อตั้งขึ้นมา พวกนายก็จะได้เป็นวีรบุรุษนะ! เอ๊ะ? ไม่เอาเหรอ? งั้นขุนพล! เอ๋ งั้นยอดขุนพลเป็นไง!? ทหารทุกคนได้เป็นยอดขุนพลก็สดใหม่ดีสำหรับหน้าประวัติศ–”

 

จากนั้น–

 

“อ๊าก——!!”

 

เสียงกรีดร้องของผู้บริหารลัทธิก็ดังก้องไปทั่วป้อมปราการของ[ลัทธิปลุกแผ่นดิน]