ภาค 6 ยันฟ้าด้วยมือเดียว บทที่ 561 จันทร์กระจ่างกลางชลาไศย แม้นฟากฟ้าไกลแต่เป็นดวงเดียวกัน

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

หวงเซินเก็บไข่มุกมองฟ้า นั่งขัดสมาธิ สองมือวางไว้บนเข่า “บึงน้ำไร้ขอบเขตเกิดปัญหาขึ้นครั้งหนึ่ง ทะเลตะวันออกเกิดสองครั้ง ที่ปฐพีพิภพอีกหนึ่งครั้ง เขากว่างเฉิงในตอนนี้มีอัจฉริยะเหลืออยู่น้อยนิด ฉางเจิ้นทำเพื่อตัวเองได้อย่างอิสระ และเป็นการช่วยพวกเรา”

หวงซวี่เอ่ย “จากปัญหาในครั้งนี้ ทุกฝ่ายสูญเสียอย่างหนัก”

เจ็ดสุริยันของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์รุ่นปัจจุบันเสียชีวิตแทบหมดสิ้น ต้องเปลี่ยนคนทั้งหมด ต่อให้คนที่จะส่งไปเสริมก็มีคนที่ตายไปด้วยเช่นกัน

หวงเซินพูดต่อ “ต่อให้ตอนนี้เยี่ยนตี๋ หยวนเจิ้งเฟิง ฟางจุ่น เยี่ยนจ้าวเกอไม่อยู่ ตำแหน่งในเขากว่างเฉิงของเฟิงอวิ๋นเซิงก็ยังคงมั่นคง เปลี่ยนเป็นคนที่ต้องสงสัยว่าแอบติดต่อกับสำนักเรา วางแผนฆ่าอาจารย์ผู้มีพระคุณของตัวเอง หากไม่ถูกประหารหรือทำลายวรยุทธ์ ก็ต้องถูกจับไปขังรอการตัดสิน

“นอกจากจะมีหลักฐานหนักแน่นดุจขุนเขา ไม่อย่างนั้นไม่ว่าจะเป็นใครในเขากว่างเฉิงต่างไม่กล้าปล่อยเฟิงอวิ๋นเซิงไป

“แต่แม้ไม่สังหารนาง ก็มิได้หมายความว่านางจะเข้าร่วมการทดสอบแห่งจันทราในปีนี้ได้”

หวงเซินพูดด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ข้าพอจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่าสำนักไม่นิยมความรุนแรงของเขากว่างเฉิงอยู่บ้าง คนพวกนั้นไม่กล้าฝากความเสี่ยงไว้บนตัวเฟิงอวิ๋นเซิง ส่วนใหญ่แล้วจะฝากความหวังไว้ที่หอคลื่นโหมมากกว่า

“พวกเขากำลังรอเยี่ยนตี๋อยู่

“พูดถึงคนผู้นี้ ทางด้านทะเลตะวันออกเป็นอย่างไรบ้าง มีวิธีหรือไม่” หวงเซินถาม

หวงซวี่ผู้เป็นบิดาส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่มีวิธีอันใด”

หวงเซินเงียบงันอย่างหาได้ยาก ถอนใจคำหนึ่ง “อาจจะต้องใช้วิธีสุดท้ายแล้ว”

หวงซวี่ส่ายหน้า เปลี่ยนเป็นพูดว่า “ทุกอย่างเป็นไปตามแผน เพียงแต่หงเจียฉีกับอิ่นหลิวหัวนั่นจะเผยร่องรอยหรือไม่? หากร่องรอยชัดเจนไป ฉางเจิ้นคิดปิดบังให้พวกเขายังทำไม่ได้”

หวงเซินตอบ “ไม่มีใครรับประกันได้ว่าแผนการจะไม่เกิดข้อผิดพลาดโดยสิ้นเชิง แต่สมควรไร้ปัญหา

“ก่อนหน้านี้หงเจียฉีกับอิ่นหลิวหัวเป็นคนแปลกหน้า ขอแค่ยึดตามภาพในพิธีโลหิตจิตหวนเวลาภาพนั้นไว้ก็พอ เวลาอื่นพวกเขาไม่ได้รวมตัวกันอยู่แล้ว คนที่ช่วยส่งอิ่นหลิวหัวนั่นไปหาฟู่เอินซู จากนั้นก็รายงานกับพวกเรา ไม่อาจให้เขาปรากฏตัวในสายตาของเขากว่างเฉิง”

หวงซวี่ส่ายหน้าเล็กน้อย “ตอนแรกคิดจะลอบสังหารเฟิงอวิ๋นเซิงที่ทะเลตะวันออก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าอาจารย์อาเหมิงจะพลาดท่า ยังดีที่ตอนนี้ยังมีการชดเชย”

หวงเซินพูดอย่างราบเรียบ “ถ้าไม่ใช่เพราะไม่มีคนอื่นจริงๆ ข้าไม่อยากให้อาจารย์อาเหมิงลงมือ เขาไม่ได้ออกสำนักมานานแล้ว”

หวงซวี่ชี้นิ้วที่เขา “ระวังปากหน่อย อาจารย์อาเหมิงจากไปแล้ว”

“เป็นข้าใจร้อนเอง” หวงเซินพยักหน้าไม่ปฏิเสธ

หลังจากเขาคำนับหวงซวี่และถอยออก เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็เห็นเงาคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นข้างทางเดิน เหมือนกับกำลังรอเขาอยู่

“ศิษย์น้องเมิ่ง ตอนนี้เจ้าสมควรเตรียมตัวสำหรับการทดสอบแห่งจันทราถึงจะถูก” หวงเซินเอ่ยอย่างเรียบเฉย

บนใบหน้าของเมิ่งหว่านไร้รอยยิ้ม มองหวงเซินด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ถึงแม้ข่าวสารทางด้านเขากว่างเฉิงจะไม่ชัดเจน แต่ว่าศิษย์พี่เฟิงมีปัญหาใช่หรือไม่”

หวงเซินไม่สนใจคำเรียกของเมิ่งหว่าน เขามองนางพลางพยักหน้าอย่างใจเย็น “ถูกต้อง ครั้งนี้นางอาจจะไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบแห่งจันทราแล้ว”

เมิ่งหวานมองหวงเซินตรงๆ “เกี่ยวข้องกับสำนักเราหรือ?”

หวงเซินตอบ “ถูกต้อง”

หญิงสาวนิ่งเงียบไป หวงเซินเดินผ่านไหล่นาง หลังจากเดินไปได้สองก้าวก็หยุดหลง เอ่ยเรียบๆ ว่า “ถ้าหากเจ้ารับประกันได้ว่าจะชนะนางตั้งแต่ต้นจนจบ ข้าย่อมไม่ต้องลงมือ”

“เจ้าคิดจะทำอะไร? ไปเรียกร้องความเป็นธรรมให้นางที่เขากว่างเฉิงหรือ? นั่นรังแต่พิสูจน์พยานหลักฐานว่านางแอบติดต่อกับสำนักเรามากกว่าเดิม”

เมิ่งหวานหันไปมองหวงเซิน ชายหนุ่มหันหลังให้นาง และไม่ได้หมุนตัวกลับมา “ถ้าหากข้าเป็นเจ้า ข้าจะตั้งใจฝึกฝนต่อ ยิ่งพลังของเจ้าแข็งแกร่งเท่าไร ยิ่งมีคนเชื่อฟังมากเท่านั้น อย่างเช่นตอนนี้ข้าจำเป็นต้องอธิบายให้เจ้าฟัง”

“วันหน้าถ้าหากเจ้ากลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสำนัก ทำลายเขากว่างเฉิงได้สำเร็จ เจ้าคิดจะปกป้องเฟิงอวิ๋นเซิง พูดเพียงประโยคเดียวก็พอ”

“คิดจะกำจัดข้าเพื่อระบายแค้นให้กับเฟิงอวิ๋นเซิงก็พูดเพียงประโยคเดียวก็พอ”

เมิ่งหวานเอ่ยอย่างเชื่องช้า “ข้าจะจำไว้”

หวงเซินเอียงศีรษะเล็กน้อย เหลือบมองเมิ่งหวาน “ขอเตือนเจ้าสักหน่อย ยิ่งทำตัวเป็นห่วงเฟิงอวิ๋นเซิงเท่าไร ก็มีแต่จะเผยจุดอ่อนของเจ้าออกมาชัดเจนเท่านั้น”

เมิ่งหวานมองหวงเซินด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ศิษย์พี่หวง ท่านเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง ข้ารู้มาโดยตลอด แต่ว่าตอนนี้ท่านกำลังทำเรื่องที่โง่เง่ามากเรื่องหนึ่ง ยิ่งท่านแสดงความฉลาดของท่านต่อหน้าข้าเท่าไร ข้ายิ่งเตรียมตัวจัดการท่านและเคียดแค้นท่านมากเท่านั้น นี่ไม่ส่งผลดีต่อนิสัยให้ความสำคัญกับความเป็นจริงของท่านแม้แต่น้อย”

อีกฝ่ายหันไปมองนางแวบหนึ่ง พยักหน้าเล็กน้อย “ที่เจ้าพูดก็ถูก ขอบคุณที่เตือน”

พูดจบเขาก็หันกายผละไป

เมิ่งหวานมองเงาหลังของเขาหายไป จากนั้นก็หันไปมองสถานที่ที่อยู่ไกลออกไปด้านนอกสำนัก “ศิษย์พี่เฟิง…”

นางยังไม่ทราบรายละเอียดของเรื่องที่เฟิงอวิ๋นเซิงต้องเจอในตอนนี้ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบที่เหมือนกับความเย็นที่เสียดแทงกระดูก

นางเคยขึ้นสุดลงสุด ตอนนี้อยู่ในตำแหน่งที่สามารถใช้มือเอื้อมถึงจุดสูงสุดได้ แต่กลับตกลงมายังก้นเหวอีกครั้ง

เสียไปและได้มา ได้มาและเสียไป การขึ้นลงแบบนี้มากพอทำให้คนที่เจอรู้สึกคลุ้มคลั่ง

เฟิงอวิ๋นเซิงไม่ได้บ้าคลั่ง

นางมองซึงคงจิงที่มาเยี่ยมด้วยรอยยิ้ม “ข้าอยากไปดูทิวทัศน์บนยอดเขานั่น น่าเสียดายที่เหมือนจะไม่มีทางได้เจอ ในตอนที่อยู่ห่างเพียงก้าวเดียว ก็หล่นลงมายังตีนเขาอีก”

ซือคงจิงที่ใจเย็นมาแต่ไหนแต่ไร ได้ยินดังนั้นยังรู้สึกปวดใจ เอื้อมมือออกไปจับมือเฟิงอวิ๋นเซิง

ฝ่ายเฟิงอวิ๋นเซิงเลิกคิ้ว กล่าวด้วยรอยยิ้ม “วางใจเถอะ ข้ายังไม่ยอมแพ้ ถึงแม้สำนักจะไม่มีความคิดจะให้ข้าเข้าร่วมการทดสอบแห่งจันทราในครั้งนี้ แต่ข้ายังตั้งใจฝึกฝนเพิ่มระดับตัวเองต่อ”

“เตรียมตัวให้พร้อมและรอคอยเวลา ต่อให้จะต้องรออีกสักระยะ ก็ยังดีกว่าเมื่อโอกาสมาถึง กลับไม่พร้อมเพราะตัวเองไม่ได้เตรียมตัวดีพอ”

ซือคงจิงได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อย

เฟิงอวิ๋นเซิงเงยหน้ามองแสงจันทร์กลางฟ้า กระซิบกับตัวเอง “ไม่รู้ว่าแสงจันทร์ที่เขาเห็นเป็นเช่นเดียวกันหรือไม่”

อาจจะเป็นเพราะบังเอิญ ถึงแม้การไหลของเวลาจะไม่เหมือนกัน แต่ว่าโลกผืนสมุทรในตอนนี้เป็นเวลาที่จันทร์กระจ่างฟ้าเช่นกัน ทั้งยังเป็นจันทร์เต็มดวงเหมือนกัน

เยี่ยนจ้าวเกอมองภาพจันทร์กระจ่างของโลกผืนสมุทรเงียบๆ

สวีเฟยยืนอยู่ด้านหลังเขา ถามว่า “จ้าวเกอ เป็นอะไรไป”

เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่ “ไม่มีอะไร เพียงแต่นึกถึงกลอนประโยคหนึ่งที่เคยฟังมานานนม

“จันทร์กระจ่างกลางชลาไศย แม้นฟากฟ้าไกลแต่เป็นดวงเดียวกัน”

สวีเฟยนึกย้อน “ไม่เคยได้ยินมาก่อน…”

ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อย “ข้าเองก็จำไม่ได้ว่าเคยได้ยินมาจากที่ไหน”

สวีเฟยตกตะกอนความหมายของกลอน อดเหม่อลอยอยู่ชั่วขณะไม่ได้

ทั้งสองยืนมองไปยังฟ้าไกลอยู่บนชายหาด

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด จนกระทั่งมีคนเข้ามาใกล้ เยี่ยนจ้าวเกอกับสวีเฟยจึงหันไปมอง เห็นไป๋จิ่งคังแห่งเขาหงส์วิเศษเดินมา

เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอเห็นว่าเป็นไป๋จิ่งคัง ดวงตาก็เป็นประกายเล็กน้อย “ผู้อาวุโสไป๋มีข่าวดีหรือ?”

ไป๋จิ่งคังพยักหน้าอย่างจริงจัง “ถูกต้อง ประตูมังกรที่อยู่ก้นลุ่มน้ำเปี่ยมขจีในสถานที่ที่เคยเป็นแนวเขาเปี่ยมขจี ตอนนี้ปราณมังกรที่อยู่ด้านในค่อยๆ เสถียร สามารถเข้าไปได้แล้ว”