ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 48 พูดเรื่องอดีตของสิบสามสุสาน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ไม่กี่วันก่อนสวีโหย่วหรงได้พูดว่า หากต้องการจะรู้ความเป็นมาของสุสานเทียนซูก็ต้องถามใครสักคน ต่อให้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ต้องการจะพูด ก็ต้องมีคนอื่นอีกที่รู้ หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับสุสานเทียนซูแล้ว ใครจะรู้ดีไปกว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้อีก คนผู้นี้นั่งเฝ้าสุสานเทียนซูมานานหลายร้อยปีแล้ว

นางกับเฉินฉางเซิงข้ามคลองน้ำใสมาถึงศาลาตรงหน้า โค้งคำนับให้กับคนที่อยู่ในศาลา

ในโลกนี้มีคนไม่กี่คนเท่านั้นที่นางกับเฉินฉางเซิงจำเป็นต้องคำนับให้ ทว่าคนในศาลาผู้นี้ออกจะพิเศษอยู่บ้าง

ฮั่นชิง ขุนพลเทพอันดับหนึ่งแห่งต้าลู่ เขามีอาวุโสสูงมาก อายุก็มาก การบำเพ็ญเพียรก็ล้ำลึกอย่างยิ่ง หลายปีก่อน เขาก็เข้าใกล้เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างที่สุด ในสนามรบเขานับว่าไร้ผู้ต้าน เป็นคนผู้เดียวในโลกยุคนี้ที่สามารถยกขึ้นเทียบกับขุนพลเทพในตำนานได้อย่างเท่าเทียม คนอย่างสวีซื่อจีและเซวียเหอนั้นไม่คู่ควรที่จะยกมาเทียบด้วย แม้แต่แปดมรสุมก็ไม่กล้าพูดว่าสามารถเอาชนะเขาได้อย่างง่ายดาย

ที่ผู้คนนับถือเขาและทอดถอนใจที่สุดก็เพราะขุนพลท่านนี้ได้ปกปักรักษาสุสานเทียนซูนี้มาหลายร้อยปี และไม่เคยออกไปเลยแม้แต่ก้าวเดียว ดูเหมือนว่าท่านจะนั่งอยู่ที่นี่ไปจนวันสุดท้ายของชีวิต

“คารวะใต้เท้า ข้าสวีโหย่วหรง ด้วยคำสั่งของท่านอาจารย์ข้าจึงมาพบผู้อาวุโสเพื่อขอคำชี้แนะจากท่านสักสองสามเรื่อง”

สวีโหย่วหรงพูดอย่างแผ่วเบาพร้อมมองไปที่ชายในชุดเกราะ

ด้วยว่าดวงตาของเขาถูกบดบังไว้จึงไม่อาจแน่ใจได้ว่าชายในชุดเกราะลืมตาอยู่หรือไม่ แต่เฉินฉางเซิงสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าฝุ่นผงบางส่วนบนรอยร้าวของชุดเกราะร่วงลงมา ปลิวละล่องในแสงตะวันประดุจแมลงตัวเล็กๆ นับไม่ถ้วนกำลังบิน ในเวลาเดียวกันเขาก็สัมผัสสายตาดุจทวนเหล็กจ้องมาทางเขากับสวีโหย่วหรง

“อาจารย์ของเจ้าคือใคร”

เสียงแก่ชราดังออกมาจากภายในชุดเกราะ ชุดดูเหมือนจะปกคลุมไปด้วยสนิมและผ่านวันเวลามาแล้วยาวนาน

สวีโหย่วหรงตอบ “ข้ามาจากสถานศึกษาหนานซี”

สถานศึกษาหนานซีนั้นแบ่งออกเป็นส่วนนอกและส่วนใน แต่มีเพียงเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คนปัจจุบันหรือผู้สืบทอดเท่านั้นที่สามารถท่องโลกในนามของสถานศึกษาหนานซีได้

รังสีอาทิตย์เหมันต์สาดส่องลงบนเกราะ แต่แทนที่จะทำให้มันอบอุ่นขึ้น กลับดูราวกับว่าจะเย็นลงกว่าเดิม เช่นเดียวกับเสียงที่ดังออกมาจากเกราะนั้น

“เหตุใดนางไม่มาด้วยตัวเอง”

“อาจารย์บอกว่าในตอนนั้นผู้อาวุโสคงไม่ตอบคำถามของนาง และตอนนี้ผู้อาวุโสก็คงไม่อาจตอบคำถามของนางได้เช่นกัน ดังนั้นนางจึงให้โอกาสนี้กับข้า”

“เช่นนั้นก็ถามมา”

“ในสุสานเทียนซูแห่งนี้มีแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ถูกขโมยออกไปจำนวนเท่าใด”

สายตาของสวีโหย่วหรงสงบและอบอุ่น มองผ่านฝุ่นที่ปลิวและลำแสงของดวงตะวันเหมันต์ที่สาดส่องลงมาบนชุดเกราะของขุนพลเทพ

แต่คำถามของนางนั้นตรงไปตรงมาและเย็นชายิ่งนัก เช่นเดียวกับถนนเสินที่อยู่ตอนใต้ของสุสานเทียนซูซึ่งทอดตรงสู่สวรรค์

เฉินฉางเซิงเหลือบมองนาง ขุนพลเทพฮั่นชิงได้ปกปักรักษาสุสานเทียนซูมานานหลายร้อยปี สิ่งที่เขาปกปักรักษาก็คือถนนเสินและความลับของมัน เรื่องที่ว่ามีแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์จำนวนหนึ่งไม่ได้อยู่ในสุสานเทียนซูแต่หายไปสู่โลกภายนอกนั้น ย่อมเป็นหนึ่งในความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสุสานเทียนซู แล้วเขาจะตอบคำถามของนางได้อย่างไรกัน

น่าประหลาดใจที่ชั่วขณะต่อมา เสียงเก่าแก่และเย็นเยียบดังออกมาจากชุดเกราะ

“สิบสองแผ่น”

เฉินฉางเซิงรู้สึกตกใจกับคำตอบนี้ อย่างแรกเพราะขุนพลเทพฮั่นชิงตอบคำถามนี้จริงๆ อย่างที่สองก็เพราะตัวคำตอบเอง

เขากับสวีโหย่วหรงสบตากัน เห็นความตกใจในดวงตาของอีกฝ่าย มีแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์หายไปถึงสิบสองแผ่นเช่นนั้นหรือ

“ทั้งหมดคนผู้นั้นเอาไปเช่นนั้นหรือ” สวีโหย่วหรงถามชายที่อยู่ในศาลา

“สิบเอ็ดแผ่น”

“แล้วอีกแผ่นหนึ่งเล่า”

“จักรพรรดินีไท่จู่เอาออกไป”

ได้ยินเช่นนั้นเฉินฉางเซิงก็นึกไปถึงสมุดบันทึกที่หวังจื่อเช่อได้ซ่อนเอาไว้ในหอหลิงเยียน

ในสมุดบันทึกนั้น หวังจื่อเช่อได้กล่าวไว้ว่าในช่วงท้ายของชีวิตยามที่องค์ไท่จู่ขังตัวเองอยู่ในวัง จักรพรรดิไท่จู่เริงสาวงามและดนตรี ในที่สุดก็มอบของสิ่งหนึ่งแก่หวังจื่อเช่อ…

“การที่โจวตู๋ฟูนำแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ไปส่งผลให้เกิดสุสานส่วนหน้าขึ้นใช่หรือไม่”

“ใช่แล้ว เหตุนั้นสุสานเทียนซูในตอนนี้จึงมีทั้งสิ้นสิบสามสุสาน”

แผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้นนั้นเป็นเครื่องหมายเขตแดน เมื่อรวมกับแผ่นป้ายอนุสรณ์อีกสิบสองแผ่นก็เท่ากับสิบสาม ไม่ใช่เรื่องยากที่จะคำนวณออกมา

“แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์พวกนั้น…ตอนนี้อยู่ที่ไหนกัน”

สวีโหย่วหรงถามคำถามที่สำคัญที่สุดออกมา

ก่อนที่จะมายังศาลานี้ นางกับเฉินฉางเซิงต่างก็เชื่อว่าแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ทั้งหมดอยู่ในมือพวกเขาแล้ว ทว่าตอนนี้กลับได้รู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น

“คนผู้นั้นนำเอาแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ไปยังที่ใดไม่มีใครล่วงรู้”

เมื่อได้ยินเสียงที่ออกมาจากชุดเกราะ เฉินฉางเซิงก็ก้มหน้าลงเงียบๆ คิดในใจ อันที่จริงแล้วข้ารู้

“แต่แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์อีกแผ่น…มีความเป็นไปได้ว่าจะอยู่ในมือของราชามาร”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงก็ตะลึงงัน

ภูเขาสุสานแน่นิ่งไม่ไหวติง น้ำใสไหลเอื่อยผ่านคลองอย่างไร้เสียง

“พวกเขาขโมยแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์มากมายเช่นนั้นไปด้วยเหตุใด”

“ประการแรก นี่นอกเหนือจากที่ข้าให้คำมั่นกับสถานศึกษาหนานซี ประการที่สอง หากข้ารู้ ข้าจะมานั่งอยู่ตรงนี้ทำไมตั้งหลายร้อยปี”

หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงใดดังขึ้นอีก

สายลมเหมันต์ส่งเสียงโหยหวนพัดพาฝุ่นจากชุดเกราะส่งมันไปยังกระจายไปในแสงที่เย็นเยียบนอกศาลา ขุนพลเทพดูเหมือนจะกลายเป็นรูปปั้นไปอีกครั้งหนึ่ง

พวกเขาออกจากศาลาและกลับไปยังกระท่อมน้อยของสวินเหมย ที่นั่นเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงมองดูดอกเหมยที่อยู่นอกรั้วอยู่สักพักหนึ่ง

“ในตอนแรก สุสานโจวมีแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ทั้งหมดสิบเอ็ดแผ่นป้าย หากแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่หวังจื่อเช่อได้จากจักรพรรดิไท่จู่ไม่ได้มาจากสิบเอ็ดแผ่นนี้ เช่นนั้นข้อสันนิษฐานของเราก็ผิด คนที่เข้ามาในสวนโจวและนำเอาแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ไป ทำให้โจวตู๋ฟูต้องใช้หมื่นกระบี่สะกดที่เหลือไว้นั้น หาใช่หวังจื่อเช่อ แต่เป็นราชามาร”

“แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แผ่นนั้นยังอยู่ในมือของราชามารในขณะที่อีกสิบเอ็ดแผ่นอยู่กับเรา”

สวีโหย่วหรงหันมามองเขาและกล่าวอย่างแผ่วเบา “อย่าได้กังวลมากเกินไปนัก”

นอกจากเฉินฉางเซิง นางเป็นคนเดียวในโลกที่ได้เห็นแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์สิบแผ่นรอบสุสานโจวและรวมถึงหินดำที่เฉินฉางเซิงนำออกมาจากฝักกระบี่ เมื่อสวนโจวเปิดขึ้นอีกครั้ง เฉินฉางเซิงก็ควรจะมีแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์สิบเอ็ดแผ่น ทว่าในคืนนั้นเมื่อเขามายังหน้าต่างห้องนาง เขานำออกมาเพียงสิบเท่านั้น

สวีโหย่วหรงไม่เคยถามว่าแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์อีกแผ่นไปอยู่ไหน นางพอจะเดาได้ ต่อให้นางได้ส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งตามที่เฉินฉางเซิงบอก ก็มีแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แค่สิบแผ่นตั้งแต่แรก หินดำที่จักรพรรดิไท่จู่มอบให้หวังจื่อเช่อซึ่งตกมาอยู่ในมือของเฉินฉางเซิงในที่สุดนั้น เป็นเขาที่นำมันเข้าสู่สวนโจวด้วยตัวเองและนับเป็นสมบัติส่วนตัวของเขา

“ในโลกที่ข้ายังไม่มีกำลังจะก้าวเข้าไปนั้น ข้าหาได้กังวลไม่ ว่ามันจะทำให้ข้าหลงทาง”

เฉินฉางเซิงมองดูนางและกล่าวต่อ “แต่ที่ข้าเป็นกังวลก็คือข้าเป็นคนทำให้เจ้าต้องแบกรับภาระที่ไม่จำเป็น”

พวกเขาไม่เคยพูดถึงปัญหานี้มาก่อน

สวีโหย่วหรงคือเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คนปัจจุบัน นับตั้งแต่ยังเด็ก นางก็ถูกมองว่าเป็นผู้นำของโลกมนุษย์ในอนาคต นับตั้งแต่นางถือกำเนิด ก็ถูกเลี้ยงดูมาให้ใช้ชีวิตอย่างมีความรับผิดชอบ

เมื่อตอนอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล นางเคยกล่าวกับเขาว่าชีวิตเช่นนี้ค่อนข้างเหนื่อยล้า แต่นางก็คุ้นชินแล้ว การปรากฏขึ้นอีกครั้งของแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อโลกมนุษย์ และอาจจะส่งผลต่อความสมดุลระหว่างเผ่ามารกับมนุษย์ ด้วยเส้นทางแห่งจิตของนางที่ให้ความสำคัญกับโลก หากเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเฉินฉางเซิง นางคงจะประกาศเรื่องนี้ให้โลกได้รับรู้ไปนานแล้ว จากนั้นก็วางแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์กลับไปที่สุสานเทียนซูดังเดิม

ในคืนหิมะโปรยที่เฉินฉางเซิงมอบลูกปัดหินทั้งห้าให้แก่นาง คือตอนที่เขาคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้

เขาไม่ต้องการให้นางต้องแบกรับแรงกดดันนี้

……