“ที่แท้ก็เป็นท่านปรมาจารย์ ไม่ได้พบหน้ากันสองสามปีสบายดีหรือ?” แม้ว่าหานลี่จะอยากลงมือเต็มแก่แต่เมื่อเผชิญหน้ากับภิกษุก็ทำได้เพียงระงับความโกรธเอาไว้แล้วคารวะขณะเอ่ย

ถึงอย่างไรเสียภิกษุจินเย่ว์ก็นับว่าเป็นหนึ่งในอาวุโสของเมืองเทวะสวรรค์ นับว่ามีความสัมพันธ์กับเขาไม่เลวไม่อาจไม่ไว้หน้าได้

อรหันต์ชิงหลงเห็นภิกษุจินเย่ว์มาถึงก็รู้สึกผ่อนคลายลง

เขาที่รู้อยู่ลึกๆ ว่าหานลี่มีอิทธิฤทธิ์ที่น่ากลัว ย่อมมิอยากลงมือจริงๆ

เขาแค่ถูกคำพูดเมื่อครู่ของหานลี่บีบบังคับ จึงจำใจต้องแสดงท่าทีแข็งแกร่งอย่างใจดีสู้เสือต่อหน้าชนรุ่นหลัง

ทันใดนั้นเขาก็คารวะภิกษุแล้วเอ่ยอย่างนอบน้อม

“สหายจินเย่ว์มาถึงตั้งแต่เมื่อใด ผู้แซ่ชิงไม่ได้ออกไปต้อนรับแต่ไกลหวังว่าสหายจะไม่ถือสา”

“อาตมาได้รับข่าวว่าผู้แซ่หานกลับมา ก็มาในทันทีโชคดีที่มาทันเวลา จึงไม่มีอันใดเกิดขึ้น ทว่ายามที่มาข้าได้รายงานสหายอีกสองท่านไว้แล้ว คำนวณดูพวกเขาน่าจะมาถึงแล้วถึงจะถูก ถึงยามนั้นพวกเราสามคนก็ไปปรับความเข้าใจกับสหายทั้งสองเป็นอย่างไร? ถึงอย่างไรเสียยามนี้ก็มีเผ่ามารอยู่ด้านนอกสหายทั้งสองเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดในเมืองอาตมาไม่อยากให้เกิดเรื่องอันใดขึ้นจนกระทบต่อความมั่นคงภายในของเมืองเรา สหายกู้เจ้าคิดว่าอาตมาพูดมีเหตุผลหรือไม่” ภิกษุจินเย่ว์ส่งยิ้มให้ทั้งสองคน ฉับพลันนั้นก็หันหน้าไปเอ่ยถามด้านนอกประตูอย่างมีเลศนัย

“สหายจินเย่ว์ตาเฒ่าต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ มิเช่นนั้นหอคอยโตวหยวนของข้าน้อยคงจะหายไปแล้วจริงๆ” หลังจากหัวเราะร่าด้านนอกประตูก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น เงาร่างคนสีเทาปรากฏขึ้นอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน

คาดไม่ถึงว่าจะเป็นชายชราหน้าดำสวมชุดคลุมสีเทาคนหนึ่ง

“สหายกู้!” หานลี่กวาดสายตาไปที่ชายชราจำได้ว่านี่คือเจ้าของหอคอยโตวหยวนที่เคยมีวาสนาได้พบหน้ากันสองสามครั้ง เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นคนหนึ่ง

“สหายหานยินดีด้วยที่เจ้ากลับมาได้อย่างปลอดภัยต้องมานั่งเล่นที่หอคอยของตาเฒ่าด้วยนะจุ๊ๆ คาดไม่ถึงว่าจะปลอดภัยจากเงื้อมมือของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารมาได้ อีกเดี๋ยวต้องเล่าให้ตาเฒ่าฟังสักหน่อยแล้ว” ชายชราชุดคลุมสีเทาเอ่ยกับหานลี่ด้วยรอยยิ้มจนตาหยี

ชายชราผู้นี้เคยเจอหานลี่แค่ไม่กี่ครั้งแต่กลับมีสีหน้าตื่นเต้นดีใจราวกับว่าเป็นสหายสนิทของหานลี่มาหลายปี

“พี่กู้ชมเกินไปแล้ว เป็นแค่ร่างแยกของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น หากร่างเดิมของบรรพชนเผ่ามารลงมาจุติจริงๆ ข้าน้อยจะหนีเอาชีวิตรอดได้อย่างไร” หานลี่หัวเราะอย่างขมขื่นแล้วเอ่ยปากอธิบาย

“แม้ว่าจะเป็นแค่ร่างแยกของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ธรรมดาอย่างพวกเราพบเข้าก็มีโอกาสรอดเพียงส่วนเดียวเท่านั้น พี่หานมาปรากฏตัวที่นี่ได้เดิมก็หมายความว่ามีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกรแล้ว” ชายชราชุดคลุมสีเทากลับสั่นศีรษะระรัวขณะเอ่ย

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้หานลี่ก็ไม่อาจอธิบายอันใดได้ต่อ ฉีกยิ้มน้อยๆ เป็นการตอบรับเรื่องนี้แล้วกลับเอ่ยถามภิกษุจินเย่ว์

“สหายจินเย่ว์รายงานสหายทั้งสอง ยามนี้พี่กู้มาแล้วแต่ไม่ทราบว่าสหายอีกท่านคือผู้ใดหรือ?”

“หึๆ สหายหานโปรดวางใจสหายอีกท่านก็เป็นคนคุ้นเคย” ภิกษุจินเย่ว์หยักยิ้มที่มุมปากขณะเอ่ย

“คนคุ้นเคยหรือว่าจะเป็น…” หานลี่ได้ยินก็หรี่ตาทั้งสองข้างลงขบคิดอย่างรวดเร็วก็นึกถึงคนคนหนึ่ง

ทั้งเมืองเทวะสวรรค์ก็มีเพียงคนผู้นี้ที่เขาคุ้นเคยที่สุด

อรหันต์ชิงหลงกระแอมไอเบาๆ เอ่ยปากคิดจะพูดอันใดแต่ในยามนั้นด้านนอกประตูก็มีลำแสงสีเงินสว่างวาบ สายรุ้งสีเงินพุ่งเข้ามาม้วนวนอยู่เหนือห้องโถงแล้วเผยร่างของสตรีสวมชุดคลุมสีเงินคนหนึ่ง

“พี่หานไม่ได้พบกันสองสามปีพลังยุทธ์เพิ่มขึ้นอีกแล้ว นี่ช่างเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมจริงๆ! หลังจากสู้กันวันนั้นข้าก็ถูกจอมมารเผ่ามารไล่สังหารแล้วพบกับปัญหาที่คาดไม่ถึงระหว่างทางจึงเพิ่งกลับมาในเมืองได้ไม่นาน” สตรีผู้นี้ก็คือเซียนหยินกวงที่แยกกันระหว่างสงครามที่เมืองอี่เทียน เมื่อเห็นหานลี่ก็เอ่ยด้วยความดีอกดีใจทันที

“ที่แท้สหายหยินกวงก็เพิ่งกลับมา มิน่าล่ะ” หานลี่ได้ยินพลันตกตะลึงแล้วเผยรอยยิ้มออกมา

“เอาล่ะ ในเมื่อทั้งสองก็มาถึงแล้วพวกเราไปนั่งคุยกันเป็นอย่างไร” ภิกษุจินเย่ว์สวดมนต์เป็นภาษาสันสกฤตขณะเอ่ย

“นั่ง? กับสหายชิงหลงผู้นี้! หากเป็นเช่นนั้นก็ช่างมันเถิด ผู้แซ่หานไม่อยากเสียเวลาอีกครั้ง” หานลี่ได้ยินคำพูดของภิกษุจินเย่ว์กลับมีสีหน้าเคร่งขรึมแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา

อรหันต์ชิงหลงย่อมมีสีหน้าดูไม่ได้ ใบหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย

“เอาล่ะๆ คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าลบหลู่ตาเฒ่าเช่นนี้ ต่อให้ข้าต้องเสียปราณแท้ก่อนเคราะห์สวรรค์ครั้งหน้าก็ต้องสู้กับเจ้าสักตั้ง!” เขาร้องตะโกนเสียงเหี้ยมทันที

“เจ้ายอมทำเช่นนี้ผู้แซ่หานย่อมยินดี” หานลี่ได้ฟังก็รับคำอย่างไม่ลังเลเลยสักนิดผิวเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ ท่าทางจะลงมือทันที

“สหายทั้งสองช้าก่อน! ฟังอาตมาพูดก่อนเรื่องนี้สหายอิ๋นเย่ว์อาจจะไม่เข้าใจแต่ข้าและสหายกู้เข้าใจดี ยามนี้เผ่ามารมาล้อมโจมตีเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าจึงยังไม่สมควรจะเอ่ยถึงเรื่องนี้จะว่าไปแล้วก็ทำให้สหายหงส์น้ำแข็งได้รับการดูถูกแล้ว” ภิกษุจินเย่ว์รับห้ามทั้งสองคนอยู่ตรงกลางแล้วเอ่ยกับหงส์น้ำแข็งอย่างรู้สึกเสียใจ

“เรื่องนี้ชิงหลงเป็นคนทำผู้เดียวเกี่ยวอันใดกับท่านอาวุโส?” แม้ว่าหงส์น้ำแข็งจะไม่ค่อยพอใจเหล่าภิกษุแต่ใบหน้าย่อมไม่มีสีหน้าใดๆ กลับตอบกลับอย่างนอบน้อม

“กล่าวเช่นนี้มิได้! ในเมื่ออาตมาเป็นหนึ่งในอาวุโสของเมืองเทวะสวรรค์ เรื่องเป็นเช่นนี้จะไม่รับผิดชอบได้อย่างไรทว่ายามนี้ชิงหลงก็เป็นหนึ่งในอาวุโสของเมืองข้าหวังว่าพี่หานจะไว้หน้าสักหน่อย! แม้ว่าประสกชิงหลงจะทำไม่ถูกแต่ถึงอย่างไรเสียก็ไม่ได้ทำร้ายสหายหงส์น้ำแข็งจริงๆ มิสู้ให้สหายชิงหลงจ่ายศิลาวิญญาณเพื่อเป็นค่าทำขวัญให้กับเซียนหงส์น้ำแข็งเป็นอย่างไร ส่วนจำนวนของศิลาวิญญาณอาตมาจะต้องทำให้สหายหงส์น้ำแข็งพึงพอใจแน่” หลังจากที่ภิกษุจินเย่ว์สั่นศีรษะก็เอ่ยกับหานลี่และพวกทั้งสองด้วยสีหน้าจริงใจ

“หรือว่าท่านคิดว่าผู้แซ่หานขาดแคลนศิลาวิญญาณหรือ?” หานลี่ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขณะเอ่ย

“สหายหานย่อมไม่ขาดแคลนศิลาวิญญาณอยู่แล้ว แต่ศิลาวิญญาณก้อนนี้น่าจะเป็นของชดเชยให้กับสหายหงส์น้ำแข็งได้แน่นอนว่าหากสหายมีเงื่อนไขอันใดก็พูดมาเถิด” ภิกษุจินเย่ว์เอ่ยอย่างมีเลศนัย

“พี่กู้ สหายหยินกวงเจ้าสองคนคิดเห็นอย่างไร?” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อยไม่ได้ตอบอันใด กลับเอ่ยถามอีกสองคน

“เดิมเรื่องเหล่านี้ผู้แซ่กู้ก็ไม่อยากพูดมากแต่ในเมื่อเผ่ามารอยู่ตรงหน้าพวกเราก็ไม่ควรจะเกิดปัญหาขัดแย้งภายในกัน ข้าน้อยหวังว่าสหายทั้งสองจะยอมๆ กันได้” ชายชราแซ่กู้หาววอดแล้วเอ่ยอย่างคลุมเครือ

หานลี่ก่นด่าว่า ‘สุนัขจิ้งจอกเฒ่า’ ในใจ เผยสีหน้าไม่คิดเช่นนั้นออกมาแล้วกวาดตามองเซียนหยินกวงแวบหนึ่ง

“แม้ว่าข้าจะเพิ่งกลับมาได้ไม่นานแต่ก็ได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง สหายชิงหลงทำเกินไปหน่อยจริงๆ แต่ในยามนี้มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ในเมืองไม่มาก ทุกคนล้วนเป็นพลังสำคัญในการต้านทานเผ่ามาร ไม่สะดวกที่จะลงมือจริงๆ ทว่าแค่ใช้ศิลาวิญญาณชดเชยดูเหมือนจะน้อยไปหน่อย สหายชิงหลงมิสู้เอาวัตถุดิบหรือสมบัติที่สหายหงส์น้ำแข็งต้องการออกมาให้ ข้าว่าจะเหมาะสมกว่า!” เซียนหยินกวงครุ่นคิด เอ่ยอย่างเข้าข้างหานลี่

“หึ ดูแล้วทั้งสามคนจะคิดว่าเรื่องนี้ข้าน้อยเป็นคนผิดแล้ว!” หลังจากที่อรหันต์ชิงหลงหน้าเปลี่ยนสีไปสองสามครั้ง ก็ทนไม่ไหวแค่นเสียงหึขณะเอ่ย

“เป็นสหายจริงหรือไม่ ข้าว่าสหายน่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ! หรือว่าสหายชิงหลงยังคิดจะให้พวกเราและคนธรรมดาออกหน้าหาหลักฐานอีก? ทว่าหากต้องการพยาน ที่นี่ก็ดูเหมือนว่าจะมีอยู่สองสามคน” ภิกษุจินเย่ว์สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย แล้วกวาดตามองเสี่ยวหงและพวกแวบหนึ่ง พลางตอบกลับอย่างราบเรียบ

เสี่ยวหงและพวกได้ยินว่าเอ่ยถึงพวกเขา ก็มองสบตากัน แต่กลับมิกล้าพูดอันใดอีก

“หงส์น้ำแข็ง ความเห็นของเจ้าล่ะ!” หานลี่ครุ่นคิดอยู่นานถึงได้หันไปเอ่ยถามหงส์น้ำแข็งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ในเมื่อท่านอาวุโสลงมือ ข้าก็จะไม่พูดมาก ให้พี่หานเป็นผู้ตัดสิน!” หงส์น้ำแข็งผู้นี้เอ่ยอย่างรู้จักวางตัว

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ศิลาวิญญาณและสมบัตินั้นยังไม่ต้องพูดถึง ข้ามีเงื่อนไขหนึ่ง หากเขาตอบตกลง เรื่องนี้ก็จะพักเอาไว้ก่อนชั่วคราว” หานลี่หรี่ตาครุ่นคิดชั่วครู่ แล้วถึงได้เอ่ยอย่างแช่มช้า

“เงื่อนไขอันใด สหายหานมิสู้พูดมาให้ฟังซิ!” ภิกษุจินเย่ว์ย่อมซักถามต่อ

“ง่ายมาก ศิลาวิญญาณและสมบัตินั้นก็ช่างเถิด แม้ว่าผู้แซ่หานจะไม่ได้มีมากนัก แต่ก็ไม่ขาดแคลน ขอแค่สหายชิงหลงรับการโจมตีของข้าโดยไม่หลบสามครั้ง!” หานลี่เอ่ยพร้อมกับมีจิตสังหารฉายแวบผ่านบนใบหน้า

“อันใดนะ พี่หานคิดจะลงมือจริงๆ!” ภิกษุจินเย่ว์ตกตะลึงไปเล็กน้อย!

“แค่รับการโจมตีสามครั้งเท่านั้น ไม่นับว่าลงมืออันใด ปรมาจารย์จะเรียกว่าแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันก็ย่อมได้” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ

“สหายชิงหลง เจ้ามีความเห็นอย่างไร?” ปรมาจารย์จินเย่ว์ปรึกษากับเซียนหยินกวงและพวกทั้งสองด้วยเสียงแผ่วเบา แล้วหันไปเอ่ยถามอรหันต์ชิงหลง

“รับการโจมตีของเจ้าสามคน จะใช้สมบัติหรือไม่” อรหันต์ชิงหลงลังเลเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

“เจ้ากับข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียร อิทธิฤทธิ์ย่อมอยู่ที่สมบัติอาคม แน่นอนว่าต้องใช้อาวุธ อันใด สหายและข้าน้อยพลังไม่ต่างกันมาก หรือว่าไม่มั่นใจว่าจะรับการโจมตีสามครั้งของผู้แซ่หานได้?” หานลี่เอ่ยเย็นชา น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความเยาะเย้ย

“หึ เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้วิธียั่วยุ ข้าตอบรับเงื่อนไข” อรหันต์ชิงหลงมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส ในที่สุดก็ตอบรับพร้อมกับแค่นเสียงเย็นชา

เหมือนกับที่หานลี่กล่าวเอาไว้ หากไม่กล้ารับการโจมตีสามครั้งจากผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกับตน เกรงว่าเขาคงไม่มีหน้าอยู่ในเมืองเทวะสวรรค์ได้ต่อ

“เยี่ยมมาก ในเมื่อสหายชิงหลงไม่มีความเห็น เช่นนั้นพวกเราก็หาสถานที่จัดการเรื่องนี้ทันใดเถิด นายท่านคงไม่อยากยืดเยื้อเรื่องนี้ต่อไปอีกสินะ!” แววตาของหานลี่ฉายแววเย็นชา แล้วเอ่ยอย่างโหดเหี้ยมทันใด

“ในเมื่อข้าตอบรับแล้ว จะช้าหรือเร็วย่อมไม่สำคัญ เจ้าหาสถานที่มาเถิด!” อรหันต์ชิงหลงตอบรับเงื่อนไขของหานลี่แล้ว ก็เผยท่าทีอันตรายเป็นอย่างยิ่งออกมา พลางตอบกลับอย่างไม่ต้องขบคิด