ตอนที่ 1766 คนที่สิบสอง!

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

คำพูดเหล่านั้นมันช่างแสนโอหัง!

หากปล่อยให้คนภายนอกได้ยิน มันคงทำให้พวกเขาใจสั่นจนทำอะไรไม่ถูก

เพียงแค่ว่าตอนนี้เย่หยวนผิดหวังมากจริงๆ

ตั้งแต่ที่เขาได้รู้มาจากหวู่เฉินว่ามหาพิภพถงเทียนมันมียอดนักหลอมโอสถนามโอสถบรรพกาล เย่หยวนก็คิดที่อยากจะประลองกับเขาดูสักครั้งมานานแสนนาน

แต่การต่อสู้ในวันนี้มันไร้ซึ่งความสนุกใดๆ

เพราะแค่การวางหมากตาแรกมันก็กำหนดผลหมากกระดานนี้ไปแล้ว

นี่มันเป็นการปะทะของผู้ที่ไม่เท่าเทียม

แต่แน่นอนว่านี่เป็นเพราะว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาหาใช่โอสถบรรพกาลตัวจริงไม่ เพราะว่าพลังของโอสถบรรพกาลการใน ‘อย่าถาม’ ฉบับง่ายนี้มันอ่อนแอจนเกินไป

‘อย่าถาม’ ของจริงนั้นมันคงเป็นอะไรที่เย่หยวนในตอนนี้ไม่สามารถรับมือได้แน่

ถ้าเขาได้ลองเล่นเขาคงถูกลบหายไปตั้งแต่เริ่มเกม

แม้ว่าโอสถบรรพกาลตรงหน้าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าความรู้ของเย่หยวนมันก็ยังไม่มากพอที่จะเก็บมาใส่ใจ

เพราะยังไงเสียเย่หยวนก็เป็นคนที่สำเร็จยันต์แปดทิศยอดเต๋า ความเข้าใจในเต๋าของเขานั้นมันเหนือล้ำกว่าที่นักหลอมโอสถทั่วๆ ไปจะมาเปรียบเทียบได้

เข้ามาด้วยความหวังสูงส่ง แต่กลับพบว่าศัตรูนั้นอ่อนแอเกินไป เย่หยวนย่อมผิดหวังเป็นธรรมดา

“เจ้าหนุ่มคนนี้ช่างโอหัง! ข้านั้นเป็นแค่เสี้ยวความรู้ของร่างจริงที่ถูกทิ้งไว้ใน ‘อย่าถาม’ พลังของตัวจริงข้านั้นเป็นสิ่งที่เจ้าไม่มีทางคาดเดาได้เลย” โอสถบรรพกาลบอก

เย่หยวนยิ้มตอบ “ข้าย่อมรู้ดี ข้ายังไม่ได้อวดดีจนถึงขั้นคิดจะไปชนะโอสถบรรพกาลตัวจริงท่านหรอก เพียงแค่วันข้างหน้าข้าอยากจะลองเล่นกับเขาดูสักเกม”

โอสถบรรพกาลบอก “ช่างเป็นเจ้าหนุ่มที่โอหังไม่รู้ที่ต่ำที่สูงจริงๆ! พลังของร่างจริงข้านั้นมันเหนือล้ำกว่าสิ่งใดๆ ต่อให้เป็นเจ้ายี่มันก็ไม่สามารถเทียบเคียงข้าได้ ในโลกใบนี้ไม่มีใครที่จะก้าวข้ามตัวจริงของข้าไปได้หรอก”

โอสถบรรพกาลที่ตรงหน้าเขานั้นเป็นได้แค่เสี้ยวความรู้ที่ไม่นับว่าเป็นร่างจำแลงเสียด้วยซ้ำ

แต่ความมั่นใจในตัวจริงของอีกฝ่ายนั้นมันช่างเหนือล้ำกว่าใครๆ

ในจิตใจของเขา โอสถบรรพกาลคือตัวตนที่อยู่สูงเหนือโลกหล้า เป็นตัวตนที่จะไม่มีทางถูกใครมาแทนที่ได้แน่ๆ

และนั่นก็คงเป็นความคิดที่ร่างจริงมีเช่นกัน

เย่หยวนได้แต่หัวเราะออกมาเมื่อได้ยิน “ยอดคนนั้นเกิดใหม่ขึ้นทุกยุคสมัย! ความคิดของท่านนี้มันช่างน่าขัน! โอสถบรรพกาลเองก็เป็นแค่ชื่อตำแหน่ง หาใช่เต๋าบรรพกาลที่แท้จริงไม่”

โอสถบรรพกาลนั้นมีท่าทางไม่พอใจอย่างมากเมื่อได้ยิน “เจ้าหนุ่ม เจ้ากล้ากล่าวว่าร่างจริงข้าเรอะ! อภัยให้ไม่ได้!”

เย่หยวนส่ายหัวออกมา “ข้าแค่พูดตามความจริง เดินหมากท่านเถอะ!”

โอสถบรรพกาลหัวเราะออกมา “เด็กไม่รู้ที่ต่ำที่สูง โอสถบรรพกาลผู้นี้ไม่ยอมเชื่อหรอกว่าจะต้องมาแพ้เจ้า!”

ตุบ!

หลังจากบ่นมานาน ในที่สุดโอสถบรรพกาลก็เริ่มวางหมากอีกครั้ง

เมื่อเกมเริ่มดำเนินไป มันก็ต้องมีการตัดสินแพ้ชนะ นี่คือกฎที่มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลวางไว้

เย่หยวนใช้จิตของตัวเองเข้าคุมเกมกระดานนี้ไว้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาควบคุมเรื่องราวภายนอกเกมได้

เพราะยังไงเสีย ‘อย่าถาม’ กระดานนี้มันก็ถูกสร้างโดยมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล

ตุบ!

เย่หยวนเองก็วางหมากต่อไปอย่างไม่คิด

เช่นนี่ คนทั้งสองก็เริ่มเกมกระดานนี้ต่อไป

เพียงแค่ว่าตอนนี้สถานการณ์มันได้พลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ

การรุกของเย่หยวนนั้นหนักแน่นราวขุนเขาและรุนแรงราวแม่น้ำ โอสถบรรพกาลนั้นไม่มีทางที่จะตั้งรับไว้ได้เลย

“กินทีละแถวใหญ่! พระเจ้าช่วย!”

“นี่มัน… จะไม่คิดเหลือหมากให้อีกฝ่ายเลยหรือ? เย่หยวนคนนี้จะโหดร้ายเกินไปแล้ว”

“น่ากลัว! ข้าเคยได้ยินมาก่อนนะว่าผู้ที่ชนะ ‘อย่าถาม’ นี้มาได้ล้วนแล้วแต่แค่ชนะโอสถบรรพกาลมาอย่างเส้นยาแดงผ่าแปด แต่เย่หยวนคนนี้…”

ที่ด้านนอกคนทั้งหลายต่างแสดงความตื่นตกใจออกมา

เพราะยิ่งเย่หยวนโจมตีหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ สังหารกินหมากสีขาวไปจนพวกมันต้องถอดหมวกโยนเกราะทิ้ง เสียกำลังไปอย่างมาก

ทั้งผู้อาวุโส นักบวช นักบวชฝึกหัดต่างตกตะลึง

ตอนแรกพวกเขาทั้งหลายนั้นต่างต่อว่าการเดินตาแรกของเย่หยวนว่าอ่อนหัด ไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าตาเดินที่อ่อนหัดนนั้นมันจะเป็นตัวทำให้เกมพลิกกลับมาได้ถึงขนาดนี้

ลานกว้างเงียบกริบไร้เสียงใดๆ มีเพียงตัวหมากที่ยังคงวางลงกระดานต่อไปอย่างไม่หยุดพัก

เคร้ง!

จู่ๆ เงาร่างของโอสถบรรพกาลก็ได้แตกสลายไปคล้ายกับที่เกิดขึ้นกับมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลก่อนหน้านี้ หายวับไปจากโลกหล้า

เป็นเสียงนั้นเองที่ปลุกทุกคนให้ตื่นจากภวังค์!

เย่หยวนชนะ!

ไม่มีหมากตาย ไม่มีการเสมอ

สิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานั้นคือชัยชนะอย่างเด็ดขาด!

เมื่อจุดศูนย์กลางถูกเชื่อมต่อ ทุกอย่างมันก็ถูกกำหนดไว้จนสิ้นแล้ว

ฟุบ!

แสงจากหายไปพร้อมเสียงดังลั่น บนกระดานหมากล้อมปรากฏร่างจริงของเย่หยวนออกมาอีกครั้ง

ทุกคนมองดูมันด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ

“คน… คนที่สิบสอง!”

ในหมู่คนมีเสียงร้องออกมา

“คนที่สิบสอง? สิบสองอะไร? อะ คนที่สิบสอง!”

ทีแรกทุกคนยังคิดตามไม่ทันว่าสิบสองอะไร

แต่ไม่นานพวกเขาก็ได้รู้ถึงความหมายของคำว่าคนที่สิบสองทันที

เย่หยวนได้กลายเป็นผู้ผ่าน ‘อย่าถาม’ คนที่สิบสองในรอบห้าสิบล้านปี!

ซิ่วมองดูเงาร่างของเย่หยวน “แปดล้านปี! ในที่สุดก็มียอดอัจฉริยะอีกคนที่สามารถผ่าน ‘อย่าถาม’ ปรากฏตัวขึ้น! ที่สำคัญความสามารถของเขายังเหนือล้ำกว่าผู้ที่ผ่านก่อนๆ นัก!”

คนทั้งสิบเอ็ดที่ผ่านก่อนหน้านี้เป็นได้แค่หมากบนกระดานของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล

พวกเขาได้แต่ต้องทนรับจิตของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลไว้และไม่สามารถขัดขืนใดๆ ได้

แต่จิตใจของเย่หยวนนั้นแข็งแกร่ง ไม่ใช่แค่เขาจะทำลายเสี้ยวจิตของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล เขายังเก่งกาจพอที่จะชนะโอสถบรรพกาลได้อย่างไม่เห็นฝุ่น กองทัพแตกหนีกระจัดกระจาย!

พลังระดับนี้ ความสามารถระดับนี้ มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์!

“ฮ่าๆๆ… เยี่ยม! เย่หยวนเจ้าช่างเยี่ยมยอด! เจ้าวิหารคนนี้มองเจ้าไม่ผิดจริงๆ! ไม่นึกเลยว่าเมืองจักรพรรดิต้นทรราชของข้าจะมียอดคนเช่นนี้เกิดขึ้นมาได้!”

จู่ๆ ดี๋เชียวก็หัวเราะลั่นออกมา

หลังจากแปดล้านปีมานี้ อาณาจักรเทพอสูรนั้นได้มีอัจฉริยะที่ผ่าน ‘อย่าถาม’ ขึ้นมาได้อีกคน ในฐานะเจ้าวิหารนักบวชแห่งเมืองจักรพรรดิต้นทรราชแล้วเขาย่อมต้องดีใจเป็นธรรมดา

ที่สำคัญเรื่องในครั้งนี้มันยังเป็นเกียรติอย่างมากด้วย

เพราะยังไงเวลากว่าแปดล้านปีมานี้มันก็มียอดอัจฉริยะที่เกิดขึ้นและดับลงไปจำนวนมากมาย

แต่แสงที่เย่หยวนเปล่งออกมาในครั้งนี้มันช่างเจิดจ้า!

นิคุนและผู้อาวุโสหลี่ได้แต่ทำหน้าเหยเกออกมาอย่างถึงที่สุด

พวกเขาคิดจะให้เย่หยวนไปท้าทาย ‘อย่าถาม’ ก็เพื่อจะทำร้ายเขา

ใครจะไปคิดว่าเย่หยวนจะผ่าน ‘อย่าถาม’ ไปได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้?

เท่านี้สถานะของเย่หยวนก็จะพุ่งทะยานขึ้นฟ้า เป็นตัวตนเทียบเท่ากับศิษย์ของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล

ตำแหน่งนี้ แค่คำพูดเดียวมันก็ตัดสินเป็นตายพวกเขาได้แล้ว!

คนทั้งสองได้แต่มองหน้ากันไปมาด้วยความรู้สึกที่อยากจะขุดดินมุดหน้าหนีหายไปจากโลกหล้า

ตอนนั้นเองในเขตแดนมนุษย์อันห่างไกล

โอสถบรรพกาลที่กำลังเก็บตัวบ่มเพาะก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา

“เกิดอะไรขึ้น? ทำไม… ข้าถึงรู้สึกได้ถึงภัย?” โอสถบรรพกาลพูดขึ้นด้วยคิ้วขมวดแน่น

เพราะความรู้สึกที่จู่ๆ ก็แล่นเข้ามานี้มันทำให้โอสถบรรพกาลตื่นตกใจอย่างมาก

เมื่อพัฒนาตัวมาจนถึงระดับของเขาแล้ว นอกเสียจากเต๋าบรรพกาลมันก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นภัยแก่เขาได้เลย

แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกเช่นนี้ขึ้นมา

เสี้ยวความรู้ที่หลงเหลืออยู่นั้นไม่ได้เชื่อมต่อกับร่างจริงเลยแม้แต่น้อย เขาย่อมไม่มีทางรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นใน ‘อย่าถาม’ ไปได้

แต่ว่าเสี้ยวความรู้นั้นก็ยังเป็นจิตส่วนหนึ่งของเขาอยู่ดี เมื่อมีเสี้ยวจิตของตนถูกทำลาย เขาย่อมรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือน

เพียงแค่เขาไม่อาจจะคาดเดาได้เลยว่าทำไมตัวเขาจึงรู้สึกถึงภัยจากนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้า

ขณะเดียวกัน ทางมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลก็ต้องลืมตาตื่นโพลงขึ้นมา ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยแสงเจิดจ้า

เขาเปิดปากขึ้นพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง “ห้าสิบล้านปี ข้ารอมานาน! ไม่นึกเลยว่าจะมีคนที่สามารถกำจัดจิตของข้าและขึ้นไปชนะโอสถบรรพกาลด้วยตัวเองได้!”

………………………..