ภาคที่ 5 บทที่ 14 คำสาป

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 14 คำสาป

เพล้ง !

ถ้วยลายครามอันหรูหรากระแทกพื้นหินไพฑูรย์อย่างแรงจนแตกละเอียด

“ไอ้พวกขยะไร้ค่า ! เจ้ากล้าปล่อยให้พวกมันหนีไปได้อย่างนั้นหรือ ?” กู่เฟยหงมองไปที่ลูกน้องของเขาด้วยท่าทีเกรี้ยวกราดยิ่ง

ข้ารับใช้ผู้หนึ่งตอบตัวสั่น “นายน้อย สถานการณ์มันแปลกเกินไปจริง ๆ ขอรับ ดูเหมือนว่าซูเฉินจะใช้วิชาลับบางอย่าง แม้พวกเราจะตามพวกมันไปทันแล้ว ทว่าหลังกระโดดลงน้ำไปพวกมันทั้งคู่ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเลยขอรับ ดูเหมือนว่ามันจะมีวิชาบางอย่างที่สามารถช่วยปกปิดตัวตนใต้น้ำได้”

“ข้าไม่รู้ว่าซูเฉินมีวิชาปกปิดตัวตนใต้น้ำหรือไม่ แต่หากกู่ชิงลั่วมีมัน มีหรือที่ข้าจะไม่รู้ ? นางไปเรียนรู้วิชาแบบนั้นมาเมื่อไหร่กัน ? ดูก็รู้ว่าเจ้าก็แค่พยายามมองหาข้อแก้ตัวและหาข้ออ้างที่ทำงานพลาดก็เท่านั้น !” กู่เฟยหงต่อยชายคนนั้นตายในหมัดเดียว

ไม่ใช่ว่ากู่เฟยหงมั่นใจในความคิดของตัวเอง หรือหัวแข็งคิดตื้นเกินไป แต่เป็นเพราะว่าวิชาที่ซูเฉินใช้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีปรากฏบนทวีปต้นกำเนิดนี้มาก่อน

ไม่ใช่ว่าวิชาที่ใช้แยกร่างหรือใช้สร้างร่างปลอมไม่เคยมีอยู่ ทว่ามันมีเพียงสายเลือดที่มีเอกลักษณ์เพียงไม่กี่ประเภทเท่านั้นที่จะสามารถทำเช่นนั้นได้ และส่วนใหญ่ก็มีระยะเวลาจำกัดทั้งยังไม่สามารถออกห่างจากร่างต้นได้เช่นนี้

วิชาร่างแยกที่ซูเฉินพัฒนาขึ้นนี้ เป็นวิชาที่เรียกได้ว่าโดดเด่นที่สุดวิชาหนึ่งที่เคยมีปรากฏบนทวีปต้นกำเนิดมา มันอาจจะไม่ใช่วิชาที่ทรงพลังที่สุดในการต่อสู้ แต่ความสามารถในการเอาชีวิตรอดของร่างแยกโดยไม่ต้องพึ่งพาร่างหลักนั้นไม่มีใครเทียบได้อย่างแน่นอน นี่เป็นเพราะซูเฉินมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และสามารถควบคุมสสารต้นกำเนิดได้อย่างแม่นยำ ในขณะเดียวกันเขาก็ยังมีพลังจิตที่มากพอโดยไม่ต้องกังวลกับเศษเสี้ยวเล็ก ๆ ที่ต้องเสียไปกับการควบคุมร่างแยกเหล่านี้

เนื่องจากวิชาเช่นนี้ยังไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่กู่เฟยหงจะวิเคราะห์สถานการณ์ผิดพลาดไป

อย่างไรก็ตาม หลังจากการสอบสวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็พบว่าทั้งสองได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยหลังจากกระโดดลงไปในน้ำจริง ๆ ไม่ว่ามันจะเป็นวิชาปกปิดตัวตนใต้น้ำหรือไม่ ความจริงที่ว่าซูเฉินมีวิชาลับบางอย่างสำหรับหลบหนีก็ไม่ใช่เรื่องโกหก

“บัดซบ !” กู่เฟยหงกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ

เขาเดินวนไปวนมาอยู่สองสามรอบก่อนจะพูดว่า “ในเมื่อพวกมันมีวิชาลับสำหรับหลบหนี พวกมันก็อาจจะไม่ได้อยู่ในเมืองแล้ว แม้ว่าเราจะส่งคนไปค้นหามากขึ้นมันก็คงเปล่าประโยชน์ ดูเหมือนว่าข้าคงจะต้องขอความช่วยเหลือจากราชวงศ์เท่านั้นแล้ว”

“นายน้อย เพียงเพื่อกู่ชิงลั่ว…” หยางชุนหยานตกใจและพยายามห้ามปรามนายน้อยของเขา

“หุบปาก !” กู่เฟยหงตบหน้าอีกฝ่าย “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า กู่ชิงลั่วจะหนีไปได้รึ !?”

หยางชุนหยานก้มศีรษะลงและไม่ได้พูดอะไรอีก

“เตรียมรถม้า ข้าจะไปหาองค์รัชทายาท !”

ครึ่งชั่วยามต่อมา

วังขององค์รัชทายาท

ฉู่เจียงอวี๋นั่งดื่มชาอยู่บนเก้าอี้หลักกลางโถงอย่างใจเย็น “พี่กู่ ไม่ใช่ว่าข้าไม่ต้องการช่วยเหลือท่าน แต่เรื่องนี้มันขัดต่อข้อตกลงระหว่าง 2 ตระกูล เมื่อปีนั้นที่บรรพบุรุษของเราได้ทำข้อตกลงกัน พวกท่านได้วางกฎไว้ 3 ข้อ หนึ่งในนั้นคือผนึกวิญญาณหงลั่วต้องใช้เพื่อจับตัวผู้ที่ทำผิดกฎเท่านั้น ไม่อาจใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตนได้ คำขอของท่านจึงทำให้ข้าอยู่ในสถานะที่ยากลำบากมากจริง ๆ”

กู่เฟยหงยิ้ม “ข้ารู้ อย่างไรก็ตามนี้เป็นคำขอของข้าและความคิดของข้า ดังนั้นมันจึงไม่นับว่าราชวงศ์ผิดสัญญาแต่อย่างใด”

“เช่นนั้น ท่านสามารถกล่าวได้ว่าท่านเป็นตัวแทนของตระกูลกู่ ใช่หรือไม่ ?”

“นี่… ” กู่เฟยหงลังเล

ตระกูลกู่มีมหาราชันอยู่ 12 คน ในสาขาหลักเพียงอย่างเดียวก็มีทั้งหมด 27 ครอบครัวแล้ว และยังมีผู้อาวุโสอีก 108 คนในสภาผู้อาวุโส ทุกคนล้วนเป็นเป็นสมาชิกคนสำคัญของตระกู่ และย่อมมีความคิดเป็นของตัวเอง

แม้ว่าในตระกูลกู่ กู่เฟยหงจะมีสถานะสูงส่ง แต่เขาก็ไม่ใช่คนเดียวที่มีตำแหน่งดีงามเช่นนั้น

ตัวตนและสถานะของเขาสามารถสร้างอิทธิพลต่อตระกูลได้ก็จริง แต่มันก็ยังคงห่างไกลจากจุดที่เขาสามารถตัดสินใจในฐานะตัวแทนของตระกูลกู่ทั้งหมดได้

เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีเช่นนี้ ฉู่เจียงอวี๋ก็ยิ้มเล็กน้อย “เห็นไหม ? ไม่ใช่ว้าข้าไม่อยากช่วยท่าน แต่เพราะท่านไม่สามารถรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะให้ข้าได้ หากข้าไปหาท่านพ่อเพียงเพราะท่านขอร้องข้า ข้าเกรงว่าตำแหน่งรัชทายาทนี้เองก็คงมิอาจอยู่ในมือข้าได้นานนัก”

กู่เฟยหงเริ่มกระวนกระวายใจ “องค์รัชทายาทได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิด ! ข้าไม่สามารถทนดูสุนัขคู่นั้นทำตัวไม่สนกฎเกณฑ์ได้”

สีหน้าของฉู่เจียงอวี๋เปลี่ยนไปเล็กน้อย “ท่านหมายถึงทำตัวไม่สนกฎของตระกูลกู่ของท่านใช่หรือไม่ ? กฎของภูผาสูญถูกกำหนดโดยตระกูลฉู่ ไม่ใช่ตระกูลกู่”

กู่เฟยหงตระหนักว่าเขาทำผิดพลาดไปแล้ว “ใช่ ๆ ข้ากล่าวผิดเอง องค์รัชทายาทได้โปรดให้อภัยข้าด้วย หากท่านยินดีช่วยข้า ข้าก็ยินดีจะมอบอาซูไรต์พันปีให้เป็นการแลกเปลี่ยน !”

“อาซูไรต์พันปี?” ฉู่เจียงอวี๋พึมพำ ดูเหมือนเขาจะหวั่นไหวเล็กน้อย

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พูดต่อว่า “มันไม่ใช่ว่าข้าไม่อาจช่วยท่านได้ แต่ท่านต้องยื่นคำขออย่างเป็นทางการมาให้ข้า คำร้องที่เป็นลายลักษณ์อักษรและมีการประทับตราด้วยเลือดของต้นสายเลือดมังกรสุริยะ”

“นั่น… ” กู่เฟยหงลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็กัดฟันและพูดว่า “ตกลง !”

เมื่อลาส่งอีกฝ่ายกลับแล้ว รอยยิ้มที่ดูลึกลับก็ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉู่เจียงอวี๋

ชายวัยกลางคนผู้ปรากฏตัวขึ้นจากความมืดกล่าวขึ้น “องค์รัชทายาท ท่านจะขอให้ฝ่าบาทเปิดใช้งานกระจกหงลั่ว เพียงเพื่ออาซูไรต์พันปีจริง ๆ หรือ ?”

ฉู่เจียงอวี๋เลิกคิ้ว “จะเป็นไปได้อย่างไร ? แม้อาซูไรต์พันปีจะมีค่า แต่มันเป็นของสำคัญสำหรับข้าหรือ ? ข้าคือรัชทายาทของที่นี่ เรามีสมบัติล้ำค่าเกินกว่าจินตนาการอยู่ตั้งมากมาย แล้วเหตุใดข้าถึงต้องสนใจสมบัติของตระกูลกู่ด้วย ?”

“เช่นนั้นท่าน…”

ฉู่เจียงอวี๋หัวเราะอย่างชั่วร้าย “หากข้าไม่รับรับผลประโยชน์มา แล้วข้าจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าข้าถูกใครบางคนขอร้องให้ทำ ? กู่เฟยหง ไอ้งี่เง่านั่น ถึงกับมาเสนอยื่นตระกูลกู่ให้ข้าด้วยมือของมันเอง แม้ข้าจะไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลย ข้าก็เต็มใจรับข้อเสนอนี้อยู่ดี ฮ่า ๆๆๆ!”

ตระกูลกู่ตกลงที่จะอยู่ภายใต้ตระกูลฉู่ก็จริง ทว่าตราบใดที่ตระกูลกู่ไม่ได้ก่อกบฏ พยายามหนีออกนอกอาณาจักร หรือแอบส่งต่อสายเลือดของตนอย่างลับ ๆ ตระกูลฉู่ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ตรวจสอบพวกเขาตามอำเภอใจ

เป็นเวลาหลายปีที่ตระกูลฉู่ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงนี้ และไม่เปิดใช้งานกระจกหงลั่วตามอำเภอใจ

อย่างไรก็ดี ในฐานะทายาทของสายเลือดเทพอสูรบรรพกาล ใครจะบอกได้ว่าพวกเขาแอบทำไม่ดีหรือไม่ ?

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาตระกูลฉู่ได้เปิดใช้กระจกหงลั่วอยู่สองสามครั้ง หลังจากมีเหตุบางอย่างเกิดขึ้นในอาณาเขตของตระกูลกู่ แต่ทุกครั้งที่เปิดใช้ตระกูลกู่ก็จะรู้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้ว

เพราะพวกเขารู้ล่วงหน้าว่าจะมีการใช้กระจกหงลั่ว พวกเขาก็ย่อมสามารถเตรียมการรับมือได้อย่างเหมาะสมอยู่แล้ว อาจกล่าวได้ว่าการเปิดกระจกหงลั่วในสถานการณ์เช่นนั้น ไม่ได้ช่วยให้ตระกูลฉู่ตรวจสอบอะไรอีกฝ่ายได้เลย

ทว่าวันนี้นั้นต่างออกไป

กู่เฟยหงได้มาร้องขอโดยไม่ได้แจ้งให้ตระกูลทราบ และกำลังจะประทับตราด้วยเลือดของต้นสายเลือดมังกรสุริยะลงบนใบคำร้องที่เป็นลายลักษณ์อักษร ด้วยวิธีนี้ตระกูลฉู่ก็จะสามารถใช้โอกาสนี้ตรวจสอบตระกูลกู่ได้ โดยไม่ได้ละเมิดข้อตกลงระหว่าง 2 ตระกูลแต่อย่างใด

กู่เฟยหงยอมมอบดาบให้ศัตรูเพียงเพื่อตามหากู่ชิงลั่วคนเดียว แล้วเช่นนี้ฉู่เจียงอวี๋จะไม่มีความสุขได้อย่างไร ?

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตัวเขาในฐานะองค์รัชทายาทได้มีส่วนช่วยในเรื่องนี้อย่างมาก ย่อมทำให้พระบิดาของเขามีความสุขและชื่นชมอย่างแน่นอน

————————————————

ท้องฟ้ากลับมาสว่างสดใสอีกครั้ง

กู่ชิงลั่วตื่นขึ้นมาและพบว่าซูเฉินไม่ได้อยู่ข้างตัวนางแล้ว

นางจึงสวมเสื้อผ้าแล้วเดินออกมาจากถ้ำ ก่อนจะได้เจอกับกังเหยียนและ 12 ข้ารับใช้ดาบคนอื่น ๆ ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าทางเข้าถ้ำ

“อรุณสวัสดิ์ นายหญิง !”

กังเหยียนและคนอื่น ๆ ทักทายกู่ชิงลั่วทันทีที่เห็นนางเดินออกมา

นางพยักหน้าตอบรับคำทักทายอย่างเป็นธรรมชาติและถามขึ้นว่า “ซูเฉินอยู่ที่ไหนหรือ ?”

“กำลังทำวิจัยอยู่ที่นั่นกับนายน้อยอวิ๋น” กังเหยียนตอบขณะที่ชี้ไปทางป่าไม่ใกล้ไม่ไกล

“กลับไปค้นคว้าวิจัยแต่เช้าตรู่…” กู่ชิงลั่วบ่นพึมพำ

ไม่ว่าผู้หญิงจะเข้มแข็งสักแค่ไหน มันก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่พวกนางจะไม่บ่น เมื่อผู้ชายหันไปทุ่มเทจดจ่ออยู่แต่กับงานของเขา นอกจากนี้นอกจากนี้กู่ชิงลั่วจะเติบโตขึ้นมากแล้ว แต่นางก็ยังไม่ได้สมเหตุสมผลขนาดนั้น นางยังคงนึกคิดและเพ้อฝันในเรื่องของความรักดั่งเด็กสาวทั่วไป

แต่ในไม่ช้านางก็ได้ตระหนักว่าตนเข้าใจชายหนุ่มผิดไป

ในบ้านหินกลางป่า ซูเฉินกำลังตรวจสอบขวดยาอย่างระมัดระวัง

ในขวดมีเลือดอยู่จำนวนหนึ่ง… จริง ๆ คือแค่หยดเดียว ทว่าหยดเลือดเพียงหยดเดียวนั้นกลับเปี่ยมไปด้วยพลังต้นกำเนิดที่เข้มข้นจนน่าตกใจ ทั้งยังปล่อยกลิ่นอายทรงพลังออกมาด้วย

ซูเฉินเทยา 3 ชนิดลงในขวดเพื่อยับยั้งพลังงานที่เดือดพล่านนี้

ถึงกระนั้น เลือดที่เจือจางจนสุดขั้วก็ยังคงส่งเสียงคำรามอย่างแผ่วเบา ราวกับสัตว์ร้ายโบราณกำลังขู่ร้อง มันยังทรงพลังมากพอที่จะทำให้ผู้ได้ยินรู้สึกใจสั่น

“นี่คือ… ” กู่ชิงลั่วบังเอิญฉากสิ่งนี้ และนางก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย

“เลือดของเจ้า” ซูเฉินตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง

เมื่อคืนที่ผ่านมา ซูเฉินได้ขอเลือดกู่ชิงลั่วมาสองสามหยด

“เจ้ากำลังค้นคว้าอะไรอยู่” กู่ชิงลั่วถาม

“ผนึกวิญญาณหงลั่ว” ซูเฉินตอบ

ขณะที่เขาพูด ควันกลุ่มหนึ่งก็ได้ลอยขึ้นมาจากผิวหน้าของตัวยา ควันบิดม้วนกลายเป็นใบหน้าปีศาจและคำรามอย่างโกรธจัดใส่ซูเฉิน

ซูเฉินใช้นิ้วแตะมัน กลุ่มควันหน้าผีโหยหวนและกระจายหายไป

“กำจัดมันได้แล้วหรือไม่ ?” กู่ชิงลั่วถาม

“ไม่ มันเพียงแค่หลับไป” ซูเฉินส่ายหัว

“ช่างเป็นคำสาปที่น่ากลัวจริง ๆ มันฝังอยู่ในทุกส่วนของร่างกายประหนึ่งปรสิต ไม่มีทางที่จะกำจัดมันออกไปจนหมดได้เลย ต่อให้เจ้าทำลายมัน มันก็จะฟื้นฟูตัวเองกลับมาอย่างรวดเร็ว และยังมีคำสาปแบบนั้นถึง 3 คำสาป”

“นี่เป็นวิชาลับที่ 7 ตระกูลเทพอสูรใช้เพื่อจัดการกับสายเลือดเทพอสูรบรรพกาล หากมันแก้ง่ายบรรพบุรุษของตระกูลข้าก็คงจะจัดการกับมันไปแล้ว” กู่ชิงลั่วถอนหายใจ

สายเลือดของตระกูลกู่ถูกสาปทั้งหมด 3 อย่างด้วยกัน

พวกมันทั้งหมดคือผนึกวิญญาณหงลั่ว คำสาปมังกรและมือสังหารฝันต้นกำเนิด พวกมันถูกใช้เพื่อค้นหา ควบคุม และสังหารหากจำเป็น ตระกูลฉู่สามารถใช้กระจกหงลั่ว คทามังกรและหยกฝันบรรพกาลเพื่อควบคุมคำสาปทั้ง 3 นี้ได้

ควันหน้าผีก่อนนี้คือผนึกวิญญาณหงลั่ว

ผนึกวิญญาณหงลั่วเป็นวิชาลับสุดยอดที่ใช้สำหรับการค้นหาและระบุตำแหน่ง หลังจากประทับมันลงบนร่างของผู้มีสายเลือดเทพอสูร มันก็จะฝังรากลึกลงไปในสายเลือดของตระกูลกู่แต่ละคน นี่เป็นวิธีที่ทั้ง 7 อาณาจักรใช้ควบคุมพวกเขา และไม่มีใครสามารถกำจัดหรือหลบเลี่ยงผลกระทบของผนึกได้

ตราบเท่าที่ตระกูลฉู่ต้องการ พวกเขาก็สามารถใช้ตราประทับนี้เพื่อสังเกตการเคลื่อนไหวของเป้าหมายได้

ในทำนองเดียวกัน เมื่อกระจกหงลั่วถูกเปิดใช้งาน เป้าหมายที่ถูกสังเกตก็จะสัมผัสได้เช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายจึงตกลงกันว่าเว้นเสียแต่สมาชิกคนใดคนหนึ่งของตระกูลกู่จะทำผิดข้อตกลงก่อน ตระกูลฉู่จะไม่ใช้กระจกหงลั่วเพื่อเรื่องส่วนตัว

แม้ว่ากู่ชิงลั่วจะหนีไปจากตระกูลกู่ แต่นางก็ยังไม่ได้ออกจากภูผาสูญหรือคิดกบฏต่อตระกูลฉู่ เรื่องนี้เป็นเพียงปัญหาครอบครัว ดังนั้นตระกูลฉู่จึงไม่มีสิทธิ์สอดแนมตำแหน่งของนาง

การกู่เฟยหงที่ขอให้ฉู่เจียงอวี๋ตามหากู่ชิงลั่วนั้น เทียบเท่ากับการขายทั้งตระกูลทิ้งเพื่อผู้หญิงเพียงคนเดียว แม้แต่ซูเฉินเองก็ไม่เคยคิดว่ากู่เฟยหงจะทำเช่นนั้น จากมุมมองนี้ซูเฉินนับว่าตามหลังกู่เฟยหงอยู่ และการคำนวณของเขาก็ไม่ได้ถูกต้องไปเสียหมด

บางครั้งคนฉลาดจะไม่แพ้คนฉลาด แต่มักจะแพ้ให้แก่คนไร้เหตุผล

แน่นอนว่าความผิดพลาดนี้ไม่ใช่ตัวตัดสินชี้ขาด เพราะฉะนั้นผลลัพธ์สุดท้ายยังคงเป็นเรื่องยากที่จะตัดสิน

ซูเฉินยังคงศึกษาค้นคว้าคำสาปต่อไป

เขาไม่ได้ทำเช่นนี้เพียงเพื่อกู่ชิงลั่วเท่านั้น แต่ยังเพราะเป็นนิสัยชอบวิจัยของเขาด้วย

ด้วยเนตรมองโลกจุลภาคของชายหนุ่ม เขาค้นพบบางสิ่งบางอย่างที่คนปกติส่วนใหญ่ไม่สามารถค้นพบได้อย่างรวดเร็ว

ซูเฉินคลี่ยิ้ม “ในตอนนี้ข้าไม่สามารถถอนคำสาปเหล่านี้ได้ แต่ข้าอาจจะดึงมันออกมาได้”

“ดึงออกมา ?” กู่ชิงลั่วไม่เข้าใจ “เจ้ากำลังจะบอกว่า เจ้าสามารถควบคุมคำสาปทั้ง 3 นี้ได้อย่างงั้นหรือ ?”

ซูเฉินเขย่าขวดยาในมือเบา ๆ และตอบอย่างสงบ “บางทีอาจจะได้มากกว่านั้น…”

ดวงตาของกู่ชิงลั่วเป็นประกาย “ต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการศึกษาเรื่องนี้”

“ถ้ามีคนยอมจ่าย… ก็คงไม่นานนัก !”