บทที่ 844 เช่นกันเช่นกัน

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 844 เช่นกันเช่นกัน

จวินเซียวเซียวผลักชายคนนั้นออกไปและตะโกนสุดชีวิตว่า: “มือสังหาร จับตัวคมือสังหาร!”

ชายชุดดำหันหลังมองนางแล้วชักดาบมาไว้บนคอของนาง: “หุบปาก!”

จวินเซียวเซียวมองหน้าอีกฝ่ายแล้วน้ำตาก็ไหลรินลงมา

ชายชุดดำมองนางแค่ครู่หนึ่ง เห็นประจักษ์ชัดแล้วในขณะที่นางผลักเขาออกแล้วตะโกนว่ามือสังหารจึงเข้าใจความคิดของนางดังนั้นเขาจึงได้ร่วมมือวางดาบไว้บนคอของนางก็เพียงเพื่อแสดงละครฉากนี้กับนาง

เขาเพียงแค่ก้มหน้ามองลงมาที่เด็กแล้วมองไปโดยรอบ จากนั้นมองไปยังหนานกงเย่ที่เดินออกมาจากด้านหลังของผู้คน

หนานกงเย่เล่นป้ายคล้องเอวอยู่แล้วขว้างลงบนพื้นเลย: “เจ้าคือองครักษ์!”

เมื่อชายชุดดำเห็นว่าเรื่องราวถูกเปิดเผยก็ดึงหน้ากากออกแล้วเผยใบหน้าเยาว์วัยงดงามออกมา

ชายชุดดำหัวเราะเบาๆ: “ท่านไม่ปล่อยข้าไปข้าจะฆ่าเด็กคนนี้ซะ!”

หนานกงเย่เหลือบมองดูเด็กแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด

จวินเซียวเซียวตะโกนอย่างตื่นเต้นขึ้นมาในทันทีว่า: “อย่า อย่าทำร้ายองค์หญิง ช่วยองค์หญิงด้วย……”

หนานกงเย่มองชายชุดดำ: “ข้าสามารถปล่อยเจ้าไปได้ เจ้าวางเด็กลงและปล่อยพระสนมเอกเซียวซะ ข้าสามารถแสร้งทำเป็นว่าเจ้าไม่เคยมาเพียงแค่เจ้าวางใจ!”

สายตาอันล้ำลึกของชายชุดดำนั้นมองออกว่าหนานกงเย่ไม่ได้คิดที่จะปล่อยจวินเซียวเซียวไป เรื่องทั้งหมดในวันนี้ก็เพียงเพื่อล่อให้เขาปรากฏตัว กล่าวคือจวินเซียวเซียวทำให้เรื่องราวถูกเปิดเผยมาตั้งนานแล้ว ในวันนี้เป็นเพียงแค่การล่องูออกจากถ้ำจากนั้นก็จับเอาไว้ให้หมดในคราเดียว!

“ท่านพูดให้ชัดเจนหน่อย!” ชายชุดดำถามหนานกงเย่

หนานกงเย่กล่าวอย่างเฉยเมยว่า: “ฝ่าบาททรงสิ้นพระชนม์ได้อย่างไรพระสนมเอกเซียวรู้ดีอยู่แก่ใจ ที่ข้าไม่ตรวจสอบก็เพียงเพื่อรอวันนี้ คนของจงชินช่างเก่งกาจยิ่งนัก ด้านหนึ่งสนับสนุนหนานกงเซวียนเหอ อีกด้านหนึ่งก็ไม่วางใจจึงสนับสนุนอีกคนหนึ่ง เจ้าเป็นใครข้าพอคาดเดาได้แล้ว เพียงแต่ว่าเจ้าถูกความรักผูกติดเอาไว้จนกลายเป็นกบฏ แม้ว่าวันนี้ข้าจะไม่ฆ่าพวกเจ้าพวกเจ้าทั้งสามคนจากไปจงชินจะปล่อยพวกเจ้าไปหรือ?”

ชายชุดดำฟังจบแล้วก็หัวเราะออกมา เขาหลับตาลงมองไปยังเด็กหญิงตัวเล็กๆที่กำลังพูดอ้อแอ้ในอ้อมแขนแล้วยกมือขึ้นปกป้อง: “ข้าสามารถตายได้ท่านปล่อยพวกเขาแม่ลูกไป เป็นข้าที่กระทำเช่นนี้เป็นข้าที่บังคับพระสนมเอกเซียว”

“ข้ากำลังรอคำพูดนี้ของเจ้า ในฐานะบุรุษข้าภาคภูมิใจแทนเจ้าเจ้ากล้าที่จะรับมัน ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ข้าทำไม่ได้ จุดมุ่งหมายของข้าในวันนี้ก็คือจับกุมเจ้าและก็ยิ่งต้องกำจัดอากาศอันคละคลุ้งของสถานที่แห่งนี้ให้สะอาด”

หนานกงเย่ยกมือขึ้นนักธนูกว่าสองร้อยนายที่อยู่โดยรอบได้เตรียมพร้อมประจำที่แล้ว ชายหนุ่มหันกลับไปปกป้องจวินเซียวเซียวและขวางจวินเซียวเซียวแม่ลูกเอาไว้

จวินเซียวเซียวมองไปยังคนตรงหน้า: “หงเสี่ยว!”

“อย่าได้ดื้อดึงอีกเลย!”

ชายหนุ่มหลับตาและมีธนูอันแหลมคมหลายสิบดอกอยู่ตรงเบื้องหลังของเขา

จวินเซียวเซียวมองไปในอ้อมแขนของชายหนุ่ม เด็กสบายดีแต่นางไม่ต้องการเด็ก

จวินเซียวเซียวคว้าร่างของชายหนุ่มไว้แน่นแล้วซ่อนอยู่ด้านในไม่กล้าออกมา

หนานกงเย่โบกมือคนสองสามคนดึงชายหนุ่มออกไป จวินเซียวเซียวถอยหลังออกและเนื้อตัวสั่นเทาขึ้นมา: “ลูก องค์หญิง องค์หญิง……”

หนานกงเย่อุ้มเด็กออกจากอ้อมแขนของชายหนุ่มแล้วมองดูดวงตาซึ่งไม่ได้หลับลงไปของชายหนุ่ม: “วางใจเถอะ ข้าจะไม่ฆ่าลูกสาวของเจ้า”

หนานกงเย่มองจวินเซียวเซียวด้วยใบหน้าเย็นยะเยือก

“หญิงผู้นี้ปลอมตัวเป็นพระสนมเอกเซียว วางแผนสังหารองค์หญิง สังหารพระสนมเอกเซียว ฆ่านางซะ!”

“หนานกงเย่เจ้าว่าอะไรนะ?” จวินเซียวเซียวรู้สึกไม่เป็นธรรมจึงไล่ตามหนานกงเย่แต่ไม่ทันได้สัมผัสก็ถูกคนล่ามโซ่เอาไว้ จวินเซียวเซียวรู้ว่านางไม่มีทางรอดก็ดิ้นรนขึ้นมาซึ่งนางก็มีวิทยายุทธและวิทยายุทธของนางก็ไม่เบา

ต่อสู้กันขึ้นมาผู้คนรอบกายก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง หนานกงเย่อุ้มเด็กหญิงตัวเล็กๆไว้ในอ้อมแขนแล้วเงยหน้าขึ้นมองจวินเซียวเซียว: “ในเมื่อเจ้าไม่มีความรักต่อเด็กคนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ ข้าไร้ความอดทน ลงมือ”

จวินเซียวเซียวพยายามดิ้นดึงโซ่จนขาดแต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง ลูกธนูยิงมาพร้อมๆกันจวินเซียวเซียวก็ไม่สามารถหลบพ้นไปได้

นางเหลือบไปลูกธนูบนร่างกายและทั้งปากของนางนั้นเต็มไปด้วยเลือดแล้ว

หนานกงเย่มองไปยังผู้ที่ตายอยู่บนพื้นจากนั้นหันหลังเดินจากไป

จวินเซียวเซียวล้มลงบนพื้นด้วยดวงตาอันกลมโต

คนตายแล้วหนานกงเย่สั่งให้ลากศพของจวินเซียวเซียวและศพของชายหนุ่มแล้วจุดไฟเผาด้วยกัน

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังควันโขมงตรงตำหนักจิ่นซิ่วก็รู้ว่าจวินเซียวเซียวได้ตายไปแล้ว

แต่นางคิดว่าจวินเซียวเซียวยังมีลูกอยู่จึงไปรออยู่หน้าประตูตำหนักเฉาเฟิ่ง

เมื่อเห็นว่าหนานกงเย่อุ้มเด็กกลับมาฉีเฟยอวิ๋นก็ก้าวไปทันทีแล้วอุ้มเด็กมาจากอ้อมแขนของหนานกงเย่: “ส่งให้ข้า”

หนานกงเย่ส่งเด็กให้กับฉีเฟยอวิ๋นแล้วกล่าวว่า: “เด็กคนนี้อวิ๋นอวิ๋นมอบให้กับฮูหยินรองของจวนจวินและบอกให้นางดูแลเถอะ”

“เช่นนั้นองค์หญิง……”

“พระสนมเอกเซียวได้ถูกมือสังหารสังหารไปแล้วองค์หญิงก็ถูกสังหารไปด้วย” หนานกงเย่หันหลังเดินจากไปส่วนฉีเฟยอวิ๋นมองดูสาวน้อยผู้อ่อนโยนตัวชมพูในอ้อมแขนจากนั้นก็ตบเบาๆแล้วหันหลังออกจากวัง

ฮูหยินรองตะลึงเมื่อเห็นเด็ก แต่นางไม่ได้ถามสิ่งใดก็อุ้มเอาไว้แล้วตบเบาๆ: “เป็นเด็กที่น่ารักหน้าตาช่างน่าเอ็นดูนัก!

ตั้งชื่อแล้วหรือยัง?”

ฉีเฟยอวิ๋นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง: “ชื่อยังไม่มี ท่านคิดว่าตั้งชื่อว่าอะไรดี?”

“เด็กคนนี้ดูหลิงซิ่วซึ่งแปลว่าคล่องแคล่วงดงาม เรียกว่าหลิงซิ่วเถอะ”

“ฮูหยินรองเห็นสมควรเถอะ”

“อืม พระชายาเย่ยังมีเรื่องสำคัญต้องทำกลับไปก่อนเถอะ ข้าจะดูแลหลิงซิ่วเป็นอย่างดี” ฮูหยินรองรู้ว่าฉีเฟยอวิ๋นยุ่งก็คะยั้นคะยอให้นางจากไปเสียก่อน

ฉีเฟยอวิ๋นยังคงกังวลอยู่บ้างจึงได้กล่าวว่า: “เรื่องนี้อย่าได้พูดกับผู้อื่น

. ”

ฮูหยินรองชำเลืองมองออกไปนอกเรือน: “ลูกชายของคุณชายรองอาการไม่ดีออกไปยุ่งเกี่ยวนอกเรือนแล้วไปยั่วยุหญิงสาวคนหนึ่งเข้าแล้วก็ไม่ยอมแต่งงานผู้อื่น ใครจะรู้ว่าผู้อื่นได้ให้กำเนิดบุตรแล้วมาหาถึงที่จากนั้นเด็กก็ถูกโยนลงแม่น้ำไป”

“ฮูหยินรองเช่นนั้นข้าไปก่อนนะ”

“อืม”

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นแล้วจากไป ฮูหยินรองเรียกสะใภ้รองมา สะใภ้รองไหนเลยจะไม่เข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้นจึงเรียกลูกชายมาทันที ลูกชายรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญยิ่งนักใหญ่จึงไม่กล้าถามว่าเด็กมาจากที่ใดแต่ว่ารับภาระเรื่องนี้เอาไว้

ตระกูลจวินจัดการทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็กลับไปยังในวัง

ทั้งสองตำหนักยังต้องดูแลตามเดิม หลังจากการพิธีพระศพแล้วก็ต้องเตรียมเรื่องการขึ้นครองราชย์ของอ๋องตวน ตอนนี้ราชสำนักสั่นคลอนเมืองต้าเหลียงยังคงต้องการความมั่นคง

ในวังพระพันปีไม่ได้ทรงเสวยสิ่งใดมากนักซึ่งฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่วางใจ

เมื่อกลับไปถึงพระราชวังฉีเฟยอวิ๋นก็เห็นหนานกงเย่ยืนอยู่บนแท่นชมจันทร์กับอ๋องตวนและทั้งสองคนก็มองมาทางฉีเฟยอวิ๋น

ฉีเฟยอวิ๋นคิดถึงก่อนหน้านี้ว่าองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ก็ทรงยืนอยู่บนแท่นชมจันทร์ ที่จริงนางไม่เข้าใจว่ายืนอยู่ตรงนั้นดูสิ่งใด

แต่เมื่อคิดในตอนนี้แท่นชมจันทร์ชื่อว่าแท่นชมจันทร์ แต่ว่าแท้จริงแล้วเป็นสถานที่ที่สูงที่สุดในเมืองหลวงซึ่งสามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งเมืองหลวง

สำหรับฝ่าบาทแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะทรงเข้าออกวังหลวงตามพระทัย จึงทำได้เพียงแค่ยืนมองดูเท่านั้น

โลกนี้เป็นของพระองค์แต่ทำได้เพียงแค่มองดูเท่านั้น

ชั่วชีวิตของจักรพรรดินั้นแท้ที่จริงแล้วก็ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก

ฉีเฟยอวิ๋นลากชุดเข้าไปในวังจากนั้นดวงตาของหนานกงเย่ก็จ้องมองมายังนางอ๋องตวนรู้สึกร้อนรน: “เจ้าลองบอกซิว่าเหตุใดถึงมอบบัลลังก์นี้ให้ข้า ในด้านความสามารถและด้านการจัดการวางแผนเจ้าอยู่เหนือข้าทั้งสิ้น แม้ว่าจะสืบทอดราชบัลลังก็ควรเป็นเจ้า

ตอนนี้การสิ้นพระชนม์ของฝ่าบาทไม่เป็นที่ประจักษ์และข้ากลายเป็นสิ่งใด พระสนมเอกเซียวสิ้นพระชนม์ องค์หญิงสิ้นพระชนม์ ฮองเฮาก็สิ้นพระชนม์ รวมกันแล้วนั้นข้าต้องการแย่งชิงราชบัลลังก์หรือ? ”

อ๋องตวนโกรธจนทนไม่ไหว เหตุใดจึงกลายเป็นบัลลังก์ของเขาได้?

หนานกงเย่อาวรณ์ที่จะละสายตาจากร่างของฉีเฟยอวิ๋นจากนั้นก็หันไปมองอ๋องตวน: “พี่รองภายภาคหน้าเกรงว่าท่านจะไม่มีเวลาไปจวนอ๋องตวนได้แล้ว ท่านควรจะดูแลเมืองหลวงให้ดีเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ถูกขังอยู่ในกรงนี้ ถึงเวลาที่ไปที่ใดไม่ได้จะได้รู้สึกทรมานใจ!”

“ฮึ่ม ข้าไม่ใช่ฝ่าบาทอย่าได้หวังที่จะขังข้าเอาไว้ที่นี่ ข้าคิดเอาไว้แล้วหากว่าท้องแรกของฉวนเอ๋อร์เป็นลูกสาวจริงๆ ข้าก็จะนำตัวเจ้าห้ามาและให้เขาเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป”

หนานกงเย่หรี่ตาลงเล็กน้อย: “ท่านกล้าหรือ?”

“ฮึ่ม ข้าเป็นฝ่าบาทแล้ว เจ้าดูซิว่าข้าจะกล้าหรือไม่?”

“เช่นนั้นข้าจะคัดเลือกพระสนมสิบคนเข้าวังให้ท่านต่อปีดูซิว่าท่านจะทำเช่นไร?”

“งั้นข้าก็จะคัดเลือกพระสนมสิบคนเข้าวังให้เจ้าต่อปีดูซิว่าเจ้าจะทำอย่างไร สตรีเช่นพระชายาเย่จะไม่หั่นเจ้าให้เละหรือ? อ๋องตวนท่าทางได้ใจด้วยใบหน้าอันเย่อหยิ่ง

หนานกงเย่คิดที่จะเตะเข้าไป อาศัยช่วงเวลาที่อ๋องตวนยังไม่เป็นจักรพรรดิเตะซะให้ตายทว่าฉีเฟยอวิ๋นนั้นได้เดินเข้ามาซะแล้ว

“หากว่าอ๋องตวนทำเช่นนั้นงั้นก็เป็นศัตรูกับข้าอย่างเปิดเผย เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงแค่บอกบางอย่างกับพระชายาตวน ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ข้าเคยพบจงชินอ๋องด้านนอกซึ่งจงชินอ๋องยังคงคิดถึงพระชายาตวนไม่ลืมเลือน ได้ยินเขาบอกว่าระหว่างเขากับพระชายาตวนมีเรื่องเข้าใจผิดกัน”

อ๋องตวนมองไป เดืมทีสีหน้าอันภาคภูมิใจก็หมองลงในทันที จากนั้นก็ทั้งโกรธทั้งโมโห: “พวกเจ้าสามีภรรยาไม่ใช่สิ่งดี ข้ามีญาติดังเช่นพวกเจ้าได้เช่นไร!”

ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปตรงหน้าหนานกงเย่แล้วมองไปยังอ๋องตวน: “เช่นกันเช่นกัน!”