เยี่ยเม่ยไม่พูดจาไร้สาระ นำคนไล่สังหารพวกเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ ทหารต้ามั่วหลบหนีอย่างอนาถ ถึงแม้ว่าคนตายไม่มาก แต่ว่าทหารม้าหลายพันก็ล้มเป็นศพกองอยู่ที่พื้น
ทหารของเป่ยเฉินยามนี้ยิ่งมองเยี่ยเม่ยด้วยความนับถือ ไม่ว่าเรื่องความสามารถในการจัดการคนพวกนี้ หรือผลในการออกรบของนาง ล้วนทำให้คนยอมสยบ
เมื่อเห็นพวกเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่หนีกลับถึงค่ายทหาร หากไล่ตามต่อไปก็ไม่ได้ผลลัพธ์อันดีอีก เยี่ยเม่ยสั่งการฉับไว “ถอยทัพ นับจำนวนคนบาดเจ็บและตาย!”
“ขอรับ!” เซียวเยว่ชิงรับคำทันที
หลังจากนางเอ่ยจบก็หันหัวม้ากลับ กวาดตามองกูเยว่อู๋เหินถามเสียงนิ่ง “ไม่ทราบว่าท่านประมุขกูเยว่มาเพื่อการใด”
กูเยว่อู๋เหินมองทหารทั้งหมดในที่นี่ทีหนึ่ง ตอบเสียงเรียบว่า “จะให้เอ่ยที่นี่จริงหรือ”
เยี่ยเม่ยหันมองคนจำนวนมากในที่นี้ ตวัดสายตามองกูเยว่อู๋เหิน “ในเมื่อประมุขกูเยว่คิดว่าคุยกันส่วนตัวจะดีกว่า อย่างนั้นก็คุยกันส่วนตัว!”
เดิมทีนางคิดว่ากูเยว่อู๋เหินมีเรื่องสลักสำคัญ คิดไม่ถึงว่า ท่าทางของเขาดูไม่เหมือนมีเรื่องที่บอกคนไม่ได้
องค์ชายสี่เห็นการกระทำเช่นนี้ของพวกเขา พลันรู้สึกอารมณ์เสีย
น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ เอ่ยว่า “เยี่ยนคิดว่าในเมื่อประมุขกูเยว่มีเรื่องอันใด ก็พูดตรงๆ กับเยี่ยนได้ เยี่ยนจะเป็นตัวแทนเล่าให้ฮูหยินเอง พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องคุยกันเป็นการส่วนตัว!”
บอกว่าจะคุยกันส่วนตัวต่อหน้าเขา เขารู้สึกลึกๆ ว่าตัวเองกำลังถูกสวมหมวกเขียวแล้ว!
ที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคิดไม่ถึงก็คือ เขาเพิ่งเอ่ยจบ เยี่ยเม่ยกวาดสายตามองเขา เอ่ยเสียงเย็นว่า “ไม่ใช่เรื่องของท่าน อีกอย่างข้ายังมีบางเรื่องจะคุยกับท่านให้ชัดเจนคืนนี้ ส่วนเรื่องของข้ากับประมุขกูเยว่ ท่านไม่ต้องยุ่งเกี่ยว!”
ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องเด็ดขาดชัดเจน ทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเข้าใจว่าเรื่องที่เกี่ยวกับนาง นางไม่ต้อนรับให้เขามีส่วนร่วมอีกแล้ว
ยามเยี่ยเม่ยเอ่ยเช่นนี้ คนทั้งหมดก็รู้สึกถึงความผิดปกติ
ในฐานะที่อวี้เหว่ยเป็นที่ปรึกษาด้านความรัก ย่อมรู้สึกว่าปัญหานี้หนักมือมาก…จากท่าทางของแม่นางเยี่ยเม่ยเช่นนี้ เหมือนกับว่า…
อืม…เตี้ยนเซี่ยคงอกหักแล้วกระมัง
เป่ยเฉินอี้ก็เลิกคิ้ว ยามนี้ไม่เข้าใจท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงของเยี่ยเม่ย เมื่อใคร่ครวญดู สายตาประเมินกูเยว่อู๋เหินครู่หนึ่ง นัยน์ตาก็ทวีความล้ำลึกขึ้น
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ตะลึงไปแล้ว เขาคิดไม่ถึงว่าเยี่ยเม่ยจะเอ่ยกับเขาด้วยท่าทีเช่นนี้ ดวงตาทอแสงมารสีแดง เกิดโทสะขึ้นมา ขณะที่กำลังจะก้าวขึ้นหน้ามาจับสตรีนางนี้มาไว้ตรงหน้า ทำให้นางรับรู้ถึงความไม่พอใจของเขาในเวลานี้
อวี้เหว่ยกลับกระตุกชายเสื้อของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไว้ทัน…
ทำให้องค์ชายสี่ชะงักไปเล็กน้อย หันมองอวี้เหว่ย ผู้ติดตามหนุ่มส่ายหน้าให้เจ้านาย บ่งบอกว่าอย่าเพิ่งลงมืออย่าวู่วาม
ถึงเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเดือดดาล แต่เข้าใจชัดเจน เรื่องการรับมือกับสตรีตรงหน้า อวี้เหว่ยเหนือกว่าเขา อย่างไรเสียหลายปีที่ผ่านมาเขาทำเรื่องใดๆ ล้วนไม่ได้ต้องใส่ใจเรื่องความรู้สึกเลยสักนิด ดังนั้นเวลานี้อวี้เหว่ยแนะนำให้เขาไม่ขยับ สุดท้ายเขาก็ยังอดกลั้น
ทั้งไม่ยินยอมให้เกิดเรื่องเหมือนกาลก่อน เช่นบอกว่า แม่นางไม่น่ามองเท่าเขา หรือโยนงูไว้ในห้องนาง ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับความชื่นชอบจากเยี่ยเม่ย ซ้ำยังยั่วยุให้นางโกรธ
ดังนั้น
เขานิ่งไป มองเยี่ยเม่ยเอ่ยกับกูเยว่อู๋เหินด้วยความเกรงใจว่า “เชิญ!”
จากนั้นกูเยว่อู๋เหินก็ควบม้าตามเยี่ยเม่ยจากไป
เป่ยเฉินอี้และจิ่วหุนมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนโดยมิได้นัดหมาย คนหนึ่งสายตาทอประกายสนุกสนาน ส่วนอีกคนหนึ่งสายตาทอแววยินดี
คราวนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่อารมณ์ไม่ดีอยู่แต่เดิม ยิ่งอารมณ์เสียเข้าไปใหญ่
แต่ละคนแยกย้ายจากไป
เหลือเพียงเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองอวี้เหว่ย ในน้ำเสียงน่าฟังสะกดความโมโหเอาไว้ “พูดมา ทำไมต้องยั้งเยี่ยนไว้ด้วย!”
“เตี้ยนเซี่ย ท่านดูไม่ออกหรือว่าแม่นางเยี่ยเม่ยแปลกไป!” อวี้เหว่ยรีบเอ่ยความคิดทันที “คล้ายกับว่าจู่ๆ นางก็มีความแค้นล้ำลึกกับท่าน อีกทั้งดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องเล็กด้วย ตอนนี้ท่านยังไม่ทราบเรื่องกระจ่างก็ขัดความต้องการของนางโดยพลการ มีแต่ทำให้นางยิ่งโมโห”
นี่คือการวิเคราะห์ขั้นแรกของอวี้เหว่ย อีกทั้งเขายังคิดว่าสถานการณ์ยามนี้เป็นเช่นนี้จริงๆ ท่าทางของแม่นางเยี่ยเม่ยก็แปลกมาก หากเตี้ยนเซี่ยยังไม่ยอมถอย เรื่องจะเปลี่ยนไปจัดการได้ยากขึ้น
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า ค่อยๆ กล่าว “ไม่ผิด จุดนี้เยี่ยนก็มองออก! แต่เจ้าก็รู้ดี ยามนี้นางจากไปลำพังกับกูเยว่อู๋เหินแล้ว!”
จากไปโดยลำพัง!
จากไปโดยลำพัง!
จากไปโดยลำพังต่อหน้าต่อตาเขา!
จะทนได้อย่างไร ?!
อวี้เหว่ยเห็นท่าทางโมโหโทโสของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เขาเข้าใจดี ถ้าเขาไม่มีคำอธิบายที่เตี้ยนเซี่ยพอใจ เตี้ยนเซี่ยต้องถลกหนังเขาออกมาให้ได้แน่!
เขาเอ่ยตามความจริง “เตี้ยนเซี่ย หรือท่านมองไม่ออกว่า แม่นางเยี่ยเม่ยเกรงใจกูเยว่อู๋เหินเป็นอย่างมาก”
“เจ้าอยากพูดอะไร” ดวงตาร้ายกาจของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองมาที่เขา ภายในแฝงความโมโหอย่างชัดเจน
อวี้เหว่ยมุมปากกระตุก ยามนี้เข้าใจความหมายผิดแล้ว
เขากุมหน้าเอ่ยว่า “เตี้ยนเซี่ย ความหมายที่ข้าเอ่ยคือ แม่นางเยี่ยเม่ยไม่ได้ดีกับเขาเท่าไรนัก อีกอย่าง…ท่านไม่คิดว่าในทางกลับกันเรื่องนี้พิสูจน์ว่าพวกเขาไม่มีอะไรทั้งนั้นไม่ใช่หรือ หากพวกเขามีอะไรจริงๆ หรือว่า แม่นางเยี่ยเม่ยเตรียมคิดอะไรกับเขาจริงๆ ยังต้องเกรงใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
เฮ้อ ความจริงเขาก็เข้าใจได้ ในชีวิตยี่สิบกว่าปีของเตี้ยนเซี่ย แต่ไรมามีแต่ทรมานคนเป็นเรื่องสนุก ในยามที่เข้าใจด้านมืดของจิตใจคนอย่างถึงขีดสุด ขณะเดียวกันก็หมางเมินความสัมพันธ์การสื่อสารระหว่างคนไป ดังนั้นถึงเป็นเช่นนี้
กอปรกับคนในเหตุการณ์มิอาจมองชัดได้เท่ากับคนนอก ดังนั้นเตี้ยนเซี่ยจึงไม่อาจมองเรื่องได้ชัดเจนเท่าเขา
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว ก็ค่อยสงบลงได้ นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ค่อยๆ เอ่ยว่า “เจ้าเอ่ยไม่ผิด!”
เพียงแต่นางเป็นอะไร ไฉนจู่ๆ ถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้
“เตี้ยนเซี่ย ท่านอย่าเพิ่งร้อนรนไป แม่นางเยี่ยเม่ยบอกแล้วมิใช่หรือ คืนนี้จะคุยกับท่าน มีเรื่องอะไรยามนั้นท่านถามนางให้ชัดเจนก็ใช้ได้มิใช่หรืออย่างไร” อวี้เหว่ยคิดด้วยเหตุผล
ทั้งเขายังมองโลกในแง่ดีเอ่ยว่า “เฮ้อ สตรีก็เช่นนี้! ยามอยู่ด้วยกันดีๆ แล้วก็พลันแง่งอนขึ้นมา ท่านทำความเข้าใจสาเหตุให้ชัด ปลอบนางดีๆ ก็ไม่น่ามีเรื่องอะไร!”
เมื่อเขาเอ่ยออกมา คิ้วที่ขมวดแน่นของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับยังไม่คลายลง
เยี่ยเม่ยเป็นสตรีประเภทไหน เขาเข้าใจดี นางหาใช่คนที่ชอบอาละวาดโดยไร้เหตุผล นิยมเสแสร้ง รอให้บุรุษมาปลอบ ดังนั้นเขาคิดว่าปัญหาหาได้ง่ายดายเช่นนี้
แต่ยามนี้ นอกจากรอพูดคุยกับนางคืนนี้แล้วก็ไม่มีวิธีการอื่นอีก
อวี้เหว่ยเห็นสีหน้าเปลี่ยนไปยากคาดเดาได้ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ก็อดใจไม่ไหว ถามขึ้นว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านเป็นอะไรแล้ว”
“ไม่มีอะไร! รอก็รอเถอะ!”
พูดจบแล้ว เขายังอยากหัวเราะอยู่บ้าง ตั้งแต่เมื่อไรกันที่เขาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นฝ่ายถูกกระทำ สตรีนางนี้ยึดครองเอาความจริงใจเขาไปแล้ว กลับไม่สนใจเขาแบบนี้หรือ
[1] ถูกสวมเขา