เย่เทียนสุ่ยยิ้มให้หลิงหยุนก่อนจะพูดขึ้นว่า“เจ้าไม่ต้องมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น ในเมื่อข้าบอกเจ้าไปมากมายถึงเพียงนี้ ก็คงจะไม่จำเป็นต้องปกปิดเจ้าเรื่องนี้เช่นกัน..”
  “ถูกต้อง..ผู้ที่ลอบสังหารเฉินจิ้งเทียนก็คือเย่เทียนตู!”
  ‘ยอมรับง่ายๆเช่นนี้เลยงั้นรึ!’
  ก่อนที่หลิงหยุนจะถามคำถามนี้..เขายังคิดว่าเย่เทียนสุ่ยคงต้องปกปิด หรือไม่ก็คงจะเลี่ยงไม่ตอบคำถามข้อนี้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะยอมรับง่ายๆ และไม่คิดที่จะปกปิดเช่นนี้!
  เย่เทียนสุ่ยพูดต่อว่า“ความจริงแล้วในคืนนั้นต้องเป็นข้าที่จะบุกไปที่บ้านตระกูลเฉิน แต่ข้าไม่ต้องการที่จะเผชิญหน้ากับเจ้า จึงหาเหตุผลหลีกเลี่ยง ภารกิจนี้จึงต้องตกไปอยู่กับเย่เทียนตูแทน..”   หลิงหยุนถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ“ไม่ต้องการเผชิญหน้ากับข้างั้นรึ”
  เย่เทียนสุ่ยยิ้มพร้อมตอบกลับไปอย่างตรงไปตรงมา“ถูกต้อง! ครึ่งปีที่ผ่านมานั้น.. เจ้าไม่เคยพ่ายแพ้ให้แก่ผู้ใดเลย ไม่ว่าคู่ต่อสู้ของเจ้าจะเป็นใครก็ตาม เจ้าก็สามารถเอาชนะได้หมด เช่นนั้นแล้วข้ายังอยากจะไปเผชิญหน้ากับเจ้าอย่างนั้นรึ!”
  หลังจากที่ได้ฟังคำตอบของเย่เทียนสุ่ยหลิงหยุนจึงอดที่จะถามออกไปตามตรงไม่ได้ “แล้วพวกเราสองตระกูลไม่ใช่ศัตรูกันหรอกรึ!”
  “ไม่..พวกเราสองตระกูลต่างก็เป็นเพียงแค่คู่แข่งกันเท่านั้น!”
  เย่เทียนสุ่ยอธิบายต่อว่า..“ในความเห็นของข้า.. คู่แข่งกับศัตรูนั้นแตกต่างกัน!”
  “ฮ่า..ฮ่า.. ตระกูลเย่ของข้ากับตระกูลหลิงของเจ้านั้น เป็นเพียงแค่คู่แข่งเท่านั้น ยังห่างไกลคำว่าศัตรูมากนัก!”   “แต่การสังหารใครบางคนด้วยเรื่องส่วนตัวก็อาจนำไปสู่การต่อสู้ระดับตระกูลได้เช่นกัน..”
  เย่เทียนสุ่ยอธิบายต่อทันที“ดูอย่างตระกูลซัน.. หากไม่ใช่เพียงเพราะนำเรื่องส่วนตัวของเด็กหนุ่มเพลย์บอยคนหนึ่งมาเป็นเรื่องของตระกูล ตระกูลซันคงไม่ถูกเจ้าทำลายล้างจนสิ้นชื่อ และคงไม่ต้องมีจุดจบเช่นนี้!”
  “ส่วนตระกูลเฉิน..ข้ายิ่งไม่อยากจะพูดถึงนัก! ต้องโทษเฉินจิ้งเฉวียนกับเฉินจิ้งเทียนสองพี่น้อง พวกมันคิดว่าตนเองซุ่มเตรียมการมานานหลายปี และคิดว่าจะสามารถไต่ขึ้นมาเป็นตระกูลอันดับหนึ่งได้ในคราวเดียว..”
  “ต้องโทษที่ทั้งคู่ไม่มีสมอง..ต่อให้พวกมันสองตระกูลเตรียมการอีกสักยี่สิบปี ก็ไม่อยู่ในสายตาของตระกูลหลงกับตระกูลเย่!”
  หลิงหยุนได้แต่นิ่งฟังคำพูดของเย่เทียนสุ่ยที่พูดถึงตระกูลซันกับตระกูลเฉินราวกับตระกูลเล็กๆ แต่แล้วเย่เทียนสุยก็พูดขึ้นว่า
  “หลิงหยุน..ข้าว่าเวลานี้ประเทศจีนมีตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจ และแข็งแกร่งจริงๆ อยู่เพียงแค่สี่ตระกูลเท่านั้น ซึ่งก็คือตระกูลเย่ของข้า ตระกูลหลิงของเจ้า แล้วก็ตระกูลหลง และตระกูลฉิน!”
  “การแข่งขันระหว่างตระกูลกับความแค้นส่วนตัว ควรต้องแยกขาดจากกัน เจ้าก็ส่วนเจ้า ตระกูลก็ส่วนตระกูล ไม่ควรดึงทุกเรื่องให้กลายเป็นเรื่องระดับตระกูล ข้าหวังว่าเจ้าจะแยกแยะเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน!”
  “ปัญหาต่างๆก็เช่นกัน!ใช่ว่าการแก้ปัญหาจะต้องลงเอยด้วยการสังหารเข่นฆ่ากันทุกครั้งเสมอไป ยังมีวิธีอื่นที่ใช้แก้ปัญหาได้อีกมากมาย อย่างเช่นการนั่งพูดคุยเจรจากัน เหมือนอย่างที่เจ้ากับข้ากำลังทำอยู่ในตอนนี้ยังไงล่ะ!”
  หลิงหยุนฟังเย่เทียนสุ่ยพูดมานานในที่สุดก็อดที่จะพูดออกมาอย่างนึกขันไม่ได้ “นี่เจ้ากำลังเปิดหลักสูตรอบรมข้าอยู่งั้นรึ!”
  เย่เทียนสุ่ยนิ่งไปครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนพร้อมกับตอบไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นี่เจ้าไม่รู้สึกว่าข้ากำลังเจรจาอยู่กับเจ้าหรอกรึ”
  หลิงหยุนถึงกับหัวเราะออกมา“ฮ่า.. ฮ่า.. ข้าคงเข้าใจผิดไป!”
  แม้หลิงหยุนจะรู้ว่าผู้ที่ลงมือสังหารเฉินจิ้งเทียนคือเย่เทียนตูแต่เขาก็รู้สึกว่าตนเองกับเย่เทียนสุ่ยนั้นกลับมีความคิดเห็นที่ใกล้เคียงกันอย่างบังเอิญ
  เพราะหลิงหยุนเองก็คิดเสมอว่าการแข่งขันระหว่างตระกูลไม่จำเป็นต้องทำลายอีกฝ่าย ไม่เช่นนั้นเขาไม่ต้องไล่ทำลายทุกคนตระกูลในประเทศนี้หรอกหรือ และถึงแม้หลิงหยุนจะมีศักยภาพในการทำเช่นนั้น เขาเองก็ไม่ได้อยากทำ..
  “แล้วตระกูลเย่ของเจ้ามีทัศนคติต่อตระกูลหลิงของข้าเช่นใดงั้นรึ”
  หลิงหยุนเป็นฝ่ายถามเย่เทียนสุ่ยด้วยความอยากรู้อยากเห็น..
  เย่เทียนสุ่ยผายมือพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ไม่ได้มีทัศนคติใดๆต่อตระกูลหลิงทั้งนั้น ตระกูลหลิงจะผงาดขึ้นได้มากเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของตระกูลหลิงเอง!”
  หลิงหยุนถามย้ำอีกครั้งด้วยความสงสัย“ตระกูลเย่ไม่คิดที่จะยับยั้งหรอกรึ!”
  เย่เทียนสุ่ยยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า“ก็ถ้าน้าหญิงของข้าไม่เห็นด้วย.. ท่านลุงสองก็คงได้แต่ทำตาปริบๆ ฮ่า.. ฮ่า..”
  “น้าหญิงของเจ้างั้นรึ”
  “เย่ชิงซิน..ตอนนี้เจ้าอาจจะยังไม่รู้จักนาง แต่ต่อไปเจ้าจะได้พบกับนางแน่!”
  หลิงหยุนเพียงแค่พยักหน้าและครั้งนี้เขารู้สึกประทับใจในตัวเย่เทียนสุ่ยมากขึ้น เพราะไม่ว่าจะถามอะไร เย่เทียนสุ่ยก็บอกเขาตามตรงอย่างไม่อ้อมค้อม อีกทั้งยังบอกเล่าทุกเรื่องที่ตนเองรู้ออกมา เช่นนี้แล้วทั้งสองฝ่ายยังจะต้องต่อสู้กันอีกทำไมเล่า
  หลิงหยุนขมวดคิ้วพร้อมกับถามต่อว่า“เหตุใดเจ้าจึงยินดีเล่าเรื่องพวกนี้ให้ข้าฟัง!”
  เย่เทียนสุ่ยตอบกลับไปยิ้มๆ“ใช่ว่าข้าจะไม่อยากปกปิด แต่เรื่องพวกนี้ช้าเร็วเจ้าก็ต้องรู้อยู่ดี คืนนี้ข้าก็แค่ช่วยให้เจ้ารู้เร็วขึ้น จะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาไปสืบ..”
  “นับเป็นความคิดที่ไม่เลวเลย..”
  หลิงหยุนเอ่ยชมเย่เทียนสุ่ยออกมาและได้แต่คิดว่าเย่เทียนสุ่ยนับว่าเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลยิ่งนัก เขาไม่เหมือนผู้ใดที่หลิงหยุนเคยพบมาจริงๆ!
  หลิงหยุนนิ่งไปเล็กน้อยแล้วจึงพูดต่อว่า..
  “เย่เทียนสุ่ย..ข้าขอบใจเจ้ามาก แต่ก็มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องขอเตือนเจ้าไว้ตรงนี้!”
  “แม้ว่าหลังจากที่ได้พูดคุยกับเจ้าข้าจะรู้สึกว่าเจ้าไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แล้วก็เป็นคนดีคนหนึ่ง แต่..”
  “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าชอบพี่สาวของข้า– หลิงซิ่วงั้นรึ!”
  “เอ่อ..เรื่องนั้น..”   เย่เทียนสุ่ยคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะถามเรื่องนี้ขึ้นมาใบหน้าของเขาถึงกับแดงก่ำขึ้นมาทันที
  เย่เทียนสุ่ยคิดไม่ถึงว่าจู่ๆหลิงหยุนจพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เขาก็ถึงกับหน้าแดงขึ้นมาทันที..
  หลิงหยุนได้แต่ยิ้มและถามย้ำว่า“ว่ายังไง!”
  เย่เทียนสุ่ยรีบพยักหน้าและตอบกลับไปทันที “ใช่ๆ”
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เจ้าล้มเลิกความคิดได้เลย พี่หลิงซิ่วของข้าไม่ได้ชอบเจ้า เจ้าควรจะเลิกคิดเช่นนี้กับนาง!”
  เย่เทียนสุ่ยปฏิเสธทันทีพร้อมกับร้องตะโกนออกไปว่า “การชอบใครสักคนผิดตรงใหน ข้าก็แค่ชอบ แต่ไม่เคยทำอะไรเกินเลยนางเลย!”
  หลิงหยุนทำน้ำเสียงเหยียดหยันในขณะที่พูดขึ้นว่า“ไม่ทำอะไรเกินเลยงั้นรี”
  “ข้าจะบอกอะไรให้..ข้าได้สังหารหลิงห่าวสหายคนสนิทของเจ้าแล้ว!”
  เย่เทียนสุ่ยถึงกับผลุดลุกขึ้นยืนทันทีเขาจ้องมองหลิงหยุนอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วพูดขึ้นว่า “ข้าพอเข้าใจแล้ว.. ที่แท้เจ้าก็ฟังมาจากหลิงห่าวนี่เอง!”
  หลิงหยุนจ้องหน้าเย่เทียนสุ่ยพร้อมกับถามย้ำว่า“ถูกต้อง.. คราวนี้เจ้ายังกล้าพูดว่าไม่ได้ทำอะไรเกินเลยต่อพี่หลิงซิ่วของข้าอีกหรือไม่”
  เย่เทียนสุ่ยยืนก้มหน้านิ่งไปครู่ใหญ่ในที่สุดก็พูดขึ้นว่า “หลิงหยุน.. เมื่อครั้งที่หลิงห่าวมาขอยืนเงินข้าห้าร้อยล้านหยวนนั้น ข้าเองก็รู้ว่าเขาต้องการที่จะจัดการกับเจ้า..”
  “ความจริงแล้วข้าเองก็ไม่ได้ต้องการให้หลิงห่าวยืมเงินก้อนนนี้ข้าจึงได้ยื่นข้อเสนอที่คิดว่าเขาจะไม่ทางตกลง..”
  “เพราะข้ารู้ดีว่า..ไม่มีทางที่หลิงห่าวจะฆ่าเจ้าได้ และหากเรื่องนี้แดงขึ้นมา ปัญหาก็ต้องมาตกที่ข้าอยู่ดี”   เย่เทียนสุ่ยจ้องหน้าหลิงหยุนพร้อมกับอธิบายต่อว่า“แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลิงห่าวจะเสียสติถึงขั้นยอมรับข้อเสนอบ้าๆของข้า ข้าจึงต้องยอมให้หลิงห่าวยืมเงินก้อนนั้นไป..”
  ระหว่างที่พูดเย่เทียนสุ่ยก็เดินตรงไปในห้องนอนที่อยู่ในห้องทำงานจากนั้นจึงนำกระดาษสองสามแผ่นมายื่นให้กับหลิงหยุน
  หลิงหยุนพบว่าหนังสือฉบับนี้เขียนด้วยลายมือของหลิงห่าวจึงได้แต่ถามเย่เทียนสุ่ยกลับไปว่า “เจ้าหมายความเช่นใด!”
  เย่เทียนสุ่ยยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับตอบไปว่า“ในเมื่อหลิงห่าวก็ตายไปแล้ว ข้าเองก็ไม่ได้ต้องการเงินก้อนนั้นกลับคืน หนังสือฉบับนี้ก็ให้เป็นโมฆะไปก็แล้วกัน!”
  “เป็นโมฆะงั้นรึ!”
  หลิงหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะพูดขึ้นว่า..
  “เย่เทียนสุ่ย..เจ้าคิดว่าเป็นโมฆะแล้วเรื่องจะจบเพียงเท่านี้งั้นรึ!”
  ครั้งนี้เย่เทียนสุ่ยถึงกับหมดความอดทนและร้องตะโกนใส่หน้าหลิงหยุนด้วยความโมโห..
  “หลิงหยุน..เจ้ามาหาข้าก็เพื่อมาทวงเงินหนึ่งหมื่นห้าพันล้านหยวน ข้าก็มอบให้เจ้าโดยไม่ปริปากแม้แต่คำเดียว หลิงห่าวเอาเงินจากข้าไปห้าร้อยล้าน โดยเขียนหนังสือฉบับนี้ไว้ให้กับข้าด้วยลายมือของตัวเอง ข้าก็มอบให้เจ้าและขอให้ทุกอย่างเป็นโมฆะแล้ว ข้ายินยอมเจ้าถึงเพียงนี้ เจ้ายังจะต้องการอะไรกับข้าอีกงั้นรึ!”
  และครั้งนี้เย่เทียนสุ่ยดูเหมือนจะหมดความอดทนแล้วจริงๆหากหลิงหยุนยังต้องการที่จะบีบคั้นเขามากไปกว่านี้ เขาก็คงต้องจัดการกับหลิงหยุนเช่นกัน..
  เมื่อเห็นท่าทางที่หมดความอดทนของเย่เทียนสุ่ยหลิงหยุนก็ได้แต่นึกขัน แต่ก็แสร้งทำเป็นนิ่งเงียบ และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า..   “เจ้าต้องรับปากข้าว่า..นับจากนี้ไปเจ้าจะไม่ทำเรื่องที่ไม่เหมาะสมกับพี่หลิงซิ่วของข้าอีก!”
  “หึ..เจ้าฝันไปเถิด! ข้าขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าข้าจะไม่ยอมเลิกชื่นชอบหลิงซิ่วแน่!”
  เย่เทียนสุ่ยปฏิเสธเสียงแข็งและเวลานี้เขาก็เริ่มลงมือพับเสื้อข้างหนึ่งของตนเองขึ้น แต่จู่ๆ ก็ชะงักไป และหันไปถามหลิงหยุนว่า
  “เดี๋ยวนะ..เมื่อครู่เจ้าพูดว่าห้ามทำเรื่องที่ไม่เหมาะสม มันหมายความเช่นใดกัน!”
  หลิงหยุนจ้องหน้าเย่เทียนสุ่ยพร้อมกับพูดยิ้มๆ“ก็หมายความตามนั้น..”
  เย่เทียนสุ่ยถึงกับยิ้มออกมาทันทีพร้อมกับถามขึ้นว่า “การที่ข้าชื่นชอบหลิงซิ่วก็ไม่ได้ทำให้นางเสียหายอะไร ถ้าเช่นนั้น.. ข้าก็ยังชื่นชอบนางได้สินะ!”
  หลิงหยุนจ้องมองร่างอ้วนของเย่เทียสุ่ยด้วยสีหน้าเหยียดหยันแล้วจึงพูดขึ้นว่า “ดูรูปร่างของเจ้าสิ.. เจ้าอ้วนท้วนถึงเพียงนี้คิดว่าจะมีโอกาสงั้นรึ!”
  “เจ้าไม่ต้องมายุ่งเรื่องของข้า..!”
  เย่เทียนสุ่ยเข้าใจแล้วว่า..ตราบใดทีตนไม่ทำเรื่องเสียหายกับหลิงซิ่ว เขาก็ยังสามารถชื่นชอบนางได้ต่อไป หลิงหยุนเองก็จะไม่มาหาเรื่องกับเขาเช่นกัน!
  หลิงซิ่วนั้นติดอันดับสิบสาวงามแห่งปักกิ่งชายหนุ่มในปักกิ่งมากมาย ล้วนแล้วแต่อยากได้นางมาครอบครองทั้งนั้น แต่เท่าที่หลิงหยุนรู้มา แม้เย่เทียนสุ่ยจะชื่นชอบหลิงซิ่วมากเพียงใด แต่เขาก็ไม่เคยทำกิริยาที่ไม่เหมาะสมกับนางมาก่อน..
  หลังจากนั้นเย่เทียนสุ่ยก็หันไปยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ.. นับจากนี้ไประหว่างเจ้ากับข้า ให้ถือว่าไม่มีเรื่องบาดหมางใจต่อกันแล้ว!”
  หลิงหยุนนั้นเป็นผู้ที่ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใดหากเขาเผชิญหน้ากับคนที่ต้องการจะหาเรื่อง เขาจะเอาคืนกลับเป็นสิบเท่า และจะทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถเชิดหน้าได้อีกเลย..   แต่กับเย่เทียนสุ่ยนั้น..หลิงหยุนกลับไม่สามารถทำอะไรได้เลยแม้แต่น้อย เพราะเย่เทียนสุ่ยไม่เปิดโอกาสให้เขาได้สร้างปัญหาเลย ตั้งแต่ที่หลิงหยุนก้าวเท้าเข้ามาในบ่อน เย่เทียนสุ่ยก็เอาแต่เป็นฝ่ายยินยอม จนหลิงหยุนไม่สามารถหาเหตุผลที่จะมาหาเรื่องเขาได้เลย..
  แต่ก็นับว่าการมาในครั้งนี้ไม่เสียเปล่าเพราะนอกจากจะได้เงินพนันหนึ่งหมื่นห้าพันล้านหยวนกลับไปแล้ว เขายังไม่ต้องชดใช้เงินจำนวนห้าร้อยล้านหยวนที่หลิงห่าวยืมมาด้วย นับว่าเป็นการมาที่คุ้มค่ามากทีเดียว
  แต่การเจรจาจบลงด้วยดีเช่นนี้ต้องนับว่าส่วนหนึ่งมาจากความร่วมมือที่ดีของเย่เทียนสุ่ยด้วย หากเขาไม่ให้ความร่วมมือเช่นนี้ หลิงหยุนก็คงเลี่ยงที่จะประมือกับเย่เทียนสุ่ยไม่ได้ และเย่เทียนสุ่ยก็ไม่ได้แข็งแกร่งน้อยไปกว่าเขาเลย..
  สำหรับหลิงหยุนเวลานี้..เขาเองก็ยังดูไม่ออกว่าเย่เทียนสุ่ยจะเป็นศัตรู เป็นเพียงแค่คู่แข่ง หรืออาจเป็นสหายของเขากันแน่ เขาจึงต้องถอยกลับออกมาหนึ่งก้าว เพื่อมองทุกอย่างให้ชัดเจนกว่านี้เสียก่อน แล้วจึงค่อยก้าวต่อไป..
  “เจ้ารินชาได้เลย..”
  หลิงหยุนร้องบอกเย่เทียนสุ่ยที่นั่งอยู่ตรงข้าม..
  “หึ..นี่เจ้าคงติดใจรสชาดชาของข้าแล้วสินะ!”
  เย่เทียนสุ่ยพูดพร้อมกับโน้มตัวลงรินชาลงไปในถ้วยของหลิงหยุน..
  “น่าเสียดาย..ไม่มีเรื่องพวกนี้แล้ว วันหน้าข้าจะเหตุอะไรมาหาเรื่องเจ้าได้อีก!”
  หลิงหยุนจิบชาที่อีกฝ่ายรินให้พร้อมกับพึมพำออกมา..
  “เจ้านี่มัน..!”
  ร่างอ้วนๆของเย่เทียนสุ่ยกระพื่อมไปมาขณะที่ยกแขนขึ้นเช็ดเหงื่อพร้อมกับพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  “ข้าเองก็รู้อยู่แล้วว่าที่เจ้ามาคืนนี้ก็เพื่อมาหาเรื่องข้า!”
  “เจ้านี่ฉลาดไม่เบาทีเดียว!”หลิงหยุนเอ่ยชมจากใจจริง
  เย่เทียนสุ่ยทำสีหน้าขมขื่นพร้อมกับพูดขึ้นว่า“หลิงหยุน.. เจ้าว่าไม่ดีกว่ารึที่พวกเราสองคนสามารถนั่งจิบชา แล้วก็พูดคุยกันได้เช่นนี้”
  “แต่ข้าเองก็คิดไว้แล้วว่า..หากเจ้ายังยืนกรานจะหาเรื่องข้าให้ได้ ข้าก็จะหาคนมาช่วยจัดการกับเจ้าแทน!”
  หลิงหยุนถามขึ้นทันที“ใครรึ!”
  เย่เทียนสุ่ยยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับตอบไปว่า“เย่เทียนตู.. หลงเทียนซิง.. แล้วก็หลงเทียนฟาง.. เพียงแค่หนึ่งในคนใดคนหนึ่งเจ้าก็ยากที่จะรับมือได้แล้ว!”
  หลิงหยุนยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า“เย่เทียนสุ่ย.. เจ้าเองก็เป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวของข้า เหตุใดยังต้องเรียกผู้อื่นมาช่วยเล่า”   เย่เทียนสุ่ยหยิบซิการ์ตัวใหม่ออกมาจุดและหันไปตอบหลิงหยุนด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสบายอกสบายใจ
  “หลิงหยุน..หากเจ้าต้องการมีเรื่องกับข้า ก็รอให้ข้ากลั่นกระบี่สำเร็จก่อน จากนั้นพวกเราสองคนค่อยหาสถานที่ประมือกัน แบบนี้ไม่ดีกว่ารึ!”
  หลิงหยุนถึงกับกรอกตาไปมาพร้อมกับตอบไปว่า“หึ.. หากข้าปล่อยให้เจ้ากลั่นกระบี่สำเร็จ ข้าก็สู้เจ้าไม่ได้น่ะสิ! หากข้าอยากจะข่มเหงเจ้า ข้าก็ทำตอนนี้..”
  “ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า..”
  เย่เทียนสุ่ยถึงกับหัวเราะออกมาพร้อมกับยกนิ้วมืออ้วนๆนั้นชี้หน้าหลิงหยุน และพูดขึ้นว่า “ข้าคิดว่าคนอย่างเจ้าจะไม่รู้จักหวาดกลัวอะไรเสียอีก ที่แท้เจ้าก็กลัวเป็นด้วยรึนี่”
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า“แน่นอน.. ข้าถือคติว่าหากชนะก็สู้ แต่หากสู้ไม่ได้ก็หนี! เจ้าอย่าโง่..”   เย่เทียนสุ่ยทำสีหน้ากระอักกระอ่วนก่อนจะพูดขึ้นว่า“ที่เจ้าเป็นคนจัดการได้ยากเช่นนี้ ก็เพราะเจ้าเป็นคนไม่มีหลักการนี่เอง!”
  หลิงหยุนเองก็ตอบกลับยิ้มๆ“เจ้าเองก็เช่นกัน.. ข้ายอมรับว่าความสามารถในการแก้ปัญหาของเจ้าในคืนนี้ ช่างเหนือความคาดหมายของข้านัก ข้าให้คะแนนเจ้าเต็มสิบทีเดียว !”
  แล้วทั้งสองคนก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน…