ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 50 การเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้นบนโลก

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

การสอบใหญ่ใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว

ยังคงจัดขึ้นที่พระราชวังหลี

ผู้คนมากมายยืนอยู่นอกพระราชวัง

โต๊ะพนันได้ตั้งรอเอาไว้นานแล้ว นักเล่านิทานใช้ชาเหมาเจียนอย่างดีล้างปาก

อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดก็ยังมีบางแห่งที่แตกต่างออกไป ยกตัวอย่างเช่น สีหน้าแววตาของผู้ที่มาชมการสอบไม่ได้ตื่นเต้นหลงใหลดังเช่นปีกลาย หลายคนหาวหวอดๆ พวกนักท่องเที่ยวจากเมืองรอบนอกก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

สาเหตุก็เพราะการสอบใหญ่เมื่อปีกลายเป็นปีที่ยิ่งใหญ่มาก มีอัจฉริยะรุ่นเยาว์บนประกาศชิงอวิ๋นเข้าร่วมมากมาย เมื่อเทียบกับปีกลาย การสอบใหญ่ปีนี้มิได้มีอะไรโดดเด่น มีคนที่น่าสนใจเข้าร่วมเพียงไม่กี่คน คนที่ทุกคนคาดหวังอย่างสวีโหย่วหรง เมื่อกลายเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ความหวังที่ว่านางจะเข้าร่วมก็หมดไปด้วย

อันที่จริงแล้วในตอนนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่ชิวซานจวินหรือสวีโหย่วหรงจะเข้าร่วมการสอบใหญ่ พวกเขาไร้ความจำเป็นที่จะเข้าร่วมการสอบใหญ่เพื่อพิสูจน์ตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น คนที่มีค่าพอที่จะแข่งกับพวกเขาได้อย่างทัดเทียมอย่างเฉินฉางเซิงก็ได้ทำการสอบไปแล้วเมื่อปีกลาย

แน่ทีเดียว เฉินฉางเซิงยังคงมาที่พระราชวังหลี ทำให้เกิดเสียงโห่ร้องยินดีขึ้นในหมู่ผู้มาชม เป็นธรรมดาที่เสียงโห่ร้องเหล่านี้จะมีส่วนหนึ่งมาจากพวกนักวิจารณ์ที่ไม่เคยเกียจคร้านแม้แต่น้อยในช่วงสองสามวันมานี้

เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าสำนักเฉินจะเป็นทายาทราชวงศ์ แท้จริงแล้วเขาคือรัชทายาทเจาหมิงใช่หรือไม่ เอาเถิด ทฤษฎีพวกนี้ออกจะไกลเกินจริงไปหน่อย เช่นนั้นเอาเป็นเรื่องที่เขาตั้งใจจะกลับมาทำสัญญาหมั้นหมายขึ้นใหม่เป็นไร ข้าได้ยินมาว่าเขายืนอยู่นอกตำหนักเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ตลอดคืนราวกับคนโง่ นั่นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า คืนนั้นหิมะตกหนักไม่ใช่หรือ

……

……

ถังซานสือลิ่วกับซูม่ออวี๋นำศิษย์ใหม่สามคนที่อุตส่าห์กระเสือกกระสนผ่านการทดสอบก่อนการสอบใหญ่ได้มายังพื้นที่สอบของพระราชวังหลี

ส่วนเฉินฉางเซิงนั้นมีมุขนายกนำทางไปยังโถงตำหนักที่อยู่ลึกเข้าไปในพระราชวังหลี มิใช่เพราะเขาต้องการจะละทิ้งหน้าที่ของเจ้าสำนัก ทว่าอันที่จริงแล้วศิษย์ใหม่ของสำนักฝึกหลวงนั้นออกจะมีพื้นฐานอ่อนด้อยเกินไป ผ่านการทดสอบก่อนการสอบใหญ่ได้ก็นับว่าน่าประหลาดใจแล้ว แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะตั้งความหวังให้พวกเขาประสบความสำเร็จในการสอบใหญ่ เมื่อรวบกับการที่พระราชวังหลีเป็นเหมือนบ้านเกิดของสำนักฝึกหลวง เฉินฉางเซิงจึงไม่กังวลว่าจะเกิดเรื่องเช่นเมื่อปีกลาย

เขามีภารกิจที่สำคัญยิ่งกว่า

เมื่อเขามองเห็นน้ำที่ไหลจากกระบวยลงสู่ใบไม้ครามราวกับไม่มีวันหมด เขาก็คิดถึงคำถามที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

โลกใบไม้ครามก็เป็นเหมือนกับสวนโจว เมื่อไม่อาจเติบใหญ่ขึ้น แล้วไหนเลยต้องดูแลประคบประหงมย จะทำให้มันเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรงได้อย่างนั้นหรือ

ใต้เท้าสังฆราชวางกระบวยลงและคว้าผ้าเช็ดมืออ่อนนุ่มขึ้นมาเช็ดมือ เขาทำท่าทางบอกให้เฉินฉางเซิงนั่งลงและกล่าวว่า “มีกฎบางอย่างที่ออกจะล้าสมัยและต้องเปลี่ยน แต่เจ้าก็ต้องเข้าใจว่าหากไม่มีกฎ ก็ไม่อาจทำสิ่งใดสำเร็จได้ การใช้ชีวิตอยู่ใต้ท้องฟ้าพร่างดาวจะไม่มีความเคารพได้อย่างไรกัน สำหรับทุกคนที่ใช้ชีวิตแบบซูหลีนั้นปกติแล้วก็มีความสุขดี แต่อย่างลืมว่าถึงแม้กฎนั้นจะเป็นเหมือนโซ่ตรวนสำหรับยอดฝีมือ ทว่าสำหรับคนอ่อนแอแล้วคือเครื่องช่วยชีวิต เราต้องสนใจกับการเป็นไปของโลกมากกว่ามุมมองของตัวเราเอง”

ก่อนหน้านี้เฉินฉางเซิงยื่นเรื่องของมังกรดำกับผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์เข้ามา ในเรื่องที่สองนี้ใต้เท้าสังฆราชได้พูดอย่างชัดเจนแล้ว ทว่าเขายังไม่ได้พูดถึงเรื่องแรกเลยด้วยซ้ำ ทำให้ท่าทีของเขานั้นชัดเจนมาก

“อาจารย์อา ไม่ใช่เพราะมุมมองต่อโลกนี้ของท่านต่างไปจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์หรอกหรือ พวกเราจึงได้มีปัญหาอยู่ในตอนนี้”

“เจ้าจะเชื่อเช่นนั้นก็ได้”

“แต่…” เฉินฉางเซิงยังอยากจะลองสู้ต่ออีกสักหน่อย

ใต้เท้าสังฆราชยกมือขึ้นเป็นสื่อว่าไม่จำเป็นต้องพูดต่อ เขามองเฉินฉางเซิงและกล่าวว่า “ต่อให้เจ้าอยากจะถ่ายทอดมุมมองของเจ้าต่อโลกนี้ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำทั้งหมดในคราวเดียว”

เฉินฉางเซิงคิดถึงเงามืดที่ทอดยาวตรงหน้าพลางคิด ข้าถูกบังคับให้ต้องรีบ

“เมื่อเจ้าได้เป็นสังฆราช ก็สามารถทำในสิ่งที่เจ้าปรารถนา ถึงตอนนั้น เจ้าก็ไม่ต้องมาเพื่อขอร้องข้า”

“อาจารย์อา…”

“ได้ยินเช่นนี้แล้ว เจ้าไม่ควาดหวังอยู่ลึกๆ หรือว่าข้าน่าจะตายเร็วขึ้นสักหน่อยแบบเหมยลี่ซา” ใต้เท้าสังฆราชยิ้มและกล่าว

เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี

“วางใจเถอะ เจ้าไม่ต้องรอนานนักหรอก”

ใต้เท้าสังฆราชเดินไปยังกระถางและใช้ผ้าเช็ดหน้าบรรจงเช็ดหยดน้ำออกจากใบไม้คราม

ภายในโถงตำหนักที่เงียบสงบ เฉินฉางเซิงไม่ได้รับข่าวดีอันใดแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากเขาออกมา ก็ได้ยินข่าวดีที่ไม่คาดคิด การสอบใหญ่ได้บทสรุปอย่างเป็นทางการแล้วและความปีติยินดีก็มาจากการที่ศิษย์ของสำนักฝึกหลวงสองคนสามารถเข้าสู่สามขั้นแรกได้ ชูเหวินปินที่ย้ายมาจากสำนักเทียนเต้านั้นถึงกับได้อันดับที่สิบเจ็ดขั้นสอง

ค่ำคืนนั้น ภัตตาคารในตรอกไป่ฮวาจุดไฟสว่างไสวเพราะพวกอาจารย์และศิษย์จากสำนักฝึกหลวงต่างก็มาฉลองกันอย่างมีความสุข

ส่วนใครได้อันดับหนึ่งขั้นหนึ่งในการสอบใหญ่ปีนี้ นอกจากพวกที่ติดการพนันแล้วก็ไม่มีใครสนใจนัก

คนส่วนใหญ่ยังคงให้ความสนใจกับเรื่องการบรรจบกันของเหนือใต้มากกว่า ไม่นานหลังจากการสอบใหญ่จบลง ทั้งสองฝ่ายต่างก็สามารถสร้างผลลัพธ์ที่แทบจะสมบูรณ์แบบขึ้นมาได้จากการเจรจา ฤดูใบไม้ร่วงครั้งต่อไปจะมีการลงนามการบรรจบกันของเหนือใต้ และพรรคสำนักรวมถึงตระกูลชั้นสูงจากแดนใต้ที่มียอดฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วน จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรต้าโจว แม้ว่าในหลายแง่มุมจะเป็นเพียงแค่การควบรวมในนามเท่านั้น แต่ก็ยังเป็นความสำเร็จที่แม้แต่จักรพรรดิไท่จงยังไม่อาจทำได้ ทั่วทั้งต้าลู่สรรเสริญเกียรติภูมิของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไปพักหนึ่ง

ส่วนเรื่องคลื่นใต้น้ำที่หลายคนเป็นกังวลว่าจะปรากฏขึ้นนั้น ก็ถูกราชสำนักควบคุมเอาไว้อย่างเข้มงวด จำนวนนิ้วที่ถูกตัดและจำนวนผีที่เพิ่มเข้าไปในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งนั้นนับไม่ถ้วน โจวทงและพวกขุนนางที่ภักดีต่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ได้สร้างความดีความชอบอย่างมากมายมหาศาล

ส่วนเรื่องการบุกลงใต้ของเผ่ามารซึ่งน่าเป็นห่วงที่สุดนั้น ก็โชคดีอย่างมากที่ไม่สามารถทำได้สำเร็จ ว่ากันว่าในปีนี้ ทุ่งหิมะของแดนมารถูกพายุหิมะโถมกระหน่ำ ราชวงศ์เผ่ามารและตระกูลชั้นสูงในเมืองเสวี่ยเหล่าต่างก็ระดมความคิดเพื่อช่วยบรรเทาทุกข์ให้กับเผ่าของตนจนควบรวมเผ่าอื่น ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องบุกลงใต้

เช่นเดียวกับสามัญชนทั่วไป เฉินฉางเซิงก็ยินดีเป็นอย่างมาก เพราะนี่หมายความว่าโลกมนุษย์สามารถต้านทานพวกเผ่ามารได้ จะมีความเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น แข็งแกร่งขึ้น ทำลายได้ยากขึ้น อีกทั้งยังหมายความว่าสถานะของสวีโหย่วหรงจะเกินเอื้อมยิ่งขึ้น ในเวลาเดียวกันก็ว่ากันว่าคู่สามีภรรยาจักรพรรดิขาวจะมาร่วมงานร้องเพลง ดังนั้นลั่วลั่วก็อาจจะตามพวกเขามาด้วย ใช่หรือไม่

คณะทูตจากแดนใต้ก็ค่อยๆ เดินทางออกจากจิงตู กลุ่มของสถานศึกษาหนานซีเป็นกลุ่มสุดท้ายที่จากไป แต่พวกเขาก็ยังต้องจากไป

สำหรับสวีโหย่วหรง นครจิงตูคือบ้านเกิด แต่ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็คือสถานที่ซึ่งนางใช้เวลาหลายปีในการบำเพ็ญเพียร

สายลมและหิมะยังคงพัดอยู่บนสะพานหน่ายเหอ เกือบจะเหมือนกับวันที่พวกเขาได้พบกันในตอนนั้น

“พบกันอีกครั้งในการประชุมใหญ่จู่สือ”

“แล้วพบกัน”

บนสะพานที่ปกคลุมด้วยหิมะ เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงหวังแสดงความหวังดีต่อกันและกล่าวคำอำลา

เขาถือร่มกระดาษทอง มองดูนางค่อยๆ ลับตาไปในสายลมหิมะ เขาไม่ได้รู้สึกเศร้านักกับการต้องจากลาครั้งนี้

การประชุมใหญ่จู่สือจะมีขึ้นในหน้าร้อนที่จะถึงนี้ และพวกเขาก็จะได้พบกันใหม่ และก็ต้องมีสักวันหนึ่งที่เขาจะไปยังสถานศึกษาหนานซีอย่างเลี่ยงไม่ได้

ในทางกลับกัน ทัศนคติของเขากลับสงบและเยือกเย็นกว่าเดิม

ไม่เพียงแค่เรื่องของนางเท่านั้น แต่รวมถึงเรื่องของเขาเองด้วย

เขาเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นว่าจะสามารถต่อต้านสวรรค์และเปลี่ยนชะตา เชื่อว่าจะมีอายุเลยวัยยี่สิบปี จากนั้นก็ผ่านวัยสองร้อยปี แล้วก็ผ่านไปอีกปีแล้วปีเล่า

เพราะตอนนี้ เขาไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว เขาอยากจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับนาง

ในอดีต เขาแค่คิดว่าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ไม่เคยคิด ไม่เคยสัมผัสเลย ว่าการใช้ชีวิตนั้นช่างงดงามเพียงใด

แต่วันนั้นบนสะพานหน่ายเหอ เมื่อผ้าขาวร่วงลงและเขาได้เห็นดวงตาของนางคู่นั้น ก็เข้าใจได้ในที่สุด

นับจากวันนั้น เขาก็เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง เขายังคงสนใจเรื่องการมีชีวิตรอด ทว่าเขาต้องใช้ชีวิตให้มากขึ้น

หากมองอีกแง่หนึ่ง เฉินฉางเซิงในตอนนี้นั้นใช้ชีวิตอย่างมีชีวิตชีวามากขึ้น ไม่ได้มีท่าทางเป็นท่อนไม้เช่นในอดีตอีกต่อไป

การเปลี่ยนแปลงนี้ยังส่งผลต่อความพยายามที่จะมีชีวิตรอดอีกด้วย

เขายังคงอ่านตำรา ศึกษา บำเพ็ญเพียร แม้ว่าลูกปัดหินทั้งห้าบนข้อมือจะไม่แผ่ร่องรอยพลังปราณออกมา แต่มันก็มีประโยชน์เหนือล้ำกว่าผลึกแก้วล้ำค่ายิ่งนัก เขายังคงฝึกกระบี่ที่ซูหลีได้สอนเขา เช่นเดียวกับกระบี่ทั้งมวลบนโลกนี้ เขาไม่ลืมที่จะฝึกวิชาดาบร้อยแปดกระบวนท่านั้นด้วย

การบำเพ็ญเพียรของเขานั้นก้าวหน้าขึ้นอย่างมั่นคง ใกล้จะถึงจุดสูงสุดของขั้นทะลวงอเวจีเข้าไปทุกที ทุกคืนเขาจะชักนำแสงดาวและสะสมมันไว้ในเส้นลมปราณและจุดลมปราณทั่วร่าง รอจนถึงวันที่จะสามารถเปล่งแสงเจิดจ้าออกมาและอนาคตของเขาก็จะสดใสอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

เป็นเวลาเกือบสองปีแล้วที่เขามายังจิงตู

เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วนับจากวันที่เขาเข้าไปในหอหลิงเยียนและอ่านสมุดบันทึกของหวังจื่อเช่อ

เขายังมีเวลาอีกสามปี

หนึ่งปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยคิดเลยว่าจะท้าสวรรค์พลิกชะตาตามวิธีที่เขียนไว้ในบันทึกของหวังจื่อเช่อ แม้ว่าเขาจะเป็นที่รู้กันไปทั่วโลกว่าเป็นสังฆราชคนต่อไป  ทว่าตามหลักเหตุผลแล้ว นี่เป็นโอกาสอันดีที่สุด เป็นสถานการณ์ที่ดีที่สุด ที่จะทำให้โลกเต้นไปตามเขาและเปลี่ยนรูปลักษณ์ของทะเลแห่งดวงดาว

แต่เขาจะไม่ทำเช่นนั้น เพราะมันทำให้มีคนต้องตายมากมายเกินไป

เขาเชื่อว่าจะสามารถบรรลุขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ในเวลาสามปี เข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์และพยายามเชื่อมแต่เส้นลมปราณของเขา

นี่ฟังดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ เป็นภารกิจที่ไม่อาจทำสำเร็จ ทว่าเมื่อเขาได้เปลี่ยนจากนักพรตน้อยที่อ่อนต่อโลกจากชนบท มาเป็นสังฆราชคนต่อไป เป็นยอดฝีมือที่สามารถมองเห็นธรณีประตูของขั้นรวบรวมดวงดาวในเวลาเพียงสองปี แล้วเหตุใดเขาจะทำไม่ได้

คำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ นั้นไม่มีความหมายสำหรับเขา

เพราะเขาจะไม่มีทางคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้

……

……

เมื่อเฉินฉางเซิงก้าวหน้าต่อไป โลกก็ก้าวหน้าไปเช่นกัน

หลังจากยุคแห่งผู้มีพรสวรรค์ที่มีหวังผ้อ เซียวจาง สวินเหมยและเหลียงหวังซุน ก็มีผู้มีพรสวรรค์เกิดขึ้นมากมายตามมาสมกัน เรียกว่าเป็นยุคบุปผาบานสะพรั่ง

ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ หอความลับสวรรค์ก็ทำการปรับปรุงประกาศต่างๆ มากมาย

ในครั้งนี้ประกาศต่างๆ ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง

ประการแรกก็คือ อันดับร้อยศาสตราที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นเวลาหลายปีก็มีการเปลี่ยนแปลงในที่สุด

ทวนเกล็ดหิมาลัยเทวายังคงเป็นอันดับหนึ่ง

ดาบสองท่อนอยู่อันดับสอง

กระบี่ไม้หงส์น้อยเป็นอันดับสาม

กระบี่บังฟ้าที่ปรากฏขึ้นบนโลกอีกครั้งได้อันดับที่สี่!

ทุกคนรู้ว่านี่เป็นเพราะผู้ใช้กระบี่นี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง

เป็นเรื่องจริงที่ว่าอาวุธวิเศษจะแข็งแกร่งเพียงใด จะแสดงอานุภาพแท้จริงออกมาได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในมือของคนที่แข็งแกร่งเท่านั้น

เนื่องจากของวิเศษของนิกายหลวงหายไป ชื่อของมันจึงเปลี่ยนเป็นสีเทา เมื่อซ่อนคมได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งในโลกของผู้บำเพ็ญเพียร หมึกที่ใช้เขียนชื่อมันจึงกระจ่างชัดอย่างผิดปกติ กระบี่ไร้ราคีอยู่อันดับที่เก้าสิบห้า เหนือกว่าเกราะเทพลิ่วอวี้แต่ก็ยังอยู่ต่ำกว่าอันดับที่หกสิบเก้ากระบี่เกล็ดมังกรอยู่มาก บางทีอาจเป็นเพราะเหตุผลเดียวกับกระบี่บังฟ้า

อาวุธยุทโธปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ในอันดับร้อยศาสตรานั้นย่อมเป็นที่สนใจของผู้คน แต่ที่ผู้คนสนใจจริงๆ แล้วก็ยังคงเป็นตัวบุคคลเอง

ประกาศเซียวเหยา ประกาศเตี่ยนจิน และประกาศชิงอวิ๋น ทั้งสามนี้ก็มีการปรับปรุงเช่นกัน

……