บทที่ 879 ผู้อาวุโสฝ่ายขวาสองคน!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

แผนนี้ดูเหมือนง่ายแต่หลักๆ แล้วเป็นการโจมตีเชิงจิตวิทยาเสียมากกว่า สุดท้ายแล้ว…หวังเป่าเล่อ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ และคนอื่นๆ ดูเหมือนจะติดกับ ยิ่งไปกว่านั้น หวังเป่าเล่อยังนำกลุ่มผู้ฝึกตนมาที่นี่ด้วยตนเอง ทำให้แผนยิ่งดำเนินไปอย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้น

แต่เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหล เหออวิ๋นจื่อจึงใช้มาตรการที่เข้มงวด เขาไม่ได้บอกใครจากราชวงศ์เลยและเตรียมพร้อมจะสังเวยชีวิตของคนเหล่านั้น แม้กระทั่งองค์ชายอีกสองคนก็ไม่ล่วงรู้ ทำให้แผนการดักจับหวังเป่าเล่อสำเร็จลงได้

ขณะที่ความคิดเหล่านั้นแล่นไปมาในศีรษะของเหออวิ๋นจื่อ แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดออกมา แต่ความคาดหวังและโลภโมโทสันในแววตาก็ทำให้หวังเป่าเล่อพอจะคาดเดาความจริงที่สั่นคลอนจิตวิญญาณของตนได้บ้าง

การสังหารข้าสำคัญกว่าการเปิดประตูเคลื่อนย้ายเพื่อให้กองทัพระลอกสองลงมาอีกหรือ ไม่เห็นมีเหตุผลเลย…นอกจากว่า… ประกายในตาหวังเป่าเล่อฉายชัดขึ้น ขณะที่ความคิดจำนวนมหาศาลไหลผ่านใจเขา

พวกมันสร้างกับดักนี้เพื่อข้าเชียวหรือ…หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก เขาพยายามเปิดกระเป๋าคลังเก็บ แต่ก็เพิ่งมาสังเกตว่าไม่สามารถเปิดกระเป๋าคลังเก็บได้ในอาณาเขตที่คล้ายถูกผนึกนี้

สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อยิ่งสิ้นหวัง ก่อนจะรีบจัดลำดับความคิดอย่างรวดเร็ว สุดท้ายแล้ว ชายหนุ่มก็ได้ความคิดสองประการ

เหตุผลแรก…อาจเป็นเพราะว่าพวกมันคาดเดาไว้ก่อน และเตรียมตัวไว้พร้อมเพื่อให้ภารกิจของข้าล้มเหลว เพื่อหยุดไม่ให้ข้าไปทำลายแผนของพวกมัน ด้วยวิธีนี้ ข้าก็จะไม่สามารถขัดขวางการเคลื่อนย้ายครั้งที่สองได้!

อีกเหตุผลหนึ่ง…อาจเป็นได้ว่าการมีอยู่ของข้ามีผลต่อการเปิดใช้การเคลื่อนย้ายครั้งที่สอง พวกมันจึงต้องสังหารข้าเสียก่อนเพื่อจะเปิดการเคลื่อนย้าย เหตุผลแรกไม่ค่อยมีความหมายเท่าใดนัก แต่หากเป็นเหตุผลที่สองแล้วล่ะก็…

สีหน้าของชายหนุ่มเหยเก ไม่ว่าเขาจะตอบสนองเร็วเพียงใด ก็ยังขาดชิ้นส่วนสำคัญของข้อมูลจึงไม่มีทางรู้ความจริงได้ แต่ความจริงที่ว่าเขาสามารถวิเคราะห์ทั้งหมดนี้ได้จากสีหน้าของเหออวิ๋นจื่อเพียงอย่างเดียว ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการใช้ความคิดของหวังเป่าเล่อได้เป็นอย่างดี

ส่วนที่ว่าข้อไหนจะถูกต้องนั้น มันไม่สำคัญสำหรับหวังเป่าเล่ออีกต่อไป ขณะนี้ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับชายหนุ่มก็คือการทะลุผ่านผนึกและหนีออกไปให้เร็วที่สุด

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงขณะที่ร่างอวตารทั้งสี่ที่เขาสร้างขึ้นกลับมารวมเข้ากับร่างเขาอีกครั้ง ขณะที่เปลวเพลิงดารานิรันดร์ในกายเขาโบกไหวอยู่ไปมา ชายหนุ่มก็พยายามดึงฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ออกมาแต่ก็ไม่สามารถทำได้ ตอนนั้นเอง สัมผัสอันตรายที่ปรากฏขึ้นปุบปับก็ทำให้สีหน้าของหวังเป่าเล่อแปรเปลี่ยนไป ชายหนุ่มหันศีรษะกลับมาอย่างรุนแรง และมองเห็นร่างเงาเลือนรางที่ดูเหมือนกำลังก้าวออกมาจากความว่างเปล่าด้านหลังผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์

และเมื่อเห็นร่างเงานั้นชัดเจนขึ้น สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็พลันแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง

“เจ้า…”

“เจอกันอีกจนได้นะ ไอ้เด็กตัวแสบ!” ทันทีที่สีหน้าของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไป ร่างเลือนรางนั้นก็ก่อตัวชัดเจนขึ้นก่อนจะก้าวออกมาจากความว่างเปล่า คนผู้นั้นมีผมยาวประบ่าและสวมเสื้อคลุมยาวสีรุ้ง เขาดูเหมือนจะอยู่ในวัยกลางคน แต่สัมผัสแก่ชราจากกายก็ทำให้รู้สึกว่าชายผู้นี้ค่อนข้างมีอายุแล้ว

โดยเฉพาะเมื่อพลังปราณระดับดาวพระเคราะห์ของเขาระเบิดออกมาจนทำให้สิ่งรอบข้างสั่นสะท้าน แม้สถานที่นี้จะถือว่าอยู่ภายในขอบเขตของดารานิรันดร์แล้ว ระดับปราณของชายผู้นั้นก็ยังทำให้เกิดแรงกดดันเป็นบริเวณกว้าง

เขาก็คือ…คนที่ต่อสู้กับหวังเป่าเล่ออยู่ครู่หนึ่งที่สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ และเป็นผู้ที่วิ่งหนีไปเพราะกลัวเรือบินรบเวทระเบิดของชายหนุ่ม…ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง

การปรากฏตัวขึ้นของผู้อาวุโสฝ่ายขวาคงไม่ทำให้สีหน้าของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนแปลงไปมากนัก แต่…ร่างอวตารที่เขาทิ้งเอาไว้ในสนามรบนอกดารานิรันดร์ ตรงจุดที่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำกำลังพัวพันกับสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ สามารถเห็นสนามรบหลักได้อย่างชัดเจน และที่สนามรบหลักนั้น ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ที่อยู่เคียงข้างประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ และกำลังรับมือปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่อยู่ก็คือผู้อาวุโสฝ่ายขวาเช่นกัน!

หากเป็นเช่นนั้น บุคคลที่อยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อตอนนี้ก็อยู่สองที่ในเวลาเดียวกัน!

สิ่งนี้เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้วิญญาณของชายหนุ่มสั่นสะท้าน แถมยังทำให้หวังเป่าเล่อนึกขึ้นมาได้ว่าเหตุผลที่สองของเขาอาจเป็นคำตอบที่ถูกต้อง!

พวกมันสร้างกับดักนี้ขึ้น และทั้งผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวาก็ปรากฏตัว ต้องไม่ใช่เพียงเพื่อตัดกำลังข้าเป็นแน่ เป็นอย่างที่เหออวิ๋นจื่อพูดจริงๆ พวกมันต้องการสังหารข้าที่นี่ และคำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้ก็คือ…หากพวกมันไม่ฆ่าข้า การเคลื่อนย้ายของดารานิรันดร์ก็จะใช้งานไม่ได้!

ขณะที่คลื่นความตื่นรู้กระแทกเข้ามาในใจของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มก็นึกถึงความตื่นเต้นในการควบคุมดวงเนตรดารานิรันดร์ที่เขารู้สึกก่อนหน้านี้ หลังจากที่วิเคราะห์อย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มก็ได้คำตอบที่แท้จริงขึ้นมารางๆ

เมื่อคำตอบนั้นปรากฏขึ้นในใจ เขาก็ไม่ได้ซ่อนความเปลี่ยนแปลงในสีหน้าขณะพูดออกมาอย่างรวดเร็วแต่อย่างใด

“ผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็มาเหมือนกันหรือ…ดูท่าจะอยากได้อำนาจควบคุมของข้ากันมากสินะ แต่สิ่งที่ข้าสนใจยิ่งกว่าก็คือ ถ้าผู้อาวุโสฝ่ายขวาอยู่ที่นี่ แล้วคนที่ต่อสู้กับสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำอยู่เป็นใครกันเล่า สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มีผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สี่คนเลยหรือ” ขณะที่หวังเป่าเล่อพูดไป ดวงจิตเทพของเขาก็ไปติดอยู่กับทั้งสาม เพื่อตรวจหาความเปลี่ยนแปลงในสีหน้าของคนเหล่านั้น

ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายหรี่ตา เหออวิ๋นจื่อเองก็เช่นกัน แต่ก็มีรอยยิ้มเยาะปรากฏขึ้นแทนที่อย่างรวดเร็วราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดแม้แต่น้อย จากนั้น เหออวิ๋นจื่อก็ประสานมือไปทางผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา

“ข้าจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกท่าน ข้าจะไปเตรียมตัวก่อน เมื่อเจ้านี่ตายแล้ว ข้าจะเปิดประตูเคลื่อนย้ายดารานิรันดร์และรอต้อนรับกองทัพอารยธรรมครามทองคำ” เมื่อเขาพูดจบ เหออวิ๋นจื่อก็จางหายไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองหวังเป่าเล่อ เห็นได้ชัดว่า กายหลักของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ มีเพียงกายมายาเท่านั้นที่มาปรากฏ

เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินคำพูดและเห็นการกระทำของอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็รู้สึกราวกับโดนฟ้าผ่าลงกลางใจ ทำให้ความจริงที่หวังเป่าเล่อคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้แจ่มชัดขึ้นมา

ที่ข้าเดาไว้ก่อนหน้านี้ว่าข้าได้รับอำนาจควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ผ่านทางสายเลือดนั้นถูกต้องแล้ว และการที่เหออวิ๋นจื่อสามารถเปิดประตูเคลื่อนย้ายได้ครั้งแรกก็แปลว่าเขาเองเคยมีอำนาจควบคุมเช่นเดียวกับข้าในระยะเวลาหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาต้องการจะฆ่าข้า…มันแปลว่าเขาไม่ได้มีอำนาจควบคุมอยู่แล้ว หรือไม่ก็เป็นเพราะอำนาจควบคุมของเรานั้นขัดแย้งกัน!

เขาจะชิงเอาอำนาจควบคุมไปได้หลังจากสังหารข้าอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงและพยายามควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ แต่ความพยายามของชายหนุ่มก็ไม่เป็นผล

ฝ่ายผู้อาวุโสฝ่ายขวา เมื่อได้ยินคำพูดของเหออวิ๋นจื่อก็พยักหน้า ก่อนจะหันมามองหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าขบขัน

“ทันทีที่เจ้าจะตาย ข้าจะบอกให้ก็ได้ว่าอีกคนที่อยู่ข้างนอกนั่นเป็นใคร!” เมื่อพูดจบ ผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็ยกมือซ้ายกดอกตนเอง ในเวลาเดียวกันผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายข้างกายเขาก็ปลดปล่อยพลังปราณออกมาพร้อมกัน

ทันใดนั้น เสียงครืนสนั่นที่สั่นคลอนสวรรค์ก็ดังขึ้นเมื่อชั้นผนึกป้องกันที่หวังเป่าเล่อมองไม่เห็นก่อนหน้านี้เริ่มปรากฏขึ้น มันเป็นเหมือนฟองอากาศที่สะท้อนแสงสีรุ้งออกมา!

หวังเป่าเล่อ…ติดอยู่ในฟองอากาศนั้น และขณะที่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาโจมตีพร้อมกัน ฟองอากาศก็เริ่มหดตัวก่อนจะแปรสภาพ ขณะที่มันหดตัวลงนั้น แรงกดดันขนาดมหาศาลก็ระเบิดออกมากดหวังเป่าเล่อไว้จากทุกทิศทุกทาง

แรงกดดันนั้นรุนแรงยิ่งกว่าพลังของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ชั้นต้นเสียอีก แทบจะเทียบได้กับระดับดาวพระเคราะห์ชั้นกลาง เห็นได้ชัดว่า ฟองอากาศสีรุ้งเป็นวงแหวนปราณหรือไม่ก็สมบัติเวทที่มีราคาแพงระยับ อาจจะนับได้ว่าเป็นไพ่ตายของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ และพวกเขาคงไม่ใช้มันหากไม่จำเป็นจริงๆ

และบัดนี้…เพื่อจะสังหารหวังเป่าเล่อ ผู้อาวุโสทั้งสองก็ควบคุมมันพร้อมกันก่อนจะปลดปล่อยพลังของมันออกมา

แน่นอนว่า…ในสายตาของพวกเขาแล้ว แม้หวังเป่าเล่อจะไม่ใช่ระดับดาวพระเคราะห์ แต่ก็แสบสันกว่าระดับดาวพระเคราะห์มาก เรือบินรบเวทนับพันลำและฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ก็เพียงพอที่จะทำให้ศัตรูต้องหันมารับมือเขาอย่างจริงจังแล้ว ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ตามการคำนวณของพวกเขา หวังเป่าเล่อต้องว่องไวเป็นอันมากเช่นนั้น แน่นอนว่า พวกเขารู้เรื่องที่ชายหนุ่มสามารถแปรสภาพร่างกายได้ด้วย

ฉะนั้น เพื่อไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น และเพื่อไม่เปิดโอกาสให้หวังเป่าเล่อได้หนี พวกเขาจึงย้ายสถานที่ต่อสู้มาอยู่ในขอบเขตของดารานิรันดร์ ในเวลาเดียวกัน เพราะเหตุผลต่างๆ เหล่านั้น ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็เลือกที่จะไม่สนใจผลกระทบ และใช้สมบัติเวทที่ทั้งสำนักต้องทุ่มทั้งเวลาและเครื่องเซ่นสังเวยเพื่อสร้างขึ้นมา มีเพียงวิธีนี้ที่ทำให้เขามั่นใจว่ากับดักจะทำงานได้อย่างราบรื่น!

และฟองอากาศสีรุ้งนี้ก็แข็งแกร่งยิ่งนัก ขณะที่มันหมุนวนไป ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็เริ่มสั่นคลอนอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่อัดเข้ามาใส่ร่างของเขาจากทุกด้าน