ตอนที่ 1231 ความหวัง โดย Ink Stone_Fantasy
“เหตุผลนั้นง่ายมาก” เอดิธส์ชิงอธิบายต่อโดยไม่รอให้คนอื่นถาม “เคจเมาเธ่นนั้นเป็นเทือกเขาแนวยาวที่แยกตัวมาจากเทือกเขาสิ้นวิธี แล้วก็เป็นจุดที่สูงที่สุดของชายแดนอาณาจักรดอว์นด้วย แนวคิดนี้คล้ายๆ กับแนวคิดแนวป้องกันเขาสิ้นวิถีในตอนแรก ด้วยความในเปรียบของภูมิประเทศ กองพันปืนใหญ่ของกองทัพที่หนึ่งจะมีขอบเขตการยิงที่กว้างมาก ความสามารถในการเคลื่อนไหวของศัตรูจะถูกจำกัดเอาไว้ เพราะว่าจำนวนของอสูรสยองที่บินได้นั้นมีจำนวนที่น้อยกว่าปีศาจคลุ่มคลั่งมาก”
“อันดับต่อไปจากข้อมูลที่ทางทาคิลาแจ้งมา หมอกแดงนั้นจะตกไปรวมตัวกันอยู่ในที่ต่ำได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งอยู่ตรงชายขอบหมอกแดงก็จะยิ่งเบาบาง ด้วยเหตุนี้การสร้างแนวป้องกันเอาไว้บนที่สูงจึงเป็นประโยชน์ต่อแม่มด จากรายงานที่ได้รับมาจากแนวหน้า ตอนนี้พวกเขาได้เตรียมตัวพร้อมสำหรับเรื่องนี้แล้ว”
“สุดท้ายก็คือแผนการเรเดียชั่นของฝ่าบาท” เมื่อพูดถึงตรงนี้เธอก็มองไปรอบๆ “พวกเราต่างรู้ดีว่าแผนการนี้ต้องพึ่งพาแร่ที่เอามาจากภูเขาเคจเมาเธ่น ในตอนที่ยังไม่สามารถหาแร่อื่นมาทดแทนมันได้ เคจเมาเธ่นจึงเป็นพื้นที่ที่พวกเราไม่อาจปล่อยทิ้งไปได้”
ภายในที่ประชุมไม่มีใครแสดงความสงสัยออกมา
เห็นๆ อยู่ว่าพวกเขาไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนว่าผลิตภัณฑ์สุดท้ายของแผนการเรเดียชั่นมันหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วก็ยากจะจินตนาการได้ด้วยว่าเจ้าลูกกลมๆ ที่เล็กจนมองไม่เห็นเหล่านั้นมันมีพลังมากมายแค่ไหนกันแน่ แต่แค่เพียงคำพูดประโยคเดียวของโรแลนด์ พวกเขาก็มองมันเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการศึกในอนาคตเสียแล้ว ความรู้สึกแบบนี้ทำให้โรแลนด์รู้สึกพึงพอใจอย่างมาก
นี่น่าจะเป็นความพึงพอใจสูงสุดในอาชีพวิศกรของเขาแล้วล่ะ
“แต่พวกเราก็ไม่อาจทิ้งอีเทอร์นอลวินเทอร์กับวูล์ฟฮาร์ทไปได้” เขามองไปทางเอดิธส์ “เพราะถ้าอยากจะเอาชนะสงคราม เกรย์คาสเซิลก็จำเป็นต้องมีประชากรจำนวนมาก”
“เพคะฝ่าบาท ดังนั้นในช่วงเวลาที่หมอกแดงปรากฏขึ้นมาจนกระทั่งกระจายตัวไปเรียบร้อย ภารกิจสำคัญของกองทัพที่หนึ่งก็คือการเคลื่อนย้ายประชากร แล้วก็พยายามทำให้ศัตรูบุกเข้ามาให้ช้าลง หม่อมฉันคิดว่าปีศาจน่าจะไม่นั่งดูหมอกแดงค่อยๆ สลายไปต่อหน้าต่อตาแน่ พวกมันน่าจะพยายามชิงสร้างหอสังเกตการณ์ขึ้นมาเหมือนกับเมื่อ 400 ปีก่อน”
ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือชะงักไปเล็กน้อย “ทูลตามตรงเพคะ การที่จู่ๆ พระจันทร์สีแดงก็ปรากฏขึ้นมานั้นเรียกได้ว่าเป็นการช่วยเหลือกองทัพที่หนึ่ง เมื่อไรที่ได้เห็นศัตรูต่างเผ่าพันธุ์ คนของอีเทอร์ทอลวินเทอร์กับวูล์ฟฮาร์ทก็จะรู้เองว่าควรจะอยู่ฝั่งไหน เมื่อถึงตอนนั้นเกรงว่าจะกลายเป็นฝ่ายพวกเขาเองที่ร้องขอจะอพยพมาที่เกรย์คาสเซิลเพคะ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ มุมปากของเธอก็ยกขึ้นมา เผยให้เห็นรอยยิ้มที่แฝงเอาไว้ด้วยความหมายอย่างอื่น
ต่อให้ต้องมีคนตายไปเป็นจำนวนมากก็ตาม
โรแลนด์แอบถอนใจ
ในเวลานี้เขาเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเอดิธส์ถึงมีความสุข มันก็คล้ายๆ กับข่าวที่เขาเคยเห็นในสมัยที่อยู่ในโลกก่อนที่บอกว่ามีชาวบ้านคัดค้านการสร้างเสาสัญญาณโทรศัพท์แม้จะต้องสูญเสียสัญญาณโทรศัพท์ไปก็ตาม แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสงครามแห่งชะตาชีวิตนี้ เขากลับไม่อาจนั่งมองคนเหล่านั้นตายโดยไม่ทำอะไรได้
“ปีนี้ผลผลิตทองคำหมายเลขสองของแต่ละที่น่าจะอุดมสมบูรณ์อย่างมาก” โรแลนด์หันไปสั่งบารอฟ “เจ้าไปจัดทำแผนขึ้นมา จัดเสบียงอาหารส่วนหนึ่งส่งไปยังอาณาจักรดอว์นเพื่อให้แน่ใจว่าชาวบ้านที่หลบหนีเหล่านั้นจะมีข้าวกิน”
“ฝ่าบาท ถ้ากระหม่อมเข้าใจไม่ผิดล่ะก็ ทันทีที่รายงานได้รับการยืนยัน กองทัพที่หนึ่งก็จะเคลื่อนพลไปทางเคจเมาเธ่นทันที นี่จะทำให้การขนส่งหลังจากนี้ยากลำบากขึ้นมา” หัวหน้าสำนักบริหารทำหน้าลำบากใจ “กระหม่อมไม่มั่นใจจริงๆ ว่าจะสามารถส่งเสบียงให้กับกองทัพที่หนึ่งพร้อมส่งเสบียงให้ชาวบ้านที่อพยพได้ทันเวลาหรือเปล่า ต่อให้เช่าเรือของหอการค้าที่ฟยอร์ดมาทั้งหมดมันก็แน่ว่าจะพอพ่ะย่ะค่ะ”
นี่ีืเป็นปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ต่อให้เป็นเรือใบที่ใหญ่ที่สุดของฟยอร์ด ความสามารถในการขนส่งของมันก็ยังไม่มากพอสำหรับสภาวะสงครามเช่นนี้ ตอนนี้เพียงแค่การขนย้ายผู้อพยพก็เรียกได้ว่าเต็มความจุแล้ว
“นอกเสียจาก…พวกเราจะสามารถสร้างรางเหล็กตรงไปยังอาณาจักรเพื่อนบ้านได้อีก…” บอรอฟทำสีหน้าลังเลในขณะที่พูด เขารู้ดีว่างานวิศวกรรมขนาดใหญ่เช่นนี้ต้องใช้เวลาและทรัพยากรมากแค่ไหน ทุกครั้งนี้จะเอาเงินในคลังออกมาใช้ เขาเหมือนกำลังรู้สึกเฉือนเนื้อตัวเองออกมาอย่างไรอย่างนั้น
“เวลาคงจะไม่ทัน” โรแลนด์ส่ายหัว “ยิ่งไปกว่านั้นเมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็ใช้ทรัพยากรไปกับการสร้างรางเหล็กบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ไปจำนวนมากแล้ว ถ้าอยากจะสร้างมันไปถึงอาณาจักรดอว์น มันจะต้องส่งผลกระทบต่อการผลิตอื่นๆ แน่”
รางเหล็กที่ทอดยาวจาป่าเร้นลับไปจนถึงซากเมืองทาคิลานี้ใช้เหล็กกล้าไปเป็นจำนวนมาก แล้วก็ใช้เวลาในการสร้างถึงครึ่งปี แถมในช่วงแรกยังมีความช่วยเหลือจากลีฟ แล้วก็เป็นการสร้างไปบนที่ราบ แต่เส้นทางจากเนเวอร์วินเทอร์ไปจนถึงเคจเมาเธ่นนั้นไม่ได้สะดวกเหมือนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ เพียงแค่ระยะเวลาที่ใช้ในการก่อสร้างก็ยากที่จะประเมินได้แล้ว
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา กระหม่อมก็คิดเช่นนี้เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ…” บารอฟดูผ่อนคลายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ทำแผนขึ้นมาจากทรัพยากรที่มีอยู่ในตอนนี้ออกมาก่อนแล้วกัน ต่อให้ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมานั่งประหยัดแล้ว” โรแลนด์พูด “ส่วนเรื่องการขนส่ง เดี๋ยวข้าจะคิดหาวิธีดู”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
จากนั้นเขาก็มองไปทางเอดิธส์ “แนวคิดที่จะใช้ภูเขาเคจเมาเธ่นเป็นเส้นแบ่งเขตนั้นใช้ได้ กองเสนาธิการทหารใหญ่รีบทำแผนออกมา หลังจากนี้ค่อยมาคุยกันทีละประเด็น”
สำหรับไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือแล้ว นี่เป็นสิ่งที่เธอทำเป็นประจำอยู่แล้ว เขาเชื่อว่าด้วยพรสวรรค์ของอีกฝ่าย ต่อให้ตัวเองไม่พูดอะไรมาก อีกฝ่ายย่อมต้องรู้ถึงความเร่งด่วนของมันอย่างแน่นอน
“เพคะฝ่าบาท” เอดิธส์รับคำ
โรแลนด์ลุกขึ้นมากวาดสายตามองดูทุกคนในห้องประชุม “ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดเอาไว้แล้วว่าสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่สามจะเป็นสงครามที่ตัดสินชะตาชีวิตของมนุษย์ ตอนนี้มันได้มาถึงแล้ว ชัยชนะในศึกทาคิลาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความพ่ายแพ้เมื่อ 400 ปีก่อนนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ ข้าอยากจะให้ทุกคนพยายามและแสดงศักยภาพของตัวเองในศึกครั้งนี้ออกมาอย่างเต็มที่ ประวัติศาสตร์จะต้องจดจำวันนี้เอาไว้!” เขาพูดเสียงดังขึ้น “ฟังให้ดี ไม่ว่าศัตรูจะเป็นใคร ข้าก็มีคำขอเพียงหนึ่งเดียว สงครามครั้งนี้พวกเราต้องชนะ ห้ามแพ้เด็ดขาด!”
“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” ทุกคนตอบพร้อมกัน
คืนนี้ไม่มีใครหลับได้ลงอีก
ในขณะที่ทุกคนกำลังแยกย้ายออกไปจากห้องประชุมของปราสาท โรแลนด์พลันเรียกทิลลีเอาไว้
“ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับเจ้าหน่อย”
…..
เมื่อกลับมาถึงห้องทำงาน โรแลนด์ก็ให้ไนติงเกลออกไปจากห้องก่อน จากนั้นเขาจึงปิดประตูห้อง
ทิลลีเลิกคิ้ว “แม้แต่ไนติงเกลก็ฟังไม่ได้เหรอ? ดูเหมือนท่านจะไม่ได้เรียกข้ามาเพื่อถามเรื่องความคืบหน้าของการฝึกอัศวินอากาศซะแล้ว”
เขาไม่ได้ตอบคำถาม หากแต่เทเครื่องดื่มยุ่งเหยิงให้กับเธอแล้วก็ตัวเอง รสชาติของมันไม่อาจถือว่ายอดเยี่ยมที่สุด แต่มันก็ถือว่าใช้คลายอารมณ์ได้ดีทีเดียว
เมื่อเห็นโรแลนด์ไม่พูด ทิลลีก็ไม่ได้ไปไล่ถาม หากแต่ค่อยๆ จิบเครื่องดื่ม เหมือนกำลังรอให้เขาทำลายความเงียบขึ้นมา
โรแลนด์จ้องมองน้องสาว ‘ในนาม’ คนนี้ ภายในใจเต็มไปด้วยความสับสน เมื่อเทียบกับองค์หญิงลำดับที่ห้าคนก่อนนี้แล้ว ทิลลี วิมเบิลดันในตอนนี้เหมือนจะมีความสุขุมขึ้นมาก ไม่ว่าจะสีหน้าหรือท่าทางก็ล้วนแต่เหมือนผู้ปกครองคนหนึ่ง เพียงแต่ถ้าเทียบกับที่เธอเป็นอยู่ในตอนนี้ เขากลับชื่นชอบสาวน้อยที่ขลุกอยู่กับอันนาในฤดูหนาว เที่ยวเล่นไปตามใจชอบ พลิกอ่านหนังสือกองใหญ่แล้วก็คอยคุยกับพี่น้องแม่มดว่าปัญหาข้อนี้ทำยังไงมากกว่า
ถ้าเป็นแค่แบบนี้ก็ว่าไปอย่าง เพราะอันที่จริงไม่มีใครที่จะคงลักษณะนิสัยแบบเดิมไปได้ตลอด แต่การเปลี่ยนแปลงของทิลลีนั้นเร็วเกินไป นับตั้งแต่วันที่แอชเชสเสียสละตัวเองจนถึงวันที่เธอร้องไห้อย่างเจ็บปวดออกมา เธอก็สลัดคราบเด็กสาวที่สดใสคนนั้นทิ้งไปจนหมดในเวลาแค่เพียงไม่กี่วัน ไม่ใช่เท่านี้ ความแค้นที่เธอมีต่อปีศาจก็เพิ่มมากขึ้นจนแสดงออกมาทางสายตา ถึงแม้หลังจากนั้นเธอจะไม่ค่อยได้พูด แต่จาก ‘คำขอเพียงหนึ่งเดียว’ ของอีกฝ่าย โรแลนด์ก็รับรู้ได้ถึงความไม่สบายใจอย่างรุนแรง
นั่นคือการตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
สำหรับเธอแล้ว เหมือนว่าโลกนี้มันไม่มีสีสันอีกต่อไป
ตอนนี้เขาได้รับรู้มาจากมิสต์ว่าทุกอย่างมันอาจจะย้อนกลับคืนมาได้ เมื่อคิดถึงระดับความน่าเชื่อถือของข้อมูลของโลกแห่งจิตสำนึก วิธีที่เหมาะสมที่สุดก็คือทำให้แอชเชสกลับมามีชีวิตใหม่ แล้วให้เธอเป็นคนบอกทิลลีเอง เพื่อที่จะได้ไม่ทำให้เธอต้องผิดหวังอย่างรุนแรงซ้ำสอง แต่เขาก็รู้อีกเหมือนกันว่าด้วยสภาพจิตใจของทิลลีในตอนนี้ มันอาจจะทำให้เธอไม่สามารถก้าวผ่านสงครามแห่งโชคชะตาไปได้อย่างราบรื่น
ถ้าพูดมันออกมา บางทีมันอาจจะทำให้เธอกลับมาเป็นเหมือนเดิม
แต่ถ้าสุดท้ายมันไม่สำเร็จ เธอก็จะตกอยู่ในความสิ้นหวังที่ลึกมากขึ้นกว่าเดิม
แล้วก็เป็นเพราะความคิดทั้งสองนี้กำลังตีกันอยู่ในหัว จึงทำให้เขาไม่ยอมพูดอะไรออกมา
แต่ว่าต่อให้ความเงียบยาวนานแค่ไหนมันก็มีจุดสิ้นสุด
โรแลนด์รู้ดีว่าความจริงตัวเองได้ทำการตัดสินใจตั้งแต่ที่เรียกทิลลีเข้ามาแล้ว
แต่ที่จะมานั่งเสียใจที่หลัง เขาเลือกที่จะเอาความหวังในอนาคตมาวางไว้ที่ปัจจุบันดีกว่า
“ท่านพี่?” น่าจะเป็นเพราะจ้องมองอยู่นาน ทิลลีจึงหลบสายตาเล็กน้อยพร้อมถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
โรแลนด์สูดหายใจ แล้วค่อยๆ พูดออกมา “คำพูดที่ข้าจะพูดต่อไปนี้บางทีมันอาจจะน่าเหลือเชื่อ แต่ข้าก็ยังอยากจะบอกเจ้าว่า…”
“แอชเชสอาจจะยังมีชีวิตอยู่”
……………………………………………………