“ลูกศิษย์?” เยี่ยเม่ยไม่อยากเชื่อ
อย่างไรเสียอายุของเสินเซ่อเทียนดูแล้วก็ไม่มากนัก สมควรจะแก่กว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่กี่ปี เมื่อคิดว่าอาจารย์ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคือคนรูปหล่ออย่างเสินเซ่อเทียน ส่วนอาจารย์ของนางเป็นผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่เช่นนั้น แค่เทียบกันเรื่องความหล่อเหลาองอาจ ก็ห่างชั้นกันหลายขุมแล้ว
ในใจเยี่ยเม่ยแตกสลาย รู้สึกอิจฉา
แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญ
นางมองซือหม่าหรุ่ยอย่างจริงจัง ถามว่า “เจ้ายังรู้อะไรอีกบ้าง บอกข้ามาให้หมด!”
“ชื่อเสินเซ่อเทียน ความจริงคือความเคารพที่คนในโลกมีให้แก่เขา ส่วนชื่อจริงของเขานั้นไม่มีใครรู้ คนทั่วหล้ารู้มีเพียงแค่ นับตั้งแต่เขาเกิดมามีเมฆสีรุ้งปกคลุมท้องฟ้า ถึงถูกเรียกว่าบุตรแห่งฟ้า บุคคลลึกลับของสำนักเทียนจีพาตัวเขาไป” ซือหม่าหรุ่ยเล่าไปก็ขมวดคิ้ว
เยี่ยเม่ยมุ่นคิ้ว “สำนักเทียนจี”
“ไม่ผิด! เพราะผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ก็เป็นคนของสำนักเทียนจีเช่นกัน ดังนั้นมีคนคาดเดาว่า เขาคือศิษย์พี่ของเสินเซ่อเทียน” ซือหม่าหรุ่ยเล่าต่อ “ยามเสินเซ่อเทียนเดินทางกลับเมืองหลวงตอนอายุสิบสี่ปี ถึงได้รู้ว่าภายหลังที่เขาจากบ้านไปได้สามปี คนในตระกูลตกตายสิ้นเพราะถูกคนให้ร้าย อดีตฮ่องเต้ตัดสินให้ประหารทั้งชั่วโคตร แต่ยังมาไม่ทันลงทัณฑ์ คนทั้งตระกูลเสินเซ่อเทียนก็ตายอยู่ในมือโจรร้ายแล้ว ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันรับปากจะพลิกคดีให้เขา ค้นหาตัวคนที่ให้ร้ายและฆาตกรที่สังหารคนในตระกูลเขาออกมาสังหารเก้าชั่วโคตร ดังนั้นเสินเซ่อเทียนจึงสาบานจะจงรักภักดีต่อฮ่องเต้”
เมื่อเล่าถึงตรงนี้ ซือหม่าหรุ่ยหัวเราะเบาๆ “ก็ไม่รู้ว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันโชคดีหรือเปล่า ทั้งๆ ที่คนของอดีตฮ่องเต้ในปีนั้นสังหารคนในตระกูลเสินเซ่อเทียน ยังไม่ทันลงมือก็ถูกผู้อื่นชิงลงมือตัดหน้า ดังนั้นอดีตฮ่องเต้จึงไม่เป็นศัตรูกับเขา กอปรกับคำเล่าลือว่าก่อนฮ่องเต้องค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์ เคยทำการปิตุฆาตและสังหารพี่ชาย อดีตฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ในเงื้อมมือของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้เสินเซ่อเทียนถึงร่วมกับฮ่องเต้ ภักดีต่อฮ่องเต้”
ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยต่อไปว่า “พลังของเสินเซ่อเทียน ใครก็เคยเห็น ทั่วหล้าไม่มีใครเป็นคู่มือของเขา ตอนอายุสิบสี่ก็มากพอให้กลายเป็นเป้าสายตาของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ ฮ่องเต้แต่งตั้งเป็นอ๋องต่างแซ่ ถูกเรียกว่าจวินซ่าง ทั้งได้ฟังว่าตอนนั้นเสินเซ่อเทียนดึงดันจะรับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นศิษย์ สั่งสอนวรยุทธ์เขา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถึงรอดจากน้ำชาพิษของราชวงศ์มาได้”
“น้ำชาพิษ” เยี่ยเม่ยสงสัยว่าเหตุใดถึงใช้คำนี้
ซือหม่าหรุ่ยเห็นเยี่ยเม่ยสีหน้าแปลกใจ เล่าว่า “เจ้าก็รู้ คนในวังยินยอมเชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับง่ายๆ ยามเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเกิดเหตุการณ์กลับตาลปัตรจากเสินเซ่อเทียน เมฆดำครึ้มฟ้า ฝนห่าใหญ่ตกติดต่อกันไม่หยุด วันที่เขาเกิดเป็นวันที่ดาวจื่อเว่ยอับแสง ราชครูในปีนั้นทำนายว่า ต่อไปราชสำนักเป่ยเฉินจะล่มสลายภายในมือของเขา!”
เมื่อซือหม่าหรุ่ยเล่ามาถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยพลันสูดลมหายใจลึก
เมื่อได้ความทรงจำกลับมา เยี่ยเม่ยย่อมเข้าใจข้อห้ามในยุคสมัยนี้คนโบราณโดยเฉพาะเชื้อพระวงศ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ดี นางเอ่ยถาม “จากนั้นเล่า”
“จากที่ได้ฟังมาเพื่อให้ข้อสรุปกับคนในราชวงศ์ที่ไม่สบายใจ จึงโยนเขาที่เพิ่งเกิดไว้ในป่ารกชัฏที่อยู่ของสัตว์ป่าเป็นเวลาสามวัน หารือกับทุกคนว่า หากหลังจากนี้สามวันเขาไม่ตาย ทั้งไม่ถูกสัตว์ร้ายกิน เช่นนั้นก็ถือว่าสวรรค์มีเมตตา ยินยอมให้เขามีชีวิต!” ซือหม่าหรุ่ยเล่า
เยี่ยเม่ยฟังคำเล่านี้ พลันรู้สึกหัวใจรัดเกร็ง นางไม่เข้าใจว่าความรู้สึกนี้นับว่าปวดใจหรือไม่ แต่นางกลับชัดเจนดี หัวใจนางเต้นให้กับเรื่องเกี่ยวกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน อารมณ์ของนางพลุ่งพล่านเพราะเขา
ซือหม่าหรุ่ยเล่าต่อ “ต่อมาเขากลับไม่ตาย ถูกพากลับวังหลวง แต่เพราะคำพูดของราชครู ฮองเฮาปกป้องตัวเอง เพื่อความความสูงศักดิ์และเพื่อให้เป่ยเฉินเสียงบุตรชายคนโตของนางได้เป็นฮ่องเต้ จึงขีดเส้นตัดขาดความสัมพันธ์กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทันที ด้วยเหตุนี้จึงโยนเขาให้กับไฉเหรินที่ไม่ได้รับความโปรดปรานนางหนึ่งเลี้ยงดู ที่น่าสนใจก็คือฮองเฮาที่ไร้คุณธรรมความรู้สึกเช่นนี้ กลับได้รับคำชื่นชมจากทุกคนว่ารู้จักคิดถึงภาพรวม เป็นตัวอย่างของมารดาแผ่นดิน!”
เยี่ยเม่ยย่นคิ้ว คิดไม่ถึงเลยว่าการถกสถานการณ์ในยามนี้ จะได้ฟังเรื่องราวในอดีตของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
แต่ก็ไม่รู้เพราะความเห็นแก่ตัวหรือเปล่า นางที่คิดจะตัดขาดความสัมพันธ์กับเขา เวลานี้นางกลับอยากฟังเรื่องของเขาอย่างทนไม่ไหว
“จากนั้นเล่า” เยี่ยเม่ยถามขึ้นอีก
ซือหม่าหรุ่ยกวาดตามองเยี่ยเม่ย ทั้งยังเข้าใจความลังเลในใจของอีกฝ่าย จึงไม่รีรอ “ได้ยินว่าไฉเหรินผู้นั้นไม่ตีก็ด่าเขา องค์ชายที่ไม่ได้รับความโปรดปราน ไร้ตำแหน่งใดๆ ในวัง นอกจากไฉเหรินนางนั้นแล้ว คนในวังเองก็รังแกเขาตามอำเภอใจ ส่วนรายละเอียดว่ารังแกยังไง คิดว่าคงมีแค่คนทำเท่านั้นที่รู้ชัด”
เล่ามาถึงยามนี้ ซือหม่าหรุ่ยถอนใจเอ่ยว่า “ตามคำเล่าลือ ยามเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอายุเจ็ดขวบ เป็นปีที่เสินเซ่อเทียนเดินทางกลับมายังราชสำนักเป่ยเฉินพอดี เขาพบเป่ยเฉินเสียเยี่ยนในวัง ยืนยันจะพาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับไปเลี้ยง ฮ่องเต้ทรงรับปากแล้ว เรื่องหลังจากนั้นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ไม่ได้ทำให้คนผิดหวัง กลายเป็นปีศาจร้ายที่คนได้ยินแล้วยังสลดใจ วรยุทธ์ร้ายกาจไม่แพ้เสินเซ่อเทียน”
พูดกันตามตรงแล้ว ซือหม่าหรุ่ยคิดว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ เรื่องราวก็มีเหตุผลของมัน เปลี่ยนเป็นใครที่มีชีวิตวัยเด็กเช่นนี้ ก็ยังยากใช้จิตใจเมตตากับคนอื่น
ซือหม่าหรุ่ยแค่นหัวเราะเบาๆ “แต่ว่า คนนอกล้วนบอกว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคือศิษย์ของเสินเซ่อเทียน สุดท้ายเป็นอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ชัด สาเหตุมาจากคนทั้งสองต่างฝ่ายต่างไม่พูด ไม่มีใครกลายเป็นศัตรูของอีกฝ่าย แต่ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็หาได้เคารพเสินเซ่อเทียนนัก !”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” เยี่ยเม่ยฟังแล้วก็เข้าใจอะไรขึ้นบ้าง
มิน่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนถึงได้เห็นคุณธรรมศีลธรรมไร้ตัวตน ไม่มีความเคารพเสด็จพ่อเสด็จแม่ของตนเลยสักน้อย ทั้งไม่มีความสัมพันธ์พี่น้องกับพี่ชายของตน ทำการใดล้วนเพื่อความพอใจของตน กลั่นแกล้งคนเป็นเรื่องสนุก
เพราะในวันที่มืดมนที่สุด เขาพบเห็นกับท่าทีเย็นชา ไม่มีใครใส่ใจเขา และเข้าใจด้านมืดมนของมนุษย์ เขาจัดการเรื่องราวเช่นนี้ หาความสุขในโลกที่เขาคิดว่ามืดมน ก็เพียงเพื่อค้นหาเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ของตน
บางทีคนที่เป็นพวกสุญนิยมอย่างเขา คิดว่าการดำรงชีวิตอยู่ของตนนั้นว่างเปล่า
เมื่อฟังถึงยามนี้ เยี่ยเม่ยเอ่ยปากว่า “ดังนั้น ความแข็งแกร่งของเสินเซ่อเทียน พวกเราก็รับรู้ชัดเจนแล้ว ราชสำนักเป่ยเฉินเข้มแข็งได้เท่านี้ ซ้ำยังมีเสินเซ่อเทียนและเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอยู่ อย่างนั้นข้ายิ่งมั่นใจว่าการช่วยพวกเขาทำศึกเป็นเรื่องที่ถูกต้อง!”
“เจ้าคิดจะ…” ซือหม่าหรุ่ยพลันเข้าใจแล้ว
เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ไม่ผิด! ข้าต้องการใช้ความเชื่อใจของพวกเขา เข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจองราชสำนักเป่ยเฉิน จากนั้นทำลายพวกเขาจากศูนย์กลางอำนาจนั้น!”
ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า กลับเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว! ข้าจงใจเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเสินเซ่อเทียนก็เพื่อเตือนเจ้า ไม่ว่าจะเอ่ยอย่างไร เสินเซ่อเทียนก็มีบุญคุณกับเขา เขาอาจไม่ยินยอมเป็นศัตรูกับเสินเซ่อเทียนเพื่อเจ้า เยี่ยเม่ยเจ้าคิดให้ดี จะจัดการความสัมพันธ์ของเจ้ากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างไร”