การที่เขายอมลงให้คนหนุ่มตรงหน้านี้ถึงสามส่วน ก็ไม่ใช่เพราะว่าถูกสถานการณ์ใหญ่บีบบังคับหรอกหรือ? ไม่ใช่เพราะแผ่นหยกแผ่นนั้น ไม่ใช่เพราะกองทัพม้าเหล็กต้าหลี ไม่ใช่เพราะการเปลี่ยนแปลงในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปหรอกหรือ?
แต่จุดที่ทำให้เฉินผิงอันแตกต่างจากคนอื่นมากที่สุดนั้นอยู่ที่ว่า เขาเข้าใจสิ่งเหล่านี้ดียิ่งกว่าใคร อีกทั้งทุกการกระทำทุกคำพูดก็เหมือนว่าจะกำลังรักษา…กฎเกณฑ์บางอย่างที่ทำให้หลิวจื้อเม่ารู้สึกประหลาดใจอย่างถึงที่สุด
และกฎเกณฑ์ที่เกิดจากทุกคำพูด ทุกเรื่องเล็กน้อยมารวมตัวกันอย่างต่อเนื่องนี้ก็ค่อยๆ เป็นเหมือนก้อนหินที่ผุดขึ้นเมื่อน้ำลด หลิวจื้อเม่าจึงยินดีจะยอมเชื่อ
หลิวจื้อเม่าพลันเอ่ยขันๆ ปนฉุนว่า “ก่อนหน้านี้ก็มีบรรพจารย์หลิว ภายหลังยังมามีท่านเฉิน ดูท่าว่าข้าคงไม่เหมาะจะอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนแล้วจริงๆ ย้ายบ้านย้ายบ้าน ต้นไม้ตายเมื่อถูกย้าย คนมีชีวิตอยู่เมื่อย้ายถิ่น หากท่านเฉินสามารถขอป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นหนึ่งมาให้ข้าได้จริงๆ ข้าย่อมต้องมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้แทนคำขอบคุณอย่างแน่นอน!”
เฉินผิงอันไม่เห็นเป็นสำคัญ คำกล่าวเหล่านี้ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นคำโกหก แต่ผู้ที่กล่าวจะคิดอย่างไรไม่สำคัญ สำคัญคือคนฟังจะคิดจริงจังเกินไปนักไม่ได้ เรื่องราวทางโลกไม่มีอะไรแน่นอน ความจริงใจของคนในวันนี้อาจทนการกระทบตีจากเรื่องในวันพรุ่งนี้ไม่ได้
แม้แต่เจิงเย่ที่สันดานเดิมดีงามยังเกือบเดินทางผิด เข้าใจผิดนึกว่าเขาเฉินผิงอันเป็นคนดี แล้วเด็กหนุ่มก็สามารถพึ่งพาเขาได้อย่างสบายใจ จากนั้นก็เริ่มวาดหวังถึงความสวยงามของอนาคตในวันหน้า ผู้ปกป้องมรรคา อาจารย์และศิษย์ ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลาง มีความหวังบนมหามรรคา ถึงเวลานั้นจะต้องกลับขึ้นไปบนเกาะเหมาเยว่อีกครั้งเพื่อไปพบอาจารย์และบรรพจารย์ที่จิตใจอำมหิต…
ชั่วชีวิตนี้เจิงเย่อาจจะไม่มีทางรู้เลยว่า ความเปลี่ยนแปลงทางสภาพจิตใจเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ของเขา ทำให้นักบัญชีในห้องติดกันที่ขนาดตอนเผชิญหน้ากับ ‘ผู้ฝึกตนใหญ่’ อย่างหลิวเหล่าเฉิงก็ยังจิตใจสงบดุจน้ำนิ่ง นาทีนั้นกลับเกิดความผวาพรั่นพรึงขึ้นมาแวบหนึ่ง
และชีวิตของเขาที่เดิมทีสามารถเดินขึ้นเนินไปได้แล้ว เกือบจะต้องกลับไปเดินลงเนินใหม่อีกครั้ง
เฉินผิงอันถึงขั้นคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่า หากเป็นเช่นนี้จริง สักวันหนึ่งในอนาคตที่กระจ่างแจ้งขึ้นมา เจิงเย่จะต้องโทษคนบ่นฟ้า อีกทั้งยังคิดว่าตัวเองมีเหตุมีผลอย่างยิ่งอีกด้วย
สิ่งเดียวที่เขาจะไม่รู้ก็คือ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ชีวิตของตัวเองไร้ทางเลือก แม้แต่ด่านของเฉินผิงอันที่ต้องเผชิญ เจิงเย่ยังข้ามผ่านไปไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นต่อให้มีโอกาสอื่น เปลี่ยนเป็นด่านอื่นที่ต้องข้ามผ่านไป เขาจะผ่านมันไปได้จริงหรือ?
อาศัยโชคช่วย อาศัยชะตากรรมงั้นหรือ? หรือจะอาศัยความโปรดปรานที่ไร้เหตุผลจากคนใหญ่คนโต?
เฉินผิงอันไม่เคยคิดว่าวิถีปฏิบัติต่อคนบนโลกของตนจะต้องเหมาะสมกับชีวิตของเจิงเย่มากที่สุด
แต่ดูเหมือนว่าเกือบทุกคนล้วนต้องเจอกับสถานการณ์ยากลำบากเช่นนี้ สถานการณ์ที่เรียกว่า ‘ไม่มีทางเลือก’
เฉินผิงอันก็ยิ่งไม่ใช่ข้อยกเว้น
ในเมืองเล็กบ้านเกิด สมุนไพรร้านยาตระกูลหยางก็คือทางเลือกเพียงหนึ่งเดียวของเฉินผิงอัน ทว่าสุดท้ายท่านแม่ก็ยังจากไป
ในตรอกหนีผิงที่อบอวลไปด้วยกลิ่นควันอาหาร มีเพียงสตรีแต่งงานแล้วคนเดียวเท่านั้นที่เต็มใจเปิดประตูบ้านรับเขา นั่นเคยเป็นการเลือกที่ดีที่สุดในชีวิตที่ยากลำบากของเฉินผิงอัน ทว่าตอนนี้มันกลับกลายมาเป็นการเลือกที่เลวร้ายที่สุดไปแล้ว
ตำราหมัดเขย่าขุนเขาหนึ่งเล่มก็คือทางเลือกเพียงหนึ่งเดียวของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะในปีนั้นเช่นกัน
ชีวิตคนมักจะเป็นเช่นนี้ หลายๆ ครั้งไม่มีทางแยกให้เลือกว่าผิดหรือถูก ดีหรือเลว สวรรค์ก็จะกดหัวผลักให้เจ้าเดินหน้าไปทั้งอย่างนั้น
สิ่งที่คนคนหนึ่งสามารถทำได้ในเวลานั้นก็มีเพียงแค่จะเดินไปบนทางสายเดียวที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าอย่างไร
มีเพียงเดินผ่านไปแล้วถึงจะมีโอกาสให้เลือกเดินไปทางแยก ถึงจะมีโอกาสถัดไปให้เลือกว่าจะเดินไปบนทางสายเล็กเท่าไส้แกะ หรือเปลี่ยนจากทางสะพานไม้ท่อนเดียวมาเป็นทางสายใหญ่กว้างขวาง
ตอนที่เห็นเส้นสายนี้ของเจิงเย่ มองเห็นสภาพจิตใจที่ขึ้นลงของเด็กหนุ่ม เฉินผิงอันก็รู้สึกจนใจอีกครั้ง ถึงขั้นรู้สึกเหนื่อยล้า
รู้ว่าผิดแล้วแก้ไขจึงจะประเสริฐ
ที่แท้ความยากที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การแก้ไข แต่อยู่ที่การรู้ว่าผิด
กู้ช่านเป็นเช่นนี้ เจิงเย่ที่มีนิสัยอยู่อีกสุดปลายด้านหนึ่งของไม้บรรทัดก็ยังทำผิดเช่นเดียวกัน
ข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวก็คือตอนนี้เจิงเย่ยังอ่อนเยาว์อยู่มาก ไม่ว่าจะตบะหรือสภาพจิตใจก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ดังนั้นถึงได้มีโอกาสที่จะค่อยๆ แก้ไขปรับปรุงให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น
เฉินผิงอันไม่มีทางพูดหลักการเหตุผลของตัวเองกับเจิงเย่ แต่จะสอนการรับรู้ขั้นพื้นฐานว่าควรปฏิบัติต่อโลกใบนี้อย่างไรแก่เขา ขอแค่รู้มากขึ้น ก็เหมือนในมือถือร่มใบถงหนึ่งคัน ร่มกระดาษน้ำมันหนึ่งคัน เมื่อเจอกับพายุลมฝนก็สามารถหลบฝนได้มากขึ้น หากเอาแต่อธิบายหลักการเหตุผลกับเด็กหนุ่มโดยที่ไม่ทำให้เขารู้ถึงความซับซ้อนของวิถีทางโลกแม้แต่น้อย ก็หนีไม่พ้นเป็นการสานตะกร้าไม้ไผ่หรือตะกร้าสะพายหลังให้เจิงเย่หนึ่งใบ บอกให้เขาแบก ส่วนเขาเฉินผิงอันก็ฝืนยัดของใส่ไปข้างในอย่างต่อเนื่อง นี่ไม่เพียงแต่จะไม่ทำให้เจิงเย่เดินได้ราบรื่น กลับยิ่งจะทำให้เขาต้องแบกภาระหนักอึ้งเดินไปข้างหน้า มีแต่จะกินแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
หลักการเหตุผล พูดหรือไม่พูด ล้วนต้องจ่ายค่าตอบแทน
ใส่ความรู้เข้าไปในตะกร้าไม้ไผ่ ในหีบสะพายหลังแล้ว ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเรื่องดีทั้งหมดเช่นกัน
ตัวอักษรบนโลกใบนี้มีพลัง ความรู้ที่เกิดจากตัวอักษรมารวมตัวกันมีน้ำหนัก
แต่นี่ก็เหมือนกับที่ปีนั้นหยางเหล่าโถวเขียนยันต์ปราณที่แท้จริงแปดตำลึงไว้บนขาของเฉินผิงอัน ทั้งทำให้เฉินผิงอันรู้สึกหนักหน่วงเวลาก้าวเดิน แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการขัดเกลาวิถีวรยุทธ์ของเขาด้วย
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความรู้ที่เฉินผิงอันเพิ่งจะใคร่ครวญออกมาได้ด้วยตัวเองหลังจากเส้นที่ห้าอย่างเจิงเย่ปรากฏตัว
ก่อนหน้านี้ใช่ว่าจะไม่เข้าใจเลย แต่ถึงกระนั้นเฉินผิงอันก็ยังขบคิดได้ไม่กระจ่างแจ้งมากพอ
เดินเร็วเกินไป เด็กหนุ่มตามไม่ทัน
ที่แท้หลักการเหตุผลก็กลัวน้ำครึ่งถังมากที่สุด เพราะพอเดินแล้วจะส่ายไปส่ายมา คนที่ถือถังน้ำย่อมต้องเปลืองแรงอย่างถึงที่สุด
หลิวจื้อเม่าพลันยิ้มเอ่ยประโยคที่ชวนให้ตกอกตกใจ “นี่ท่านเฉินกำลัง ‘พิศมรรคา’ และ ‘ผสานมรรคา’ อยู่ใช่ไหม?”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าแล้วพูดเหมือนล้อเล่น “ที่แท้เจินจวินก็เป็นคนรู้ใจของข้าจริงๆ”
หลิวจื้อเม่าวางถ้วยเหล้าลงด้วยสีหน้าจริงจัง กุมหมัดประสานกัน “เจ้าและข้ามหามรรคาแตกต่าง ซ้ำร้ายยังเคยมองกันและกันเป็นศัตรู แต่อาศัยการที่ท่านเฉินสามารถใช้ตบะห้าขอบเขตล่างในเวลานี้ไปทำเรื่องของเซียนดินได้ นี่ก็มากพอให้ข้าเคารพเลื่อมใสแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “หากเจินจวินสามารถเล่าประสบการณ์ในชีวิตให้ข้าฟัง ช่วยให้ข้าพิศมรรคาได้มากอีกหน่อย ข้าก็จะซาบซึ้งใจอย่างยิ่งเช่นกัน”
หลิวจื้อเม่ารีบโบกมือเป็นพัลวัน “คนรู้ใจไม่แบ่งแยกว่ามิตรหรือศัตรู ตอนนี้อย่างมากที่สุดพวกเราสองฝ่ายก็ไม่ใช่ศัตรูกัน อย่างน้อยที่สุดก็ยังไม่ใช่ในตอนนี้ วันหน้าหากมีความขัดแย้งให้ต้องปะทะกันอีกครั้งก็แค่ต้องอาศัยความสามารถของใครของมันเท่านั้น ในเมื่อไม่ใช่สหาย เหตุใดข้าต้องช่วยท่านเฉินด้วยเล่า? หากข้าจำไม่ผิด ตอนนี้ท่านเฉินติดเงินเทพเซียนกับคลังลับของเกาะชิงเสียพวกเราไม่น้อย หากท่านเฉินยินดีมอบแผ่นหยกให้ หรือจะแค่ให้ข้ายืมร้อยปี ข้าก็สามารถปฏิบัติต่อท่านเฉินอย่างใจกว้างตรงไปตรงมา ถามอะไร ข้าก็จะตอบอย่างนั้น ต่อให้ท่านเฉินไม่ถาม ข้าก็จะพูดรัวเหมือนเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ อะไรที่ควรพูดไม่ควรพูดล้วนพูดหมด”
เจ้าของเดิมของแผ่นหยกแผ่นนั้นก็คือหนึ่งในเจ็ดสิบสองนักปราชญ์ของศาลบุ๋นทวีปแผ่นดินกลางสายของหย่าเซิ่ง ยิ่งเป็นอริยะใหญ่ที่เฝ้าพิทักษ์บนน่านฟ้าเหนืออาณาเขตของแจกันสมบัติทวีป
หลิวจื้อเม่าย่อมรู้หนักเบา
ทั้งหวาดเกรง แล้วก็ทั้งปรารถนาอยากครอบครอง
ส่วนข้อที่ว่าเขาจะรับช่วงต่อมาได้หรือไม่ อันที่จริงก็ง่ายดายมาก เพราะต้องดูที่ว่าเฉินผิงอันกล้าที่จะมอบให้เขาหรือเปล่า
เพราะหลิวจื้อเม่าไม่เข้าใจกฎเกณฑ์เบื้องบนที่แท้จริงของลัทธิขงจื๊อ แต่เฉินผิงอันกลับรู้เยอะกว่า
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรื่องนี้เจ้าอย่าคิดเลย”
เดิมทีหลิวจื้อเม่าก็ไม่ได้คาดหวังอยู่แล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่ผิดหวัง
เฉินผิงอันพลันถามว่า “หากข้าที่ในมือถือแผ่นหยกดึงดูดเอาโชคชะตาน้ำปราณวิญญาณของทะเลสาบซูเจี่ยนมาอย่างเต็มที่ จนกลายเป็นสูบบ่อน้ำให้แห้งเพื่อจับปลา เอาผลประโยชน์ทุกอย่างเก็บเข้ามาอยู่ในกระเป๋าของข้าคนเดียว เจินจวิน เขาหลิวเหล่าเฉิง สกุลซ่งต้าหลีที่อยู่เบื้องหลังจะขัดขวางหรือไม่? กล้าหรือไม่?”
หลิวจื้อเม่าสีหน้าแข็งทื่อ
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “วางใจเถอะ นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่ไม่ถูกต้องตามหลักมารยาท ดังนั้นต่อให้พวกเจ้าไม่กล้าขัดขวาง ข้าเองก็ไม่กล้าทำเหมือนกัน แน่นอนว่าหากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ข้าจะลองพยายามดูว่าจะสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตเซียนดินในก้าวเดียวได้หรือไม่”
หลิวจื้อเม่ากุมหมัดอีกครั้ง “ขอร้องท่านเฉินอย่าใช้วิธีที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บสาหัส หากถอนฟืนใต้กระทะกับทะเลสาบซูเจี่ยนก็จะทำให้ตัวเองต้องสูญเสียยันต์คุ้มกันกายชิ้นนี้ไปเหมือนกัน”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าอยู่หลัง ทะเลสาบซูเจี่ยนอยู่หน้า ลำดับขั้นก่อนหลังไม่อาจทำให้ยุ่งเหยิงได้”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “ไป มีเจินจวินไปจวนชุนถิงเป็นเพื่อนข้า ไปกินเกี้ยววันตงจื้อตามประเพณีบ้านเกิดของพวกเราร่วมกันสักมื้อ”
หลิวจื้อเม่าลุกขึ้นตาม สายตาชำเลืองมองหนีชิวน้อยที่สภาพอเนจอนาถอย่างถึงที่สุดตัวนั้น
อาวุธกึ่งเซียนเล่มหนึ่ง กระบี่บินสองเล่ม ยันต์ตัดโซ่สามแผ่น
ล้วนเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดของทะเลสาบซูเจี่ยนพวกเรา
จริงแท้แน่นอน
เฉินผิงอันไม่แม้แต่จะมองนาง “ระหว่างที่เดินกันไป รบกวนเจินจวินช่วยบอกวิธีกรีดลอกคราบร่างเจียวหลงให้ข้าฟังสักหน่อย พอกลับมาแล้วข้าค่อยฟังคำขอร้องก่อนตายของนาง ไม่แน่ว่า นางอาจจะมีเหตุผลที่โน้มน้าวให้ข้าเชื่อได้?”
หลิวจื้อเม่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
คนทั้งสองออกไปจากห้องพร้อมกัน
พอมาถึงจวนชุนถิง กู้ช่านมีสีหน้าซีดขาว สตรีแต่งงานแล้วก็ยิ่งแสดงความหวาดกลัวออกมาอย่างปิดไม่มิด
เฉินผิงอันเอ่ยแค่ประโยคเดียวว่า “ถานเซวี่ยอยู่ที่ห้องพักของข้า นางอยากจะพูดเหตุผลของนางให้ข้าฟังสักหน่อย จะไม่มากินเกี้ยวกับพวกเราแล้ว”
หลังจากกินเกี้ยวเสร็จ เฉินผิงอันวางตะเกียบลง บอกว่าอิ่มแล้ว และเอ่ยขอบคุณสตรีแต่งงานแล้ว
หลิวจื้อเม่าก็วางตะเกียบลงด้วย คนทั้งสองเดินเคียงไหล่จากมาพร้อมกัน
จากนั้นจึงแยกย้ายกันไปทางใครทางมัน
หลิวจื้อเม่ากลับไปที่จวนเหิงโปของตนก่อน แล้วค่อยย้อนกลับไปที่จวนชุนถิงอย่างเงียบเชียบอีกครั้ง
เฉินผิงอันกลับไปที่ห้องพักเพียงลำพัง
คนในครอบครัวหวนกลับคืนสู่บ้านในคืนที่หิมะตก
ปลายกระบี่ของเจี้ยนเซียนยังคงปักอยู่บนประตู
เฉินผิงอันเปิดประตู เข้าไปในห้อง ประโยคแรกที่ถานเซวี่ยเปิดปากพูดก็คือ “ข้าไม่อยากตาย”
เฉินผิงอันปิดประตูลง “นี่ก็คือเหตุผลของเจ้า?”
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจนางอีก เขาจุดตะเกียงบนโต๊ะหนังสือและโต๊ะอาหารสองดวง หยิบตำหนักพญายมราช ‘คุกล่าง’ ออกมาจากหีบไม้ไผ่ใบนั้น
แล้วก็ทำเรื่องที่ทำมาตลอดเกินครึ่งเดือนนี้ต่ออีกครั้ง
ส่วนนางก็ถูกปักตรึงอยู่ที่หน้าประตูตลอดเวลา
จนกระทั่งครึ่งคืนหลัง
เฉินผิงอันที่เหนื่อยล้าหมดแรงดื่มเหล้าเพิ่มความสดชื่น แล้วจึงเก็บหอเรือนไม้หลังนั้นกลับลงไปในหีบไม้ไผ่
ในมือถือเตาอุ่นมือ เขาเดินมาที่หน้าต่าง มองไปยังทะเลสาบซูเจี่ยนที่อยู่ข้างนอก หิมะใหญ่หยุดลงแล้ว
เฉินผิงอันมองทัศนียภาพเงียบสงัดวังเวงที่หิมะขาวโพลนทับถมเต็มภูเขาของเกาะ แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “สมุดบัญชีสี่หน้า สามสิบสองคน กลับไม่มีวัตถุหยินหรือผีตนไหนคิดจะสังหารเจ้าเพื่อแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงรู้สึกว่าเจ้าสมควรตายแล้ว คิดจะเปลี่ยนแผนการไม่ค้าขายกับราชครูต้าหลีแล้ว ทางฝั่งของจวนชุนถิง รอจนข้ากินเกี้ยวชามใหญ่หมดแล้วก็ยังไม่มีใครช่วยขอร้องแทนเจ้า ก็เหมือนอย่างที่เจ้าพูด ก่อนหน้านี้หัวใจบุ๋นสีทองของข้าแตกสลายไปด้วยตัวเอง กู้ช่านไม่กล้าถาม คืนนี้ก็เหมือนกัน เขาก็ยังคงไม่กล้าอยู่เหมือนเดิม ตอนนี้หลิวจื้อเม่าน่าจะอยู่ที่จวนชุนถิง ช่วยคลายพันธนาการให้กับมารดาของกู้ช่าน และมีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่านางจะมองว่านี่คือพระคุณใหญ่หลวงของคนดีผู้มีจิตใจเมตตา ส่วนข้า คิดว่านับจากคืนนี้เป็นต้นไปก็จะกลายเป็นศัตรูที่เนรคุณของจวนชุนถิงแล้วล่ะ”
เฉินผิงอันถือเตาอุ่นมือไว้ด้วยมือเดียว เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างกายนาง ในมือกุมด้ามกระบี่ของเจี้ยนเซียน
ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยน้ำตา จิตแห่งเต๋าแทบจะพังทลาย พูดพึมพำซ้ำไปซ้ำมา “เฉินผิงอัน ข้าผิดไปแล้ว ข้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เจ้าแค่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตายก็เท่านั้น”
ท่ามกลางลมหิมะยามราตรี มีแขกมาเยือนเพิ่มอีกคน
เด็กหนุ่มที่สวมชุดหม่างสีหมึกวิ่งตะบึงมาคุกเข่าอยู่ท่ามกลางหิมะนอกประตู
เฉินผิงอันถือกระบี่ในแนวขวาง ฟันนางให้ขาดเป็นสองท่อน
หลังจากปลายกระบี่สีทองของเจี้ยนเซียนที่โผล่ออกไปด้านนอกเคลื่อนออกไปในแนวขวางระยะหนึ่งแล้วก็ยังไม่ถูกคนถือกระบี่ชักออกไป
จากนั้นประตูห้องก็เปิดออก
เฉินผิงอันยืนอยู่หน้าประตู “กู้ช่าน ข้ายังนึกว่าเจ้าจะพูดว่า หากถานเซวี่ยต้องตาย เจ้าก็จะฆ่าตัวตายอยู่ตรงหน้าข้าด้วย ก่อนข้าจะเปิดประตูข้ายังคิดว่า สรุปแล้วนี่คือความคิดของตัวเจ้าเอง หรือเป็นถ้อยคำที่มารดาของเจ้าสั่งสอนเจ้ามา”
กู้ช่านเงยหน้า ร้องไห้ไร้เสียง
นี่เป็นครั้งแรกตลอดหลายปีนับตั้งแต่ออกจากบ้านเกิดมาอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนที่เขาร้องไห้จนเหมือนกลับไปเป็นเจ้าเด็กขี้มูกยืดของตรอกหนีผิงในปีนั้นอีกครั้ง
—–