ตอนที่ 152

The Great Worm Lich

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับทัศนคติแสร้งเป็นมิตรของผู้บัญชาการ ทหารวัยกลางคนกล่าวกลับอย่างไม่แยแสว่า “ท่านครับ ทหารสามารถเสียสละเพื่อประโยชน์ของประเทศได้แต่ท่านไม่สามารถปล่อยให้พวกเขาตายอย่างไร้เหตุผลได้นะครับ โปรดอย่าใช้ความสำเร็จในการต่อสู้จากสงครามชิมพ์ครั้งที่หนึ่งมาวัดการบุกรุกในครั้งนี้เลยนะครับ ครั้งนั้นกองทัพจากอาณาจักรเหนือธรรมชาติไม่มีการคุกคามใด ๆ ภายใต้การระดมยิงด้วยปืนระยะไกลจากกองทัพอากาศของเรา แต่คราวนี้ไม่ใช่! พวกนั้นมีแหล่งพลังงานที่แข็งแกร่งมากพอจะบุกโจมตีโอวาฮู! มันเหมือนกับแบคทีเรียที่ติดอยู่ในห้องน้ำ ปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ในตอนแรกด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อและแปรงขัดห้องน้ำที่มีประสิทธิภาพสูงหรือแม้แต่ … ”

“พลตรี ฐานทัพอากาศฮิคคัมและฐานทัพนาวิกโยธินฮาวายอ่าวคาเนโอเฮพร้อมช่วยให้นายรับมือกับผู้รุกรานเหล่านั้น…”

“แต่ท่านครับ ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ความแข็งแกร่งทางทหารแต่เป็นความจริงที่ว่าพวกทหารไม่เข้าใจว่าคนพวกนั้นเป็นอะไร ไม่เพียงเท่านั้นแต่ผู้การจะไม่สามารถระบุยุทธวิธีการต่อสู้ที่ถูกต้องได้เช่นกัน ทุกคนจะอยู่ในความสับสนเมื่อพวกเขาเห็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่สามารถกระโดดได้สูงกว่า 10 เมตรเหมือนเห็บหมัดและสิ่งนี้จะทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายโดยไม่จำเป็น ในทางตรงกันข้ามทหารที่มีการปะทะกับสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติเหล่านี้จะถูกเรียกตัวกลับไปที่ค่าย มันช่างไร้สาระจนไม่น่าเชื่อว่า … ”

“ไม่มีอะไรไร้สาระทั้งนั้น ทุกอย่างจะถูกดำเนินไปตามขั้นตอนที่ควรจะเป็น นายก็รู้ว่ากองกำลังที่ไม่ได้ร่วมปฏิบัติการต่อสู้ใน ‘สงครามชิมพ์ครั้งที่หนึ่ง’ ไม่ควรรู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของอาณาจักรเหนือธรรมชาติ คำสั่งนี้ลงนามโดยท่านประธานาธิบดีตามคำร้องขอของหัวหน้าร่วมจากเจ้าหน้าที่และกระทรวงกลาโหม … ”

“แต่ทหารกำลังเสียสละชีวิตของพวกเขาอย่างไม่เป็นธรรม หากพวกเขาได้รู้ความจริงและสามารถสู้กลับได้อย่างถูกต้องพวกเขาอาจไม่ต้องตาย … ”

“ถ้างั้นนายก็ไปสอนพวกเขาถึงวิธีการสู้กลับที่ถูกต้องซะเลยสิ! นี่คือหน้าที่ของนายในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดในกองกำลังพิเศษกองทัพเรือแปซิฟิกฟลีท แล้วก็ควรจำไว้ให้ดีว่าทหารที่ดีที่สุดคือทหารที่เชื่อฟังผู้บังคับบัญชา คำสั่งที่ลงนามโดยท่านประธานาธิบดีจะต้องไม่ถูกละเมิดหากไม่มีคำสั่งใหม่ … ” ด้วยคำพูดที่ยั่วยุของเจ้าหน้าที่วัยกลางคนในที่สุดออดี้ก็ตะโกนออกมาด้วยความความไม่พอใจ

ตอนนั้นเองที่เลขาหน้าห้องของเขาเปิดประตูเข้ามาโดยพลการ “ท่านครับ ตำรวจที่โฮโนลูลูแจ้งข่าวว่ามีการโจมตีรุนแรงเกิดขึ้นที่โรงแรมรอยัลฮาวายเอียน พวกเขากล่าวว่ามีสัตว์ประหลาดและสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่สามารถบินขึ้นไปบนท้องฟ้า … ”

“โรงแรมรอยัลฮาวายเอียนงั้นเหรอ! บ้าเอ้ย พวกนั้นแอบเข้าไปในเมืองจริง ๆ ด้วย!” เมเกอร์ขบฟันตัวเองด้วยความกังวล “ท่านครับ เราต้อง … ”

“ติดตามต่อไป! ปล่อยให้ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ จาก FBI หรือ CIA จัดการซะ หยุดเสียเวลาในสำนักงานได้แล้วพลตรี! ทำในสิ่งที่นายควรจะทำ นี่คือคำสั่ง!” ออดี้ที่เริ่มสงบลงแล้วหันไปมองเจ้าหน้าที่วัยกลางคนก่อนจะเอ่ยคำสั่งโดยปราศจากความรู้สึกใด ๆ บนใบหน้า

การเชื่อฟังคำสั่งคือหน้าที่ของทหาร เมเกอร์กำหมัดแน่นก่อนจะลูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเอ่ยทำความเคารพ “เยส เซอร์!” พร้อมเดินออกจากสำนักงานไปในทันที

เมื่อมองดูร่างผู้ใต้บังคับบัญชาจากไป ออดี้ถอนหายใจอย่างแรงและโบกมือเพื่อให้เลขานุการปิดประตูห้อง

ขณะเดียวกันกับที่ประตูสำนักงานของผู้บัญชาการกองเรือเดินสมุทรสหรัฐอฯแปซิฟิกค่อย ๆ ปิด จางลี่เฉิน ทีน่า ทริชและชีล่าก็กำลังมุ่งหน้าไปยังท่าเรือฮานาเลย์โดยรถแท๊กซี่ที่บอกได้จากหน้าโรงแรม

เจ้าของเรือยอชท์ส่วนใหญ่ที่ตั้งใจจะมาแล่นเรือได้แล่นออกไปกันจบเกือบหมดแล้ว มันเป็นมุม ๆ หนึ่งที่เงียบสงบอย่างสมบูรณ์ภายในท่าเรือและมีเพียงเรือยอชท์ไม่กี่ลำที่จอดอยู่ในท่าเทียบเรือนั้น

ลมทะเลที่ค่อนข้างเย็นทำให้จางลี่เฉินผู้ซึ่งสวมใส่แค่กางเกงขาสั้นและเสื้อยืดธรรมดาบนชายหาดเกิดอาการตัวสั่นจากสายลมหนาว ดูเหมือนจะไร้สาระนิดหน่อยที่เขาเอ่ยถามไปว่า “ทีน่า เรือยอชท์ของคุณอยู่ที่ไหน?”

“เรือของฉันไม่ใช่ลำที่ใหญ่อะไรมากนักหรอกนะ มันจอดอยู่ตรงกลางท่าเทียบเรือตรงนั้นไง เดี่ยวเราก็ไปถึงแล้วล่ะ” ทีน่าจับแขนของจางลี่เฉินแล้วยิ้มขณะเดินไปตามพื้นของท่าเรือ “ลี่เฉิน นายหนาวมากไหม? ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ฮาวายแล้วนายรู้ไหม…”

“โอ้ทีน่า! ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอยังมีอารมณ์มาเป็นห่วงว่าแฟนของเธอจะหนาวไหมแบบนี้ได้อยู่อีก!” ชีล่าที่เดินตามหลังมาดูเหมือนเพิ่งจะกลับเข้าสู่โลกความเป็นจริงได้อีกครั้งพร้อมตะโกนขึ้นว่า “นี่เธอไม่รู้หรอว่าเรากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่แบบ…แบบอะไรก็ไม่รู้ในตอนนี้”

“อย่าเสียงดังไปเลยน่าชีล่า ไว้ค่อยคุยกันตอนขึ้นไปบนเรือแล้วดีกว่า” ทีน่าวางนิ้งของเธอแนบไปที่ริมฝีปากของตัวเองขณะหันหน้ามองเพื่อนสนิทก่อนจะหยุดที่หน้าเรือยอชท์ของเธอเองที่ชื่อว่าเจ้าหญิงแมนฮัตตัน

มันคือเรือยอชท์ขนาดใหญ่ที่มีความยาวมากกว่า 50 เมตร ภายในมี 4 ห้องนอนใหญ่โดยแบ่งเป็นส่วนหน้าและส่วนหลังอย่างละ 2 ห้อง ระหว่าง 2 ห้องนอนขนาดใหญ่จะมี 8 ห้องนอนเดี่ยวและห้องครัว สำหรับดาดฟ้าชั้นบนมันถูกเปิดออกเพื่อให้เป็นเลานจ์ขนาดใหญ่

เรือยอชท์ที่มีเลย์เอาต์ดังกล่าวคือความหรูหราอย่างไม่น่าเชื่อในสายตาของคนธรรมดาทั่วไปแต่มันก็สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าเป็นเรื่องธรรมดาทั่งไปเช่นกันสำหรับคนที่ร่ำรวยมากจริง ๆ อย่างไรก็ตามหากมีการเพิ่มระบบควบคุมการล่องเรือด้วยมือเดียวมันจะกลายเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

ในปัจจุบันเลย์เอาต์ที่ยาวที่สุดของเรือยอชท์ที่สามารถขับด้วยมือเดียวคือ 55 เมตรซึ่งเจ้าหญิงแมนฮัตตันที่มีขนาดใหญ่กว่าไม่สามารถทำได้

หลังจากขึ้นไปบนเรือแล้วจางลี่เฉินก็รีบตรงไปที่เลาจน์บนดาดฟ้าเรือในทันที เขาคว้าผ้าห่มที่เจออยู่บนโซฟาก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกและมองไปรอบ ๆ ด้วยการตกแต่งที่สวยงามขณะที่เขาขึ้นไปนั่งบนโซฟาข้างหน้าต่างกระจกพาโนรามา 360 องศาแล้วเขาก็แสดงความคิดเห็นไปว่า “การไม่มีเครื่องบินส่วนตัวแต่มีเรือยอร์ชส่วนตัวแทนก็ไม่เลวเลยทีเดียว”

“ที่รัก เครื่องบินส่วนตัวไม่ได้จะใช้กันได้ทั่วไปสักหน่อยนี่ แต่เรือยอชท์น่ะเป็นสิ่งที่จำเป็น เอาล่ะ งั้นฉันจะออกเรือแล้วนะ นายว่าตอนนี้เราควรไปที่ไหนกันก่อน?”

“จะเป็นการดีที่สุดถ้าเราสามารถกลับไปนิวยอร์กได้เลย” จางลี่เฉินตอบกลับแบบผ่อนคลาย

“ถึงแม้ว่าเจ้าหญิงแมนฮัตตันจะมีถังน้ำมันที่ออกแบบมาเป็นพิเศษและถึงแม้ว่าเราจะกลับนิวยอร์กพร้อมกับน้ำมันเต็มถังแต่เราก็จะกลายเป็นเหมือนโรบินสันที่ได้ล่องลอยไปยังเกาะร้างกลางคัน การเดินทางที่ยาวที่สุดที่ฉันเคยขับเป็นเพียงรอบการขับวนรอบเกาะฮาวายรอบเดียวเท่านั้น และอีกอย่างมันก็ใช้เวลาหลายวันและช้ากว่าเครื่องบินมากกว่าจะถึงนิวยอร์ก!”

“การเคลื่อนตัวแบบช้า ๆ คือสิ่งที่เราต้องการมากที่สุดในตอนนี้ แค่แล่นเรือรอบเกาะฮาวายก่อนก็พอแล้วทีน่า จนกว่าเราจะได้ยินข่าวว่าผู้ก่อการร้ายเหล่านั้นถูกกองทัพสหรัฐฆ่าหลังจากที่พวกเขาสังหารพลเรือนผู้บริสุทธิ์ไปแล้วหลายร้อยคนได้เ ราก็ค่อยกลับเข้าโฮโนลูลูอีกครั้ง”

จางลี่เฉินที่ดูจะระมัดระวังเป็นพิเศษยิ่งทำให้หัวใจของทีน่ารู้สึกชื่นชอบให้ตัวเขามากยิ่งขึ้น หญิงสาวเข้าใจดีมากว่าถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ทริช และชีล่าที่เป็นตัวถ่วง ชายหนุ่มคงเลือกที่จะฆ่าอัลท์แมนและยูลีนาสไปแล้ว ไม่ต้องมาลำบากหลีกเลี่ยงการปะทะกับ 2 คนนั้นเช่นนี้

“ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเรานายคงไม่ต้องหลีกเลี่ยงคนบ้า ๆ 2 คนนั้น” เธอพูดด้วยความรู้สึกผิด

“อย่างไรก็ตามถ้าไม่ใช่เพราะเขาเราก็คงไม่ต้องเจอคนบ้า ๆ เช่นกัน … ” ชีล่าที่เพิ่งหยิบน้ำผลไม้ออกมาจากตู้เย็นก็รีบดื่มมันจนหมดก่อนจะพูดอะไรออกไปโดยไม่ทันคิด จากนั้นเธอก็ตัวแข็งทื่อไปครู่หนึ่งและในไม่ช้าใบหน้าที่เกือบจะดูเป็นกังวลก็พุ่งพรวดแสดงอยู่บนใบหน้า “ลี่เฉิน ฉัน … ฉันแค่ล้อเล่นเองหรอกน่า นายไม่ต้องไปแอบอยู่หลังทีน่าแล้วทำอะไร… ”

“ไม่ต้องห่วงชีล่า ผมไม่คิดจะทำอะไรคุณไปตลอดชีวิตแน่นอน” จางลี่เฉินดึงผ้าห่มบนโซฟามาคลุมตัวก่อนจะหันไปพูดกับทีน่า “ทีน่า ผมจะไปหาห้องนอนเพื่อพักผ่อนก่อนสักหน่อย อย่าลืมปลุกผมในเช้าวันพรุ่งนี้ด้วย”

“ลี่เฉิน นี่นายกำลังเล่นมุขตลกใช่ไหม ว้าว ถือเป็นการพัฒนาครั้งใหญ่เลยทีเดียว” ทีน่ามองดูสีหน้าเพื่อนสนิทของเธอที่ต้องการแก้ตัวและไม่กล้าที่จะหัวเราะออกมา จางลี่เฉินหัวเราะเบา ๆ แล้วเดินออกจากเลานจ์ของเรือยอชท์ไปพร้อมกับผ้าห่มที่พันอยู่รอบตัว

บนดาดฟ้า เขาสั่งให้เมานท์โทดกระโดดขึ้นมาบนเรือจากทะเลเพื่อตามเขาเข้าไปยังห้องนอนขนาดใหญ่ท้ายเรือ

แม้จะบอกว่ามันเป็นห้องนอนขนาดใหญ่แต่ก็ไม่สามารถเทียบเคียงกับขนาดห้องพักในโรงแรมได้ อย่างไรก็ตามชายหนุ่มไม่เคยจู้จี้เกี่ยวกับเรื่องที่นอนอยู่แล้ว ภายในห้องมีเตียงนอนขนาดใหญ่และห้องน้ำในตัวแค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะดึงรอยยิ้มอันพึงพอใจได้จากเขา

หลังจากอาบน้ำอุ่นเสร็จจางลี่เฉินก็สวมกางเกงขาสั้นก่อนจะคลานขึ้นไปบนเตียง วางสัตว์อาคมไว้ข้างหน้าแล้วค่อย ๆ นั่งลงในตำแหน่งที่คุ้นเคย

แสงจันทร์แห่งท้องทะเลส่องทะลุผ่านหน้าต่างบนกำแพงห้องโดยสารก่อนจะส่องแสงไปยังด้านหลังที่เต็มไปด้วยก้อนเนื้อและตุ่มหนัง

ชายหนุ่มมองดูสัตว์อาคมของตัวเองและเริ่มวาดโครงร่างของปีศาจที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาในใจของเขาขึ้นมา

 

ปีศาจนี้มีร่างกายที่สมบูรณ์ทุกอย่างเว้นแค่เพียงศีรษะที่ยังไม่ถูกสร้าง จางลี่เฉินรู้ว่าเมื่อถึงเวลาที่ใบหน้าของปีศาจปรากฏขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ มันจะเป็นโอกาสสำหรับเขาที่จะได้กลายเป็นพ่อมดระดับ 6 หากเขาฆ่าอัลท์แมนและยูลีนาสได้ในคืนนี้บางทีเขาอาจจะอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของความเป็นความตายได้เลยก็ได้

“ถ้าเราพึ่งพาวิธีลับในการปลูกฝังก็ต้องรออย่างน้อย 5 – 6 ปีกว่าจะขึ้นไปถึงระดับ 6 อีกกี่ปีกันที่เราจะสามารถรอได้ … 3? 5? หรือ 7?  คงเป็นการดีกว่าที่จะ … ” ช่วงเวลาที่ชายหนุ่มกำลังแสดงความคิดเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด โชคดีที่เขามีตัวช่วยลับในการชำระล้างจิตใจระหว่างการปลูกฝัง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ไตร่ตรองแล้วรู้สึกเป็นกังวลอีกครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อพยายามรวบรวมสภาพจิตใจของตัวเอง

ความสัมพันธ์ลึกลับบางอย่างได้ถูกสร้างขึ้นโดยไม่รู้ตัวระหว่างจางลี่เฉินและเมาน์โทดอย่างค่อยเป็นค่อยไป สัตว์อาคมพ่นควันหนาทึบซึ่งพุ่งตรงเข้าไปยังร่างกายของชายหนุ่มผ่านรูจมูก

ควันหนา ๆ ได้ไปกระตุ้นพลังพ่อมดในร่างกายของจางลี่เฉินจนเกิดการแปรปรวนและแปรสภาพเป็นหนอนแปลก ๆ หลาย 10 ตัวที่หลอมไปด้วยสารพิษและสิ่งสกปรกที่ไม่ได้อยู่ในร่างกายของเขาให้เป็นควันก่อนจะกำจัดมันออกไป

เมื่อควันดำลอยออกมาสัตว์อาคมก็ซึมซับมันเพื่อสร้างการไหลเวียนตามวิธีการปลูกฝังจากนั้นชายหนุ่มก็ตกอยู่ในสภาพที่ดูเหมือนจะเป็นการนอนหลับ

หลังจากฝึกฝนไปได้ชั่วระยะหนึ่งจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนจางลี่เฉินก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงกระซิบที่ดังอยู่ด้านนอกประตู “ลี่เฉิน นายหลับแล้วหรือยัง?”

ชายหนุ่มถูใบหน้าขณะมองดูดวงจันทร์ที่ยังส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างด้วยความงุนงง เขากำลังจะบอกทีน่าว่าเขาไปหลับแล้วและขอให้เธอกลับมาหาเขาใหม่ในวันพรุ่งนี้แทน แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกเหตุผลที่ทีน่ามาหาเขาในตอนเที่ยงคืนขึ้นมาได้เสียก่อน

“เดี๋ยวผมไปเปิดประตูให้” จางลี่เฉินเคลื่อนไหวเมาน์โทดให้กระโดดลงจากเตียงเพื่อไปซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้องก่อนจะรีบไปเปิดประตู

ข้างนอกประตู ทีน่าสวมชุดสายหนังสีดำและชุดชั้นในแบบบาง เมื่อหน้าอกเต็ม ๆ ของเธอยื่นออกมาทักทายเธอพูดว่า “ไงที่รัก! เรือยอชท์ของเราตอนนี้อยู่ห่างจากโอวาฮูได้ 10 ไมล์แล้วดังนั้นตอนนี้นายก็มั่นใจความปลอดภัยได้แล้วนะ คืนนี้ฉันกลัวมากเลย นายช่วยปลอบฉันแบบอ่อนโยนทีจะได้ไหม?”

ทันทีที่พูดจบเด็กสาวก็รีบเคลื่อนตัวและดึงร่างของชายหนุ่มเข้าด้านในห้องพักไปทันที