ตอนที่ 406 รังแกมันกลับไป!

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

“เจ้ามันคือตัวอะไรกันแน่?”  

 

 

ลู่เวยล้วงเอายาออกมาสองเม็ดกลืนกินลงไป เพื่อหยุดเลือดเอาไว้ 

 

 

นางปิดปากแผลบนท่อนแขนเอาไว้ จดจ้องไปยังตู๋กูซิงหลัน 

 

 

ดาบกระดูกมังกร….มีแต่สายเลือดของเผ่ามังกรที่แท้จริงเท่านั้นจึงจะสามารถยกขึ้นมาได้! 

 

 

ไม่….. มังกรธรรมดาก็ยังไม่อาจจะทำให้มันขยับ…..แม้แต่ตัวนางก็ยังต้องฝึกฝนอยู่นานหลายปี จึงจะสามารถทำให้ดาบเล่มนั้นกลายเป็นอาวุธของตนเองได้ 

 

 

“แค่มนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง คิดจะอาศัยอะไรมาขยับอาวุธของข้าผู้เป็นองค์หญิง?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันกุมดาบเล่มนั้นเอาไว้ ชมดูอย่างละเอียดลออครู่หนึ่ง  

 

 

จากนั้นก็สาดสายตากลับไป “อาวุธของเจ้างั้นรึ?” 

 

 

น้ำเสียงนั้นเย็นเป็นน้ำแข็ง ราวกับแท่งน้ำแข็งที่สามารถตัดผ่านคนออกมา 

 

 

ลู่เวยตกตะลึงไปครู่หนึ่ง….. 

 

 

ก็ส่งเสียงโวยวายออกมาว่า “ในเมื่อหยิบออกมาจากด้านหลังของข้า หากไม่ใช่อาวุธของข้า แล้วจะเป็นของเจ้าหรืออย่างไร?” 

 

 

“ข้าคือองค์หญิงแห่งทะเลตะวันตก วันนี้เจ้ากล้าตัดแขนข้าข้างหนึ่ง เท่ากับก่อความแค้นที่ยิ่งใหญ่ดุจท้องฟ้า! แล้วยังคิดจะช่วงชิงของของข้า? พวกมนุษย์ล้วนโลภมากไม่มีสิ้นสุดเช่นนี้นะหรือ?” 

 

 

เมื่อครู่นี้ นางพึ่งจะปล่อยงูน้ำตัวหนึ่งจากแขนเสื้อไปส่งข่าว ขอเพียงสามารถถ่วงเวลาเอาไว้ได้ครู่หนึ่ง เสด็จพ่อกับเสด็จแม่จะต้องมาช่วยเหลือนางอย่างแน่นอน 

 

 

ถึงตอนนั้น…..นังมนุษย์ผู้นี้ก็อย่าได้คิดว่าจะรอดไปได้เลย! 

 

 

ตู๋กูซิงหลันหรี่ดวงตาลง ก็เขวี้ยงมีดบินเล่มหนึ่งออกไปจากแขนเสื้อ ตัดเจ้างูน้ำตัวนั้นขาดสะบั้นเป็นสองท่อนในทันที 

 

 

แต่ว่าลู่อิงกลับมองไม่ทันเสียด้วยซ้ำ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันสะพายดาบยักษ์เอาไว้บนหลัง ใช้มือข้างเดียวกุมดาบกระดูกมังกรเอาไว้ สะบัดดาบออกไป ปาดลงบนข้างแก้มของลู่เวย กรีดลงไปบนปากของนางให้ขาดออกมา 

 

 

“บนตัวดาบเล่มนี้ มีกลิ่นอายของชือหลีอยู่ เจ้ายังจะกล้าบอกว่าเป็นอาวุธของเจ้า?” น้ำเสียงของตู๋กูซิงหลันเย็นเฉียบอย่างที่สุด 

 

 

มนุษย์มัจฉาผู้นั้น ได้บอกเล่าสถานการณ์ของชือหลีให้นางฟังจนหมดแล้ว 

 

 

ชือหลีเองก็เคยบอกเอาไว้ว่า เนื่องเพราะคนในครอบครัวของนางเคยกระทำผิด นางและชือฉิงที่เป็นน้องสาวจึงถูกถอดกระดูกมังกรออกไป 

 

 

ต้องฝึกฝนบำเพ็ญเพียรอย่างหนักหน่วง จึงสามารถอาศัยร่างงูกลายเป็นเทพพิทักษ์แม่น้ำลี่เหอ 

 

 

ดาบกระดูมังกรนี้หลอมขึ้นมาจากกระดูกของมังกร ถึงแม้ว่าจะผ่านเวลามานานหลายปีแล้ว แต่ก็ยังคงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายดั่งเดิมยามก่อกำเนิดได้อยู่ 

 

 

เป็นกลิ่นอายที่เหมือนกันกับชือหลีอย่างไม่ผิดเพี้ยน 

 

 

นางไม่เพียงแต่ถูกบิดาเสเพลผู้นั้นทำร้าย ครอบครัวนี้ยังเอากระดูกมังกรของนางไปหลอมเป็นดาบ มอบให้กับพี่สาวต่างมารดาของนาง? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา ในรอยยิ้มนั้นมีเลือดปนอยู่ 

 

 

นางกับชือหลีผ่านประสบการณ์เสี่ยงชีวิตมาด้วยกัน ย่อมถือว่าชือหลีคือสหายของนางมาตั้งนานแล้ว 

 

 

นางเป็นคนรักพวกพ้อง รักพวกพ้องอย่างยิ่ง! 

 

 

คนของนาง ผู้อื่นล้วนไม่อาจแตะต้อง! 

 

 

หากว่า กล้าลงมือ ก็ต้องสนองกลับไปเป็นร้อยเป็นพันเท่า! 

 

 

มุมปากของลู่เวยถูกกรีดขาด ดวงตาของนางมีแต่ความเคียดแค้นยิ่งกว่าเดิม! 

 

 

มีกลิ่นอายของชือหลีแล้วจะอย่างไร? 

 

 

นางมันก็แค่เศษสวะ! กระดูกของมันสามารถมาหลอมเป็นดาบให้นางใช้ได้ก็ต้องถือเป็นวาสนาของมันแล้ว! 

 

 

มารดาที่ไร้ค่าของนาง ตอนนั้นทำร้ายผู้คนจนต้องกลายเป็นวิญญาณไปทั้งเมือง ทำผิดด้วยก่อการฆ่าฟันครั้งยิ่งใหญ่ นางคือลูกหลานของนักโทษ แล้วจะมาเปรียบเทียบกับตนที่เป็นองค์หญิงที่แท้จริงของทะเลตะวันตกได้อย่างไร? 

 

 

ตัวนางลู่เวยเห็นค่าในกระดูกมังกรของชือหลี ก็ต้องถือว่าเป็นบุญที่ชือหลีสั่งสมมาแปดชาติด้วยซ้ำ! 

 

 

นางอ้าปากขึ้นมา คิดจะเถียงกลับไป ก็เห็นตู๋กูซิงหลันพุ่งมาถึงด้านหน้าของนางกระโดดถีบลงมาทั้งสองเท้า 

 

 

“อย่ามากล่าววาจาไร้สาระกับเจ้!” นางไม่มีอารมณ์จะมาอดทนอีกต่อไป พอกำดาบกระดูกมังกรเอาไว้ในมือ ก็รู้สึกเหมือนถือกระดูกของชือหลีเอาไว้ หนักหน่วงอย่างยิ่ง 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยก็พลิกร่างลงจากหลังของราชาสุนัขป่าเช่นกัน ใบหน้าที่เคยแต่อบอุ่นอ่อนโยนมาโดยตลอด ตอนนี้ยังดูถมึงทึงเสียยิ่งกว่าตู๋กูซิงหลันอีก 

 

 

เขาไม่ใช่คนโง่ ถึงแม้จะไม่รู้อย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นกับชือหลี แต่จากคำสนทนาที่โต้ตอบกันก็รู้แล้วว่า ชือหลีถูกคนรังแก 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยคุกเข่าลง กำหมัดซัดลงไปบนใบหน้าของลู่เวย “มารดามัน พวกเจ้าทำอะไรกับชือหลี?” 

 

 

ถึงตู๋กูเจวี๋ยเป็นคนปากมาก แต่ยามพูดจาก็มีมารยาทและหลักการอยู่เสมอ 

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาหยาบคาย 

 

 

พอคิดว่าช่วงที่ผ่านมาชือหลีคงจะถูกพวกที่ไม่ใช่คนเหล่านี้รังแกมาโดยตลอด ดวงตาของเขาก็แดงก่ำขึ้นมาแล้ว 

 

 

ช่างสมควรตาย……เขานึกว่านางเป็นเทพ ที่มีความสามารถตบตีผู้อื่นอยู่เสมอ แต่กลับนึกไม่ถึงว่า เทพก็ถูกรังแกได้เหมือนกัน 

 

 

หนึ่งหมัดที่กระแทกลงไปทำให้แผลตรงปากของลู่เวยฉีกขาดมากกว่าเดิม 

 

 

นางเจ็บจนต้องสูดลมหายใจเข้าไปอึกหนึ่ง มองดูบุรุษที่ผ่ายผอมชุดขาวผู้นี้ 

 

 

ทำไมมนุษย์ธรรมดาสองคนถึงสามารถทำร้ายนางได้ถึงเพียงนี้? 

 

 

ไม่รอให้ลู่เวยตอบคำถาม ก็เห็นตู๋กูเจวี๋ยต่อยอีกหมัดตามลงไป “พวกเจ้าถอดกระดูกของชือหลีเอามาทำดาบหรือ?” 

 

 

เห็นท่าทางของน้องเล็กเขาก็รู้แล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันหรี่ตามองดู พี่รองที่สองตาแดงก่ำ หนุ่มน้อยผู้นี้ช่างชักช้าอืดอาดจริงๆ…..หากไม่ช่วยเหลือเขาสักหน่อยเกรงว่าทั้งชาติคงไม่อาจหาภรรยาได้สักคนเดียว 

 

 

นางปล่อยให้เขาได้ระบายอารมณ์อย่างเต็มที่ 

 

 

พี่รองกระหน่ำลงไปเจ็ดแปดหมัดติดต่อกัน จนแทบจะทำให้ศีรษะของลู่เวยกลายเป็นหมั่นโถไปแล้ว เขาถึงได้หยุดมือ 

 

 

อย่าได้เห็นว่ายามปกติหนุ่มน้อยผู้นี้รู้จักแต่สุภาพนุ่มนวล พอลงมือขึ้นมาก็สุดชีวิตเหมือนกัน พละกำลังก็ยังมากมายเกินกว่าที่ตู๋กูซิงหลันคาดการณ์เอาไว้เสียอีก 

 

 

นางเหลือบมองดูหมัดของเขา เห็นมันแดงก่ำ จนผิวก็ยังถลอกออกมา 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเก็บดาบกระดูกมังกรขึ้นมา เอ่ยกับพี่รองของตนเองคำหนึ่ง “ครั้งนี้ชือหลีถูกรังแกจนย่ำแย่แล้ว” 

 

 

“ถ้าเช่นนั้นก็ยิ่งต้องรังแกกลับไป!” ดวงตาของพี่รองแดงเข้มขึ้นมาในทันที 

 

 

เขาเข้ามาถึงข้างกายตู๋กูซิงหลัน ยื่นมือไปจับดาบยักษ์ที่นางแบกเอาไว้บนหลัง 

 

 

ยกมัน แต่กลับไม่มีอะไรขยับแม้แต่น้อย 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ย “…..” เขาชักจะสงสัยว่า ตนเองไม่ใช่ลูกแท้ๆของบิดามารดาหรือเปล่า ทำไมเวลาเห็นพี่ใหญ่กับน้องเล็กแบกดาบยักษ์นี้เอาไว้ กลับดูง่ายดายเหมือนดั่งยกมีดหั่นผัก  

 

 

ผ่านไปอีกพักใหญ่เขาถึงได้เก็บมือกลับไป 

 

 

“ต่อให้ข้าต้องน้ำลายแห้งผาด ก็จะขอถุยใส่เจ้าพวกต่ำช้าที่รังแกนางให้ถึงตาย!” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “มีความก้าวหน้า” 

 

 

……………………. 

 

 

พูดจบแล้วก็เห็นบรรดาสัตว์น้ำที่รายล้อมพวกเขาเอาไว้พากันแตกตื่นขึ้นมา 

 

 

เดิมทีพวกมันกำลังจดจ้องมาที่ลู่เวย กลิ่นคาวจากเลือดของนางน่าดึงดูดมากเกินไปแล้ว แต่เพราะว่าตู๋กูซิงหลันยังอยู่ใกล้ๆกับลู่เวย ในมือของนางถือดาบกระดูกมังกรอยู่ จึงไม่กล้าเคลื่อนไหวอย่างวู่วาม 

 

 

เหล่าวิญญาณคนตายหลายร้อยยังคงคอยอยู่ด้านหลังของตู๋กูซิงหลัน ล่องลอยไปมาอยู่ในท้องทะเล แต่ละตนมีไอแค้นรุนแรง ยังดูดุร้ายยิ่งกว่าพวกผีตายโหงเสียอีก 

 

 

แต่แล้วในตอนนั้นเอง เหล่าสัตว์น้ำพากันแตกตื่นขึ้นมา แม้แต่พวกวิญญาณคนตายก็ยังพลอยไม่สงบไปด้วย 

 

 

แต่ละตนมองลึกเข้าไปในท้องน้ำ 

 

 

ที่นั่นมีเสียงดนตรีล่องลอยออกมา 

 

 

“ยามตายของเจ้ามาถึงแล้ว!” ลู่เวยทนเจ็บ เอ่ยออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด 

 

 

จะต้องเป็นเสด็จพ่อเสด็จแม่ที่ได้รับข่าวของนางจึงรีบมาช่วยเหลืออย่างแน่นอน! 

 

 

ดวงตาของตู๋กูซิงหลันเย็นชาดุจน้ำแข็ง นางสะบัดเท้าออกไป ถีบใส่ปาก คราวนี้กระทั่งฟันก็ยังร่วงออกมา 

 

 

นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาคำหนึ่ง “ยามตายของพวกเจ้ามาถึงแล้วต่างหาก” 

 

 

จากนั้นมือข้างหนึ่งก็คว้าคอเสื้อของลู่เวยขึ้นมา ยันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่งถูกผนึกลงไปบนหน้าผากของนาง ตู๋กูซิงหลันก้าวเท้าออกไปข้ามผ่านเหล่าสัตว์น้ำมากมาย มุ่งตรงไปยังทิศทางของวังมังกร 

 

 

เหล่าวิญญาณคนตายต่างก็ติดตามอยู่ด้านหลังของนาง กลายเป็นกองทัพที่คึกคักฮึกเหิม 

 

 

ตู๋กูซิงหลันหิ้วลู่เวยเอาไว้ราวกับว่าเป็นลูกเจี๊ยบตัวหนึ่ง นางสะพายดาบยักษ์ นำพี่รอง ราชาสุนัขป่าและติ๊งต๊องผ่านปากประตูวังมังกรเข้าไปภายใน 

 

 

…………………………. 

 

 

ส่วนลึกของทะเลตะวันตกไม่มีการแบ่งแยกกลางวันหรือกลางคืน 

 

 

วันนี้วังมังกรแต่งบุตรสาว ถือเป็นมงคล 

 

 

แต่ละตำหนักในวังประดับประดาไปด้วยไข่มุกราตรี จนทั่วทั้งตำหนักเปล่งประกายสุกใส 

 

 

บนเสาทองของตำหนักกลางยังคงมีคราบเลือดเกาะอยู่ แต่กลับไม่มีเงาของชือหลีแล้ว 

 

 

 

 

 

 

 

 

……………………………………….. 

 

 

ตอนต่อไป “ข้า ฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นเหยียน ตู๋กูซิงหลัน”