ตอนที่ 1154 - อสูรเนรมิตรขั้นหนึ่ง

The Divine Nine Dragon Cauldron

ซือหยูมองดูเทพไม้ที่กำลังจะใช้พลังพิเศษและพูดไม่ออก…นางกำลังจะกดพลังเทพของตัวเองรึ?ทำไมเทพไม้ถึงได้ประมาทเลินเล่อเช่นนี้?
  ภาพเทพไม้ที่อ่อนโยนสง่างามในจินตนาการของเขาพังทลายในทันที
  “นี่หนุ่มน้อย ข้าเสร็จแล้ว!”
  เทพไม้บอกอย่างอารมณ์ดี
  เร็วขนาดนี้เชียว?ซือหยูยืดสัมผัสออกไปนอกขอบเขตเทพ เขาตกใจ
  ลาวาใต้ดินไปไหนกัน?ชาวเผ่าไม้ที่เหลือล่ะ? แม้แต่ผิวดินก็ถูกลบหายไป เหลือแต่หลุมลึกหมื่นศอก
  แม้แต่ร่างจริบของเทพไม้ที่แผ่รากไปทั่วจิวโจวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
  สิ่งที่เหลือในป่าปีศาจร้างมีเพียงต้นไม้สีทองต้นเล็กที่ลอยอยู่  “พวกเขาหายไปไหนกัน?”
  ซือหยูถามด้วยความตกใจ
  หญิงสาวกระพริบตาราวกับว่ากำลังมองคนไร้ปัญญา
  “ก็กลับไปในโลกของข้าน่ะสิเจ้าคิดว่าพวกนั้นจะอยู่ที่ไหน?”
  เอิ่ม…
  ซือหยูไม่แน่ใจว่าจะพูดอะไรอีกแล้ว
  “เอาล่ะพาข้าไปได้แล้ว”
  เทพไม้ไม่ได้ทำเหมือนว่าตัวเองเป็นแขกที่รบกวนชายคาของคนอื่นเลยนางเหมือนกับสัตว์เลี้ยงที่รีบรบเร้าให้ซือหยูพานางกลับบ้าน
  ซือหยูออกจากขอบเขตเทพและนำต้นไม้สีทองต้นเล็กที่ลอยอยู่เข้าสู่มุกวิญญาณเก้าหยก
  ทันทีที่ซือหยูนำนางเข้าไปด้านในวิญญาณของเขาก็เข้าไปด้านในนั้นเช่นกัน เขาได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างประหลาดใจทันที  “อ๊ะ!ดินเพาะบ่มมากมายขนาดนี้ ฮ่าๆๆๆๆๆ ข้ารวยแล้ว! จากนี้ไปที่นี่จะเป็นบ้านข้า ข้าจะสู้กับทุกคนที่พยายามแย่งมัน!”
  “ว้าว!ผีเสื้อโกลาหลห้าสี! น่าจะมีค่ามากทีเดียว เอามันไปเป็นตัวอย่างดีไหมนะ?”
  “เฮ้ผีน้อยตรงนั้นน่ะ ชงชาให้ข้าเร็ว! กล้าดียังไงปฏิเสธข้า? อย่าไปไหนนะ เจ้ากำลังรังแกข้าที่ยืนไม่ได้เรอะ? ฮื่ม!”
  …
  ซือหยูสีหน้าหม่นหมองเมื่อได้ยินเสียงความวุ่นวายข้างในมุกวิญญาณเก้าหยกนี่มันเหมือนกับราชาจากภูเขาที่หนีรังโจรลงมาข้างล่างไม่ใช่รึ?
  ทันทีที่ซือหยูกำลังจะกลับเขตกลางเสียงของเทพไม้ก็ดังขึ้น
  “หนุ่มน้อยเจ้าต้องระวังคำสาปที่ติดตัวเจ้าด้วย”
  ซือหยูกลัวอยู่บ้างก่อนราชาเขตกลางจะตาย เขาได้สร้างคำสาปด้วยพลังเทพอสูรติดกับอกของซือหยูเอาไว้
  ด้วยพลังของเทพอสูรแม้แต่ทรายดาราทางช้างเผือกก็ลบมันไม่ได้
  “ต้นกำเนิดพลังเทพอสูรน่ากลัวสำหรับเทพอสูรถ้ามีคนพบเจ้ากับคำสาปนั้น เจ้าจะตายในไม่นาน”
  เทพไม้ขู่
  ซือหยูถาม
  “นี่ไม่ใช่คำสาปที่ไร้เพื่อทำร้ายกายหยาบข้าหรือ?”
  “ไม่ใช่มันคือรอยจากเทพอสูร ตราบเท่าที่เจ้าอยู่ในพื้นที่ของเทพอสูร เทพอสูรคนนั้นจะสัมผัสเจ้าได้”
  ซือหยูถามต่อไป
  “แล้วไกลเท่าใดถึงจะอยู่ในอาณาเขตของเทพอสูรกัน?”
  “ไม่ไกลหรอกอาจจะครึ่งจักรวาล แต่ก็โชคร้าย เจ้าอยู่ในพื้นที่องเขา”   เทพไม้พูดพลางยิ้ม
  “ข้าคิดว่าเขากำลังเดินทางมาหาเจ้า”
  อะไรนะ?ซือหยูสีหน้าหม่นหมองในทันที!
  “แต่สบายใจได้ข้าผนึกคำสาปของเจ้าไปแล้ว นอกจากเขาจะเผชิญหน้ากับเจ้าตรง ๆ เขาจะสัมผัสเจ้าไม่ได้”
  เทพไม้พูดเสริม
  ซือหยูเหลือบมองด้วยเนตรวิญญาณและไม่พบคำสาปรูปกะโหลกอสูรของตัวเองมันถูกปิดไว้ด้วยเศษใบไม้ทองคำ
  นางทำตั้งแต่เมื่อไหร่?เขาไม่รู้ตัวเลย! ซือหยูรู้สึกตกใจอยู่ข้างใน
  แม้จะเป็นเซียนขั้นสูงสุดเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าเทพ เขาก็ไม่ต่างจากทารกเลยไม่ใช่รึ?
  “ใช่กล้ามเนื้อที่หน้าอกจะแข็งแรง แต่ข้าไม่แน่ใจว่าข้างล่างจะแข็งแรงด้วยหรือไม่…”
  นางพูดพลางหัวเราะ
  ซือหยูหน้าแดงเขากัดฟันด้วยความแค้น  “เจ้า…เจ้ามันคนโสมม…ต้นไม้โสมม!”
  คำตอบที่เขาได้รับคือเสียงหัวเราะราวกับระฆังกังวาล
  …
  เมื่อกลับมายังเขตกลางด้วยอารมณ์สิ้นหวังซือหยูคิดถึงสถานการณ์ของตัวเองอีกครั้ง
  พ่อของราชาเขตกลางเทพที่เทพอีกคนต้องหวาดกลัวกำลังหมายตาเขา แม้จะมีเทพไม้ ไม่สิ ผู้หญิงโสมมปกป้องเขา เขาก็ต้องระวังให้มาก
  ระหว่างเดินทางกลับฐานพลังของซือหยูลดลงอย่างรวดเร็ว
  สุดท้ายเขาจะกลายเป็นภูติระดับเก้าตามเดิม
  นอกจากนั้นก็ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรให้กังวล
  สิ่งที่เขาต้องทำก็คือรอคอยอีกหกวันวันที่เคลื่อนย้ายทวีป เขาจะขึ้นเรือและจากไป
  แต่ซือหยูไม่รู้เลยว่าการเคลื่อนไหวของเขาได้ทำให้เกิดความวุ่นวายในจักรวาล
  ในจักรวาลกว้างใหญ่อันมืดมิดสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนรวมตัวกันกลืนกินสิ่งมีชีวิตที่เดินออกมาจากโลกอื่น
  นอกจิวโจวเรือสีเพลิงลำเล็กกำลังบินเข้ามา
  มีสองคนที่อยู่บนเรือหนึ่งในนั้นคือผู้คุมกฎที่เข้าจิวโจวมาก่อนหน้า
  เขากำลังนั่งอยู่บนเรือด้วยใบหน้าเศร้าเขาก้มหน้ามองร่างชายหนุ่มอวดดี
  ดวงวิญญาณจากไปแล้วเหลือแต่เพียงกายหยาบอันว่างเปล่า
  “เมิ่งเค่อเจ้าเจอกับคนที่แข็งแกร่งในโลกจิวโจวรึ?”
  ตรงข้ามเขาคือชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อผ้าธรรมดาพลังของเขาน่ากลัวมาก เขาเป็นเซียนขั้นสี่!
  เมิ่งเค่อกล่าว
  “ท่านแม่ทัพข้ากลับมาทันทีหลังได้รับคำสั่งจากท่าน ข้าได้ดวงวิญญาณเทพอสูรกระดูกโรยกลับมาและกลับมาบนเรือ”
  “ข้าไม่ได้ตรวจสอบคนที่แข็งแกร่งในจิวโจวมากนักแต่ตลอดทางที่ข้าจับเทพอสูร ข้าสัมผัสได้ว่ามีเซียนหลายคนเป็นแค่ขั้นสอง”
  ชายวัยกลางคนส่ายหน้า
  “เป็นไปไม่ได้ต่อให้มีเซียนขั้นสองหลายคน ฉินคั่วก็น่าจะรอดกลับมาได้ ในจิวโจวจะต้องมีคนที่แข็งแกร่งกว่าข้า!”
  เมิ่งเค่อตัวแข็งทื่อ
  “อะไรที่ทำให้ท่านคิดเช่นนั้น?เทพจิวโจวตายไปหมื่นปีแล้ว สิ่งมีชีวิตที่นั่นอยู่และตายด้วยตัวเอง พวกมันอ่อนแอลงเรื่อยมา มันจะมีพลังเหนือท่านได้อย่างไร?”
  ชายวัยกลางคนถอนหายใจ
  “ตอนที่เจ้าข้ามโลกเพื่อทำภารกิจข้าสัมผัสคลื่นพลังของเซียนขั้นสูงสุดได้สองตำแหน่ง ถึงจะเล็กน้อยก็ไม่ผิดแน่! แม้แต่วิญญาณฉินคั่วยังหนีออกมาไม่ได้ เขาจะต้องตกไปอยู่ในมือของเซียนขั้นสูงสุดสองคนนั้น”
  “…โลกเสื่อมถอยเช่นนั้นจะยังมีเซียนขั้นสูงสุดอยู่รึ?”
  เมิ่งเค่ออ้าปากค้างเขารู้สึกโชคดีที่เขาไม่ทำตัวยิ่งใหญ่แม้จะทำหน้าที่ของผู้คุมกฎ มิเช่นนั้นเขาคงจะตายเพราะเซียนสองคนนั้นไปแล้ว ฉินคั่วคือบทเรียนที่ดีที่สุด
  ชายวัยกลางคนเหลือบมองจักรวาลมืดมิดอย่างเย็นชาและแสยะยิ้ม
  “เจ้าถึงคิดว่าเรือหลายสิบที่ซ่อนไว้ในระยะหนีไปเพราะอะไร?พวกมันกลัวพลังของเซียนสองคนนั้น!”
  นี่คืออีกเหตุผลที่เขาต้องรีบเรียกเมิ่งเค่อกลับมา
  ดูเหมือนว่าโลกจิวโจวที่กำลังเหี่ยวเฉาแท้จริงจะเป็นจระเข้ตัวยักษ์ที่กำลังแอบซุ่มโจมตี!
  “แต่จะทำอย่างไรกับฉินคั่วล่ะ?ตายระหว่างทำหน้าที่ย่อมต้องมีคนรับผิดชอบ ที่แย่กว่าคือเขามาจากตระกูลฉิน”
  เมิ่งเค่อกล่าว
  ชายวัยกลางคนหายใจเข้าลึก
  “ข้าจะทำอะไรได้เล่า?ข้าบอกผู้อาวุโสผู้คุมกฎที่ใกล้ที่สุดแล้ว พวกเขาจะจัดการกันเอง เราได้แต่สังเกตการณ์เท่านั้น”
  เมื่อพูดถึงผู้อาวุโสผู้คุมกฎกล้ามเนื้อบนใบหน้าเมิ่งเค่อสั่น
  ผู้คุมกฎนั้นแบ่งเป็นหลายฝ่ายส่วนมากก็เหมือนกับเขาที่ทำภารกิจหลักในการกำจัดอสูร ทุกคนมีความแข็งแกร่ง และจะนำคนที่อ่อนแอกว่าไปช่วยทำภารกิจด้วย
  แต่ผู้คุมกฎส่วนน้อยก็มีหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไปภารกิจเองก็จะพิเศษตามไปด้วย
  เช่นเหล่าผู้อาวุโสผู้คุมกฎพวกเขาจะทำหน้าที่เหนือกว่าผู้คุมกฎทั่วไป ภารกิจของพวกเขาคือจัดการเรื่องเร่งด่วนและมีอำนาจในการสั่งการผู้คุมกฎทุกหน่วย และยังลงโทษหน่วยที่ทำผิดกฎได้อีกด้วย แม้ว่าจะต้องลงมือก่อนและรายงานทีหลังก็ตาม!
  ผู้คุมกฎทั่วไปต้องเงียบเพราะความกลัวในผู้คุมกฎชั้นสูงเหล่านี้
  “ก็ดีให้พวกเขาดูแลเรื่องนี้เถอะ”
  เมิ่งเค่อกล่าวเขาเห็นว่ามีเหงื่อเย็นไหลออกมาจากหน้าผากชายวัยกลางคน
  …
  ซือหยูที่กำลังบ่มเพาะพลังได้ชุบชีวิตคนห้าคนในวันแรกนี่คือขีดจำกัดของฝ่ามือเทพแห่งชีวิต
  เขาชุบชีวิตกังต้าเหล่ยหยูโหรว ม่ออู๋ ฉีตงไล่ และฉีหยุนเซี่ยง
  ในวันถัดมาเขาชุบชีวิตจ้าวคณะวิหคเพลิง หลงจื้อชิง หลินหยุนฮี ฉิวหนิงชุาย และผู้เฒ่าเหลียว
  ส่วนวันต่อๆ มา ซือหยูก็ชุบชีวิตคนอีกมากมาย
  ในวันที่หกเขาได้ชุบชีวิตคนรวมสามสิบคน ทุกคนคือสหายเก่าของเขาในอดีต  ซือหยูรู้สึกพอใจมาตลอดหกวัน
  ถ้าหากเขาได้พลังชุบชีวิตมาเร็วกว่านี้การชุบชีวิตอาจารย์ลี่กวงเองก็เป็นไปได้เช่นกัน ใช่หรือไม่?
  ซือหยูมองกังต้าเหล่ยใกล้ๆ และพบว่านอกจากกะโหลกสีทองของเขาก็ไม่มีอย่างอื่นที่พิเศษ
  หลังจากคืนชีพแล้วซือหยูส่งพวกเขาไปยังเมืองเฉินหลง และผู้คนก็แตกตื่นกันเป็นอันมาก
  คนสำคัญที่ตายไปกลับมามีชีวิตได้ยังไง?แม้จะงุนงง พวกเขาก็เข้าใจว่ามันคือพลังของเซียนขั้นสูงสุด
  ในระดับของพวกเขาเซียนขั้นสูงสุดคือระดับที่มิอาจเอื้อมถึง เพราะมันคือตัวตนที่ลึกลับมาก
  เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นซือหยูจึงมีอารมณ์ที่จะตรวจสอบร่างกายของตัวเอง
  หลังจากหกวันพลังของเขาลดลงมาเหลืออสูรเนรมิตรขั้นหนึ่ง
  เขามีพลังในระดับนี้ทั้งวันและไม่ได้เปลี่ยนแปลงพลังอีก
  “หึหึเจ้าหนู ยินดีด้วย เจ้าผ่านวิบัติและก้าวข้ามขอบเขตจ้าวเทวะแล้ว”
  เสียงของเทพปีศาจที่หายไปนานดังขึ้น
  ซือหยูผงะ
  “วิบัติจบลงแล้วรึ?เป็นไปไม่ได้ ยังมีวิบัติต่อไปในอีกสามวัน! มันจบล่วงหน้าได้ยังไง?”
  “คงจะเป็นเพราะเด็กสาวที่หลงรักเจ้าหากวิบัติเกิดขึ้นเพราะนาง และนางหายไป วิบัติก็ย่อมจากไปด้วย”
  เทพปีศาจกล่าว
  ซือหยูคิด
  “วิบัติหายไปเองได้ด้วยหรือ?”
  เทพปีศาจส่ายหน้า
  “แน่นอนว่ามันจะไม่หายไปข้าแค่บอกว่ามันจากไป ไม่ได้บอกว่ามันหายไปไหน”   ซือหยูอ้าปากค้างด้วยความกลัว
  “เจ้าจะบอกว่าวิบัติย้ายไปอยู่ที่เซี่ยจิงหยูแทนเรอะ?”
  “นั่นก็เป็นคำอธิบายเดียว”
  เทพปีศาจมองเขาด้วยความอิจฉา
  “ยากนักที่หาสตรีที่หลงรักเจ้าจนยอมสละชีวิตเพื่อเจ้าแต่เจ้ามีสตรีเช่นนี้ถึงสองคน เจ้าช่างโชคดีนัก”