ตอนที่ 624 การค้นพบครั้งใหญ่

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ในเวลานี้ ป่าวังชาเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึง

ป่าวังชาซึ่งเดิมทีมีผู้คนเข้า-ออกอย่างต่อเนื่องอยู่แล้วกลับมีชีวิตชีวามากขึ้นอีกในช่วงที่ผ่านมา

เมื่อได้ทราบข่าว จอมยุทธ์หลายคนก็สงสัยใคร่รู้และออกสำรวจบริเวณโดยรอบป่าวังชาเพื่อพยายามค้นหาความจริงของเหตุการณ์นี้ ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้รับเบาะแสใด ๆ

ฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและลูกครึ่งเอลฟ์สั่วซีหย่าแฝงตัวปะปนอยู่ในหมู่ผู้คนเหล่านั้นและแอบฟังบทสนทนาของพวกเขาเพื่อรวบรวมเบาะแส

“นายหญิง ตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าเคยอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้และยังจำได้ดีว่าเคยอยู่ที่ใด”

สั่วซีหย่ากล่าวขึ้นเบา ๆ หลังจากยืนยันได้ว่าป่าวังชาแห่งนี้คือที่ที่กำลังตามหา

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนพยักศีรษะ ในเมื่อไม่ได้เบาะแสใดที่เป็นประโยชน์ ทั้งสองจึงตัดสินใจที่จะหาทางเข้าไปสู่ชนเผ่าเอลฟ์ด้วยตนเอง

ด้วยการนำทางของสั่วซีหย่า ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็มุ่งหน้าตรงเข้าไปในป่าลึกทันที ในส่วนลึกของป่าวังชามีพื้นที่เปิดโล่งแห่งหนึ่งและในพื้นที่เปิดโล่งนี้ก็มีบ้านไม้ไผ่ขนาดเล็กหลังหนึ่งตั้งอยู่

รอบตัวบ้านไม้ไผ่หลังเล็กมีแถวแนวรั้วและประตูที่เรียบง่าย ตอนนี้ประตูของมันปิดสนิทและมีหยากไย่บางส่วนปรากฏให้เห็น ดูเหมือนว่าจะไม่มีผู้ใดแวะเวียนมาหรือพักอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลานานแล้ว

หลังจากผลักประตูเปิดออกและเดินเข้าไป ภายในนั้นก็มีห้องธรรมดาที่เรียบง่ายและมีโต๊ะฝุ่นเขรอะรวมถึงเก้าอี้และถ้วยน้ำชาโดยไม่มีสิ่งของล้ำค่าอื่นใด

ดวงตาของสั่วซีหย่าแดงก่ำเล็กน้อยราวกับกำลังนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่มารดาของนางถูกสังหารโดยกลุ่มคนชั่วช้า

“นายหญิง นั่งก่อนเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะชงชาร้อน ๆ ให้ท่านดื่ม”

หลังจากช่วยฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือปัดเช็ดฝุ่นทำความสะอาดเก้าอี้ สตรีลูกครึ่งเอลฟ์ก็เดินออกไปด้วยใบหน้าเศร้าสร้อยและดวงตาแดงก่ำ ห้องเล็กห้องนี้เต็มไปด้วยความทรงจำวัยเด็กของนาง และการกลับมาที่นี่อีกครั้งทำให้หัวใจดวงน้อยของนางอ่อนไหวขึ้นมา

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมองสำรวจรอบบ้านและอดจินตนาการไม่ได้ว่าสองแม่ลูกคงจะมีความสุขกันยิ่งนัก แม้ไม่มีความรักจากบุรุษผู้เป็นบิดาและสามี สั่วซีหย่าและมารดาก็ใช้ชีวิตกันอย่างอบอุ่น

“การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในป่าวังชาน่าจะเกี่ยวข้องกับชนเผ่าเอลฟ์ และข้าก็คิดว่าต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ภายในชนเผ่าเอลฟ์ก็คงจะเป็นต้นโพธิ์ที่เรากำลังตามหาอยู่เช่นกัน”

หานโม่ฉือกล่าวข้อสันนิษฐานของตนออกไปทว่าไม่รู้สึกประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในผืนป่าแห่งนี้มากนัก

ฉินอวี้โม่ก็มีข้อสันนิษฐานที่ตรงกับหานโม่ฉือ ทว่านางสงสัยใคร่รู้ยิ่งกว่าว่าสิ่งใดกันที่เกิดขึ้นกับชนเผ่าเอลฟ์และต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์จนทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้มากถึงเพียงนี้

ยิ่งไปกว่านั้น หากต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์คือต้นโพธิ์ที่พวกนางกำลังตามหาอยู่จริง เหตุใดฝ่ายมารจึงไม่หาทางยึดครองมันไปหรือทำลายมัน ทว่าปล่อยให้มันเติบโตอยู่ในชนเผ่าเอลฟ์ต่อไปเช่นนี้ ต้องกล่าวเลยว่าต้นโพธิ์เป็นศัตรูตัวฉกาจของบุปผาแห่งความมืดอย่างแท้จริง หากต้นโพธิ์ถูกทำลายและพวกนางไม่สามารถตามหาบุปผาแห่งแสงได้พบ ข้อได้เปรียบของฝ่ายมารก็จะเพิ่มมากขึ้นอีกและหากเกิดสงครามขึ้นในอนาคตข้างหน้า โอกาสที่ขุมกำลังมารร้ายจะได้รับชัยชนะก็เพิ่มมากขึ้นอย่างมหาศาล

หลังจากหยิบแผนที่ระบุทางเข้าของชนเผ่าเอลฟ์ออกมา ฉินอวี้โม่ก็เริ่มศึกษามันอย่างจริงจัง ตำแหน่งที่ระบุบนแผนที่ฉบับนั้นอยู่ไม่ไกลจากที่ที่พวกนางอยู่ในตอนนี้

“นายหญิง ข้ารู้จักที่นั่น เพียงแต่ข้าไม่เคยเห็นทางเข้าของชนเผ่าเอลฟ์และไม่ทราบเลยว่ามีค่ายกลเคลื่อนย้ายอยู่ที่นั่น”

สั่วซีหย่าเดินเข้ามาในห้องและเห็นพิกัดดังกล่าวในแผนที่ตรงหน้าฉินอวี้โม่ซึ่งเป็นบริเวณที่นางคุ้นเคยอยู่ไม่น้อย

นางจำได้ดีว่าในบริเวณนั้นมีทะเลสาบแห่งหนึ่งซึ่งไม่มีทางเข้าหรือค่ายกลเคลื่อนย้ายอยู่รอบ ๆ และมันก็ไม่มีความผันผวนของพลังงานแต่อย่างใด

หากสั่วซีหย่ารู้จักที่นั่น สิ่งต่าง ๆ ก็น่าจะง่ายมากขึ้น หลังจากนั่งพักอยู่ในห้องเป็นระยะเวลาหนึ่ง ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็มุ่งหน้าตรงไปยังทะเลสาบภายใต้การนำทางของสตรีครึ่งเอลฟ์

ภายในเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป ทะเลสาบผืนใหญ่ก็ปรากฏให้เห็นตรงหน้าทั้งสาม มันคือทะเลสาบที่มีน้ำใสชัดและดูสะอาดสะอ้านจนผิดปกติ รวมถึงบรรยากาศโดยรอบก็สดชื่นอย่างยิ่งซึ่งทำให้ทุกคนที่เข้ามาในบริเวณนี้รู้สึกสดชื่นสบายใจเป็นอย่างมาก

“ที่นี่แหละเจ้าค่ะ ตอนเด็กข้าเคยมาที่นี่เพื่อเล่นและอาบน้ำอยู่บ่อย ๆ แต่ข้าไม่เคยเห็นทางเข้าใด ๆ”

สั่วซีหย่ายิ้มบาง ๆ ขณะนึกถึงความทรงจำวัยเด็กอีกครั้ง เมื่อครั้งยังเด็ก ชีวิตของนางในตอนนั้นนับว่ามีความสุขยิ่งนัก

เมื่อเดินมาหยุดตรงหน้าทะเลสาบผืนใหญ่และวักน้ำสะอาดขึ้นมา ฉินอวี้โม่รู้สึกถึงความอบอุ่นอย่างชัดเจน หลังจากจิบน้ำใสเล็กน้อย ความหวานลื่นคอของน้ำทะเลสาบก็ทำให้นางสดชื่นขึ้นมาก

หานโม่ฉือมองดูการเคลื่อนไหวของสตรีคนรักและรอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏบนใบหน้า

พิกัดตามแผนที่คือที่นี่และทางเข้าของชนเผ่าเอลฟ์ก็น่าจะอยู่ในบริเวณนี้ อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่กวาดสายตามองไปรอบ ๆ และไม่พบค่ายกลเคลื่อนย้ายหรือกลไกใด ๆ จนรู้สึกสับสนอยู่พักใหญ่

“มีคนมา…”

ในขณะที่กำลังมองหาทางเข้าอยู่นั้น เสียงฝีเท้าของคนมากกว่าหนึ่งคนก็ดังขึ้น ทั้งสามจึงเข้าไปซ่อนตัวในคฤหาสน์ล่องหนทันที

หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ร่างของบุรุษสามคนก็ปรากฏใกล้กับทะเลสาบ

ผู้มาใหม่ทั้งสามสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่และบดบังใบหน้าจนมองเห็นได้ไม่ชัด พวกเขาต่างก็มีพลังอยู่ในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุดซึ่งถือว่าไม่ธรรมดาเลย

“หัวหน้า เรามาทำอะไรกันที่นี่ ?”

เสียงของหนึ่งในสามคนดังขึ้น และทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น ร่างของสั่วซีหย่าก็ชะงักนิ่งไปเล็กน้อย มันคือเสียงที่ฟังดูคุ้นหูราวกับนางเคยได้ยินมาจากที่ใดสักแห่ง

“นายจ้างติดต่อเรามาอีกคราโดยบอกว่ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องการวานให้เราทำ คนผู้นั้นบอกให้เรามารอที่นี่และควรจะปรากฏตัวในไม่ช้า”

อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นตอบคำถาม ซึ่งเสียงนั้นเป็นเสียงของผู้ที่ถูกเรียกว่าหัวหน้า

เมื่อได้ยินเสียงนั้น ใบหน้าของสั่วซีหย่าก็ฉายแววความโกรธเกรี้ยวทันที

“นายหญิง เป็นเขานั่นเอง ! เขาเป็นหัวหน้ากลุ่มคนชั่วช้าที่ฆ่าท่านแม่ของข้าและจับตัวข้าส่งไปที่โรงประมูล !”

เสียงดังกล่าวคือเสียงที่นางจำได้ไม่ผิดอย่างแน่นอน นี่คือบุรุษที่สังหารมารดาของนางและส่งตัวนางไปที่โรงประมูล หากไม่ได้พบคนดีอย่างฉินอวี้โม่ เกรงว่าสตรีลูกครึ่งเอลฟ์คงลงเอยด้วยการกลายเป็นของเล่นของมนุษย์มักมากไปเสียแล้ว

เมื่อเห็นท่าทางของสั่วซีหย่าที่โกรธแค้นจนอยู่ไม่ติด ฉินอวี้โม่ก็บอกให้นางใจเย็นลงและแอบฟังต่อไป

หากเป็นฝีมือของคนเหล่านี้จริง พวกเขาก็น่าจะได้รับคำสั่งมาจากใครสักคนซึ่งเป็นผู้บงการชักใยอยู่เบื้องหลัง สั่วซีหย่าถือว่าเป็นลูกน้องคนหนึ่งของนางแล้วและแน่นอนว่านางต้องการปกป้องคนของตนเอง ฉินอวี้โม่ตระหนักว่าหากความแค้นในใจไม่ได้รับการสะสาง สั่วซีหย่าจะไม่มีวันสบายใจได้ เพราะเหตุนั้นฉินอวี้โม่จึงหมายมั่นที่จะจับตัวผู้ที่บงการเรื่องนี้มาเพื่อล้างแค้นให้กับสั่วซีหย่า

สตรีลูกครึ่งเอลฟ์พยักศีรษะแต่โดยดี นางก็เป็นสตรีที่ชาญฉลาดเช่นกันและคาดเดาได้แล้วว่าเรื่องในครานั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากคำสั่งของใครสักคน มิใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ยิ่งไปกว่านั้น สั่วซีหย่าคาดเดาว่าผู้บงการก็น่าจะมาจากชนเผ่าเอลฟ์และอาจมีความเกี่ยวข้องกับบิดาของตน

ขณะจับตาดูและฟังบทสนทนาของคนทั้งสามต่อไป หนึ่งก้านธูปต่อมา จู่ ๆ คลื่นที่รุนแรงก็กวาดออกมาบนทะเลสาบที่เงียบสงบในตอนแรก

จากนั้นทะเลสาบผืนใหญ่ก็แยกออกเป็นสองฝั่งและช่องทางสีทองอร่ามก็ปรากฏขึ้นตรงกลางก่อนที่ร่างหนึ่งจะปรากฏบนช่องทางดังกล่าวและลอยตัวเหนือน่านน้ำ

คนผู้นั้นสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่โดยที่มีผ้าคลุมหัวขนาดใหญ่เช่นกันซึ่งบดบังทั่วทั้งร่างจนไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์อะไรได้

“ครั้งที่แล้วพวกเจ้าทำงานได้ดีมาก !”

น้ำเสียงแหบพร่าดังขึ้นจากภายใต้ผ้าคลุมนั้นซึ่งยากที่จะบอกได้ว่าเป็นเสียงของบุรุษหรือสตรี

“ขอบคุณสำหรับคำชม ไม่ทราบว่าการที่ท่านเรียกพวกเรามาในครานี้ ท่านต้องการจะใช้งานอะไรพวกเราหรือ ?”

หัวหน้ากลุ่มสามคนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพต่อผู้มาใหม่

“สาเหตุที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาพบในครานี้เป็นเพราะข้าต้องการที่จะมอบหมายงานให้กับพวกเจ้า มันเป็นงานที่ง่ายยิ่งกว่าครั้งที่แล้วเสียอีก ตราบใดที่ส่งจดหมายฉบับนี้ให้กับข้า หลังจากที่จดหมายไปถึงปลายทาง พวกเจ้าจะได้รับสิ่งตอบแทนอย่างคุ้มค่า”

คนผู้นั้นกล่าวก่อนโบกมือเบา ๆ และจดหมายฉบับหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ

หัวหน้ากลุ่มบุรุษทั้งสามรับจดหมายฉบับนั้นและเก็บลงในแหวนมิติทันทีโดยไม่มองดูมันด้วยซ้ำ

เขาตระหนักถึงความแข็งแกร่งของผู้มาใหม่เป็นอย่างดี และจดหมายฉบับนี้น่าจะมีวิธีการปิดผนึกบางอย่างที่ไม่สามารถแอบเปิดดูเนื้อหาข้างในได้

ตราบใดที่ทำตามคำสั่งของคนผู้นี้ สิ่งตอบแทนที่พวกเขาได้รับจะสมน้ำสมเนื้ออย่างแน่นอน

“ไม่ทราบว่าเราต้องส่งไปที่ใดรึ ?”

หัวหน้ากลุ่มเอ่ยขึ้นอีกครั้งเพื่อถามถึงที่หมายของซองจดหมายฉบับนี้

“พิกัดที่อยู่จะปรากฏในหัวของพวกเจ้าหลังจากนี้ ไม่จำเป็นต้องถามสิ่งใดอีก”

คนผู้นั้นกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาดอย่างไม่อาจตั้งคำถามได้เลย

จากนั้นทะเลสาบก็แยกออกและช่องทางสีทองปรากฏอีกครั้งก่อนที่คนผู้นั้นจะเดินย้อนกลับไปตามทางเดิมและหายไปต่อหน้าทุกคน

อึดใจต่อมา ทะเลสาบทั้งผืนก็กลับสู่สภาวะเงียบสงบเช่นเดิม ราวกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตา

“ช่างเป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก !”

หนึ่งในบุรุษสามคนโพล่งออกไปด้วยความตื่นตากับพลังของผู้ที่ปรากฏจากทะเลสาบเมื่อครู่

“หากพวกเราทำตามคำสั่งที่ได้รับ พวกเราก็อาจได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้นเรื่อย ๆ บางทีสักวันเราก็อาจจะมีพลังเช่นนั้นได้”

ผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวขึ้นเบา ๆ ก่อนที่คนทั้งสามจะหันหลังกลับเพื่อเตรียมเดินจากไป

เมื่อเห็นว่าคนทั้งสามกำลังจะจากไป แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือในคฤหาสน์เฟิงหัวไม่ยอมปล่อยให้พวกเขาจากไปได้ง่าย ๆ

ทั้งสองสงสัยว่าจดหมายฉบับนั้นน่าจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์และผู้ทรงพลังเมื่อครู่คงจะเป็นสมาชิกของชนเผ่าเอลฟ์ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะต้องชิงเอาจดหมายฉบับนั้นมาและอ่านเนื้อหาข้างในให้ได้

ทั้งสองพุ่งตรงไปขวางหน้าคนทั้งสามอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่ทั้งสามเตรียมมุ่งหน้าจากไป จู่ ๆ พวกเขาก็ถูกขวางไว้โดยคนแปลกหน้าสองคน ซึ่งนี่ก็ทำให้พวกเขาชะงักไปเล็กน้อย

พวกเขาเป็นถึงจอมยุทธ์พสุธาเซียนขั้นสูงสุด ทว่าพวกเขากลับไม่รู้สึกถึงความผันผวนของพลังใด ๆ ก่อนที่คนทั้งสองจะปรากฏตรงหน้าเลย เกรงว่าพลังของคนทั้งสองจะต้องเหนือชั้นจนคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน

เมื่อคิดได้เช่นนี้ คนทั้งสามจึงระแวดระวังมากขึ้นและไม่คิดที่จะเปิดฉากโจมตีในทันที

“ท่านทั้งสอง ไม่ทราบว่าพวกท่านเป็นใคร เหตุใดจึงเข้ามาขวางหน้าพวกเราเช่นนี้ ?”

หัวหน้ากลุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม เขาไม่ต้องการสร้างปัญหาให้ผู้ทรงพลังทั้งสองตรงหน้าต้องขุ่นเคืองใจ

“เราเพียงอยากรู้เกี่ยวกับจดหมายในมือของเจ้า รวมถึงพิกัดที่หมายของจดหมายฉบับนั้น ตราบใดที่พวกเจ้าให้ความร่วมมือแต่โดยดี เราจะปล่อยพวกเจ้าไป”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเยือกเย็นและกล่าวจุดประสงค์ของตนออกไปโดยตรง แน่นอนว่านางไม่มีทางปล่อยสามคนนี้ไปง่าย ๆ แน่

เมื่อได้ยินจุดประสงค์ของฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน สีหน้าของทั้งสามก็เปลี่ยนไปทันที จดหมายฉบับนี้คือความลับสุดยอดที่คนนอกไม่มีสิทธิ์รับรู้ได้เด็ดขาด

“เหอะ ในเมื่อตอนนี้พวกเจ้าล่วงรู้ถึงความลับนี้แล้ว พวกเจ้าก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้อีก”

หัวหน้ากลุ่มแค่นเสียงเย็นชาและความนอบน้อมเมื่อครู่นี้ไม่หลงเหลืออีกต่อไป จากนั้นเขาก็พุ่งตรงเข้าไปหมายจะโจมตีฉินอวี้โม่ทันที

.