Ch.48 – เส้นทางกลับบ้านของเหล่าเจ้าหญิง กับแผนการณ์ทัศนศึกษาเมืองหลวงของราชาผู้พิชิต (ขั้นปฏิบัติจริง) (จบบทที่3)

Translator : ปลาดุกอเมซอน / Author

“ซิลเวียร์ คิโทลผู้นี้ ได้รับรู้ความแข็งแกร่งของชายแดนไปถึงกระดูกดำแล้วค่ะ เรื่องที่ลูกน้องของเราไปก่อปัญหาให้กับองค์ราชาผู้ยิ่งใหญ่ ต้องขอโทษอีกครั้งค่ะ ถ้าเกิดพี่สาวของเรา–เรเนส คิโทลอยู่ที่นี่ ก็คงจะขอโทษแบบเดียวกันนี่ล่ะค่ะ”

 

องค์หญิงซิลเวียร์ยกชายกระโปรงขึ้นแล้วก้มหัวลงต่ำ

ด้านหลังก็คือ เหล่าทหารของตระกูลเจ้าเมืองคิโทล

ครึ่งหนึ่งทำสีหน้าตึงเครียดอยู่ข้างๆซ้ายขวาขององค์หญิงซิลเวียร์

 

ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง…ก็มองไปไกล พร้อมกับตัวสั่นไม่หยุด สาวใช้เรน–ไม่สิ องค์หญิงเรเนส ก็เกาะอยู่ที่หลังของหัวหน้าหน่วยทหาร เขาพูด “องค์ห–ไม่สิ ท่านเรน จบแล้วขอรับ มันจบไปแล้วขอรับ!” แบบนั้นแต่ก็ไม่เงยหน้าขึ้นมา แต่เธอก็ได้แต่พูดวนว่า “น่ากลัววว กำแพงปีศาจ ถ้าไม่ไล่ไปล่ะก็นอนไม่ลงหรอกกก” ไปมา ทำเรื่องไม่ดีไปแล้วสิ

 

“กะ กลยุทธของราชาแห่งชายแดน สำหรับกระผมที่เป็นหัวหน้าหน่วยแล้ว ช่างน่าตกตะลึงจริงๆขอรับ”

 

หัวหน้าหน่วยโดรุสพูดออกมาทั้งๆที่องค์หญิงเรเนสยังอยู่ข้างหลัง

 

“คุณค่าของรั้ว(เฮ)ก็คือการใช้งาน ถึงจะเป็นรั้ว(เฮ)อ่อนแอก็สามารถทำให้ทหาร(เฮ)ที่แข็งแกร่งหมดสภาพได้ สามารถผนึกกำลังได้สินะขอรับ! น่าเสียดายที่ที่นี่เป็นชายแดนจริงๆขอรับ ถ้าฝ่ายกลยุทธทหาร(เฮ)ที่เมืองหลวงได้เห็นการใช้งานกำลังรั้ว(เฮ)ของราชาแล้วล่ะก็ ก็คงจะได้เป็นกลยุทธรั้ว(เฮ)อีก1หน้าใหม่ในหนังสือกลยุทธทหาร(เฮ)แน่ๆขอรับ! เฮ!”

 

สับสนความหมายของทหาร(เฮ)กับรั้ว(เฮ)แล้วสินะ คุณหัวหน้าหน่วย

ทั้งองค์หญิงเรเนส ทั้งหัวหน้าหน่วย ต่างก็กลัวกันใหญ่

เอาเถอะ ก็ถูกรั้วจำนวนเท่าทหารเข้าไล่ล้อมแบบนั้นก็คงจะช่วยไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้น–

 

“…การบัญชาการของริเซ็ตสุดยอดไปเลยนะ”

“……ขอโทษค่ะ ท่านพี่โชมะ”

 

ริเซ็ตก้มหน้าอยู่ด้านหลังผม

 

“เพราะดีใจที่ได้สั่งการทหารของท่านพี่ ก็เลยทำเกินไปจนได้ค่ะ”

“ค่าค่า! รอบต่อไป เราขอทดลองรบบ้างนะ! มาสู้กันอีกรอบเถอะ!”

“ฉันเอง ก็อยากจะฝึกบังคับทหารบ้างค่ะ!”

““ฮี๊———–!!””

 

มีเสียงกรีดร้องดังมาจากฝั่งเจ้าเมืองคิโทล

พวกทหารที่ไม่ได้ทำการทดลองรบ หน้าซีดมององค์หญิงซิลเวียร์

 

[เฮ?][เ-ฮ][เฮเฮเฮเฮ!]

“ไม่เป็นไรแล้วล่ะ พวกนายไปพักเถอะ”

[[[…เ-ฮ]]]

 

ผมหยุดพวกรั้วที่ยืนตรงกำแพงเมืองที่ทำท่าจะลุกขึ้นมา

ยังไงซะผมก็เคยเป็นพนักงานบริษัทที่มี[ความสามารถในการจัดการกับความเป็นจริง]สมัยอยู่ที่โลกเดิมนี่นะ พอเห็นสีหน้าของพวกทหารแล้ว ก็รู้ดีเลยว่าอยู่ในสภาพพร้อมทำงานหรือเปล่า การทำงานหนักเกินเป็นเรื่องต้องห้าม คนที่บุกรุกหมู่บ้านก็ส่งคืนไปแล้ว ของแทนคำขอโทษก็รับมาแล้ว แถมยังทดลองรบด้วย ขืนทำมากกว่านี้คงจะไม่ไหวแล้วสินะ

 

“ทางนี้เอง แค่ได้จับมือกับ[ตระกูลเจ้าเมืองคิโทล]ที่มีชื่อก็เพียงพอแล้วล่ะ”

 

ผมพูดออกไป

 

“แถมในครั้งนี้ฝั่งนี้ก็ได้ประโยชน์ด้วย ถ้าเป็นเหล่าทหารของตระกูลเจ้าเมืองคิโทลที่ทรงแสนยานุภาพแล้ว ถ้าได้สู้กันครั้งต่อไปทางนี้เองก็คงจะลำบากแน่ๆ สำหรับประสบการณ์การต่อสู้อันล้ำค่าที่ได้รับแล้ว ต้องขอขอบคุณจริงๆ”

“““………ฟู๊”””

 

องค์หญิงซิลเวียร์ หัวหน้าหน่วยโดรุส แล้วก็ทหารคนอื่นๆถอนหายใจออกมาพร้อมๆกัน

ส่วนองค์หญิงเรเนสนั้นเป็นลมไปตั้งแต่ตอนที่ฮารุกะพูดออกมาว่า “มาสู้กันอีกรอบเถอะ” แล้ว จะเป็นไรไหมนั่น

 

“ถ้าอย่างนั้น พวกดิฉันก็ขอตัวเพียงเท่านี้นะคะ”

“ต้องขออภัยด้วยที่ต้อนรับได้อย่างไม่สมเกียรติ”

 

ผมขอบคุณกลับไปตอนที่องค์หญิงซิลเวียร์กล่าวขอบคุณ

 

“หวังว่าจะได้พบกันอีก ระหว่างทางก็ระวังตัวด้วยล่ะ”

“……ค่ะ!”

 

องค์หญิงซิลเวียร์ยิ้มอย่างอึดอัดออกมาแล้วก็ขึ้นรถม้าไป

ด้วยเหตุนี้ขบวนของบุตรีคนที่3กับบุตรคนรอง(เป็นความลับ)ของเจ้าเมืองคิโทลก็ได้จากไปทางใต้

 

 

 

 

──มุมมององค์หญิงซิลเวียร์──

 

 

 

“อ๊าาาาาาาาาา! รถม้า ในรถม้าก็มีกำแพงด้วย รั้ว รั้วมันนนนนนนนนน!”

“ค่าค่า ไม่มีอะไรน่ากลัวค่ะ ท่านพี่เรเนส”

 

ซิลเวียร์ลูบหลังของพี่สาวที่ตัวสั่นไม่หยุดจนลืมแม้แต่จะถอดเกราะ

พอเป็นแบบนี้ ก็ทำเอานึกถึงตอนเด็กๆ

 

ในสมัยที่ยังไม่รู้จักการต่อสู้ในฐานะผู้สืบทอดของท่านพ่อ และเรื่องของกองกำลังที่สังกัดพวกตน ซิลเวียร์กับเรเนสนั้นสนิทกันมากไม่เหมือนกับพี่คนโต ในตอนนี้ก็ราวกับได้ย้อนกลับไปตอนนั้นเลย ทำเอารู้สึกอุ่นใจ

 

“โธ่…ท่านพี่นี่ล่ะก็ ก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่ายุ่งกับชายแดนน่ะค่ะ”

 

ซิลเวียร์ตบหลังของพี่สาวเบาๆแล้วพูดออกมา

แต่ว่า เรเนสที่กำลังกลัวก็ยังคงวิตกอยู่

 

“ต้องแจ้งท่านพ่อกับท่านพี่มิเรน่า ว่าห้ามยุ่งกับชายแดนเด็ดขาด ถ้าไปยุ่งล่ะก็…เส้นทางการพิชิตของท่านพ่อมีปัญหาแน่ๆ! อา ฉันทำอะไรลงไป–!”

“ใจเย็นลงหน่อยเถอะค่ะท่านพี่เรเนส ทั้งท่านพ่อทั้งท่านพี่มิเรน่า ตอนนี้ต่างก็อยู่ที่เมืองหลวงค่ะ ไม่มายุ่งกับชายแดนหรอกค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรีบส่งจดหมายไป ทำอะไรอยู่น่ะซิลเวียร์ เอากระดาษหนังแกะมาสิ! กระดาษหนังแกะ!”

“ค่าค่า ไว้กลับไปคฤหาสน์แล้วค่อยมาเขียนนะคะ”

 

พอเห็นพี่สาวที่กลายเป็นเด็กไม่เอาไหน ซิลเวียร์ก็ยิ้มออกมา

แต่ว่าอาณาเขตของตระกูลเจ้าเมืองคิโทลก็ยังอีกไกล

ชายแดนนั้นอยู่ห่างออกไปไกลแล้ว รถม้าก็แล่นไปตามถนน ไว้พักหมู่บ้านกลางทางหนึ่งคือ แล้วก็คงจะไปถึงคฤหาสน์ตอนเย็นวันพรุ่งนี้พอดี ไม่สิ สภาพอากาศเองก็ดูท่าจะไม่ดีเท่าไหร่ อาจจะไปถึงตอนกลางคืนก็ได้

 

“…ฝนนี่ก็อาจจะเป็นความโกรธของ[ราชาแห่งชายแดน]ก็เป็นไปได้นะคะ”

 

ซิลเวียร์ได้ยินเสียงฝนตกกระทบหลังคา

ฝนเริ่มตกมาได้สักพักแล้ว พวกทหารก็เร่งฝีเท้า ม้าก็หายใจแรง แถวๆนี้ไม่มีสถานที่ที่น่าจะพักหลบฝนได้ พอคิดถึงความลำบากของทหารที่เดินข้างนอกแล้ว องค์ซิลเวียร์ก็รู้สึกผิดขึ้นมา

 

พอองค์หญิงซิลเวียร์เปิดหน้าต่าง เสียงฝนก็ดังหนักขึ้น

ตามเส้นทางที่ไปด้านซ้ายนั้นเป็นที่ราบ ด้านขวาเป็นเขาหิน ไม่เจอที่ที่น่าจะหลบฝนได้

จะว่าไปตามเส้นทางก็ราวกับเห็นกำแพงหินแปลกๆอยู่แถวนี้ มีคนแถวๆนี้บอกมาว่า [ราชาแห่งชายแดน]ขนมาตั้งไว้ตามถนน อยู่ด้วย

 

“…บางทีนั่นเอง ก็อาจจะเป็นอสูรรับใช้ของราชาก็ได้ค่ะ”

“องค์หญิงเรเนส องค์หญิงซิลเวียร์ ฝนตกหนักมากขอรับ ต้องขออภัย แต่อยากจะขอพักหลบฝนสักพักขอรับ”

 

ทหารที่เดินอยู่ข้างนอกมองใบหน้าขององค์หญิงซิลเวียร์ผ่านหน้าต่าง

ทั้งผม ทั้งเกราะของทหาร ต่างก็เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน ถ้าเดินข้างนอกต่อไปทั้งๆแบบนี้ท่าทางจะแย่แน่ๆ

 

“ได้ค่ะ”

 

องค์หญิงซิลเวียร์พยักหน้า

 

“แต่ว่า แถวนี้มีสถานที่ที่จะหลบผนได้ด้วยเหรอคะ?”

“นักเดินทางที่มาจากอีกด้านบอกมาว่า[ต่อจากนี้จะมีที่พักติดหลังคาอยู่]ขอรับ ดูเหมือนหินที่ยื่นออกมาจะเป็นหลังคาให้ได้ขอรับ กว้างระดับที่รถม้าเข้าไปได้ด้วย”

“รับทราบค่ะ ฝากด้วยละกันค่ะ”

 

ซิลเวียร์โบกมือให้ทหาร

เป็นสัญญาณให้ขบวนแถวเพิ่มความเร็ว ดินโคลนกระเด็นมาจนถึงข้างๆซิลเวียร์

ในดวงตาของซิลเวียร์ที่ยื่นหน้าออกไปนอกหน้าต่าง ก็เห็นหลังคาแปลกๆ

 

มีแผ่นกระดานขนาดใหญ่ตั้งเอียงอยู่กับผาหิน ข้างใต้นั่นมีนักเดินทางนั่งพักอยู่ ที่นั่นเป็นที่พักจริงๆด้วย สิ่งที่เป็นหลังคาก็คือ กำแพงหินท่าทางแข็งแกร่ง มันเป็นสิ่งที่คอยกันฝนให้อยู่ นักเดินทางจุดไฟข้างใต้มัน แล้วก็ทำให้ชุดที่เปียกแห้ง

ซิลเวียร์ออกคำสั่งพวกทหาร ถึงจะเป็นตระกูลเจ้าเมืองคิโทล แต่การหลบฝนก็ต้องเป็นแบบเดียวกับนักเดินทางคนอื่น ต้องทำโดยไม่เสียมารยาท แล้วก็ให้พวกทหารทำตามลำดับโดยไม่ทำให้พวกนักเดินทางหวาดกลัว

 

“–ชายแดน เป็นสถานที่ที่แปลกดีนะคะ”

 

ซิลเวียร์ตาเป็นประกายมองไปยังที่พักที่เข้ามาใกล้

จนมองเห็นที่นั่นชัดๆ

 

มีกำแพงหินขนาดยักษ์วางเอียงอยู่ ไม่รู้ว่ามีเวทคุ้มกันอยู่หรือเปล่า แต่ถ้าไม่ดัดก็ไม่มีส่วนที่โค้งงอเลย

พวกนักเดินทางที่อยู่ใต้หลังคานั่น ก็ต่างตั้งวงเหล้ากันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

ทุกคนต่างก็ชื่นชม[ราชาแห่งชายแดน] “เป็นคนใจกว้างจริงๆ” “อุตส่าห์สร้างที่แบบนี้ให้เนี่ย” “ดูเหมือนจะเป็นอสูรรับใช้ของราชา ใจดีจริงๆนะ”–

 

“–เอ๊ะ?”

 

ซิลเวียร์มองไปที่หลังคาของที่พัก

ก็รู้สึกราวกับว่า…หลังคาของที่พัก จะมองมาที่ซิลเวียร์เช่นกัน

ก็เลยลองยื่นโบกมือกลับไปดู

ก็มีเสียงตอบกลับมา

 

 

 

[—-เฮ!]

 

 

 

“ฮี๊เอ๊อ๊อ๊อ๊อ๊อ๊อ๊อ๊อ๊อ๊อ๊อ๊อ๊อ๊!!”

“ดะ เดินหน้าเต็มกำลัง!! ท่านพี่ไม่ไหวแล้วค่ะ! ถึงจะรู้สึกไม่ดีแต่กลับไปที่อาณาเขตด้วยความเร็วสูงสุดเลย! เร็วเข้า! รีบออกจากที่นี่เร็ววววววววว!!”

 

ตึกตึกตึกตึกตึกตึกตึกตึก!!

กุ๊บกั๊บกุ๊บกั๊บกุ๊บกั๊บกุ๊บกั๊บกุ๊บกั๊บ!!

 

[……เฮ?]

 

 

ด้วยเหตุนี้ พวกทหารกับรถม้าก็ตรงไปยังอาณาเขตของเจ้าเมืองคิโทลอย่างเร่งรีบจนเลือดกำเดาแทบจะไหล–

 

 

 

“กลัวกลัวกลัวกลัวกลัวชายแดนน่ากลัววววววว!!”

“ต้องกลับไปบอกท่านพ่อกับท่านพี่! เกี่ยวกับราชานั่น กับพื้นที่ของชายแดน—-!!”

 

 

 

จึงเกิดเป็นสถานที่ขึ้นชื่อที่ตระกูลคิโทลยอมรับอย่างเป็นทางการขึ้นที่ชายแดน

 

 

 

 

────────────

 

 

 

 

[สถานที่ขึ้นชื่อของชานแดน “ที่พักของราชาผู้พิชิต”]

 

ที่พักติดหลังคา ที่อยู่ระหว่างถนนที่ตรงไปยังชายแดน

รั้วขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่ตรงผาหิน ในวันที่ร่มรื่นจะลุกขึ้นมาเฝ้ายามไม่ให้มีอสูรหรือโจรเข้ามาได้

 

ถ้าฝนตกก็จะเข้าไปพิงผาหิน เป็นหลังคาให้กับนักเดินทาง เป็น[รั้ว]ที่ใจดี

 

ถ้านักเดินทางพึมพำออกมาว่า“จะพังหรือเปล่านะ น่ากลัวจัง”ก็จะมีเสียงตอบกลับว่า[เฮ! (สบายใจได้!)]ให้สบายใจ จะมาระบายว่า“ขายของไม่ดีเลย”หรือ”ดูเหมือนแฟนจะนอกใจ…”ก็จะให้กำลังใจกลับมาว่า[เฮเฮ!(ถ้าเป็นนายล่ะก็ทำได้แน่)][เฮเฮ! (คุณหนูน่ะมีสเน่ห์เหลือล้นเลยล่ะ!)] เป็นรั้วที่ให้ความรู้สึกดีจริงๆ(มุมมองนักเดินทาง)

 

เพราะเคลื่อนไหวอยู่ในเขตแดนของ[หมู่บ้านฮาซามะ]กับ[ป้อมปราการเก่า] ก็เลยไม่มีเวลาจำกัดให้การเคลื่อนที่

 

เพราะเป็นที่หลบยามหิมะตกได้ พวกเด็กๆก็เลยชอบมาก

 

 

 

 

────────────

 

 

 

 

 

 

──มุมมองโชมะ──

 

 

 

 

““““จบสักที……””””

 

 

 

ผม ริเซ็ต ฮารุกะ และยูกิโนะถอนหายใจออกมา

การตอบรับ[ตระกูลเจ้าเมืองคิโทล]ที่ดำเนินมาตั้งแต่ทูตขององค์หญิงซิลเวียร์มา ในที่สุดก็จบลงสักที

 

“แต่ว่า เป็นคนที่ใจกว้างผิดคาดนะเนี่ย องค์หญิงซิลเวียร์”

 

ของที่พวกเจ้าหญิงเหลือเอาไว้ กองอยู่ในบ้านของผู้ใหญ่บ้าน

พวกผ้าหรือของโลหะ ไม่ว่าอันไหนก็เป็นของที่มีค่าในชายแดน

เพราะเป็นของไถ่โทษก็เลยรับมาอย่างไม่เกรงใจ ต้องขอขอบคุณจริงๆเลยล่ะ

 

“จะใช้ที่นี่ หรือจะไปเมืองหลวงแล้วไปเปลี่ยนเป็นของอื่น คิดว่าทางไหนดีกว่ากัน?”

“ตามประสงค์ของท่านพี่โชมะเลยค่ะ”

“เปลี่ยนคำถามละกัน ถ้าเอาเจ้าพวกนี้ไปขายแล้วของที่ซื้อมาแล้วจำเป็นสำหรับหมู่บ้าน แล้วทำให้ชีวิตของผมสะดวกสบายขึ้นน่ะมีบ้างไหม?”

“…ปศุสัตว์…แล้วก็พวกโลหะสินะคะ แล้วก็…ผ้านี่ถ้าเปลี่ยนเป็นผ้าที่ดีกว่านี้ก็อาจจะดีก็ได้ค่ะ ถ้าได้ผ้ามาจำนวนมาก เสื้อของท่านพี่กับคุณยูกิโนะก็จะได้เพิ่มขึ้นด้วยค่ะ”

 

ริเซ็ตตอบแบบพึมพำกลับมา

ให้ตายสิ

ทั้งๆที่บอกว่าเป็นพี่น้องแท้ๆ แต่ดันเกรงใจในเรื่องแปลกๆ ริเซ็ตเนี่ย

 

ฐานหลักของผมคือ[ที่นี่(หมู่บ้านฮาซามะ)] ถ้าหมู่บ้านเจริญขึ้น ก็เป็นผลดีสำหรับผม ดังนั้นถ้ามีอะไรจำเป็น ก็อยากจะให้บอกแบบไม่เกรงใจมากกว่า

 

“ถ้าอย่างนั้นก็พักผ่อนก่อนสักหน่อย แล้วค่อยไปเมืองหลวงตามแผนกันเถอะ”

 

ผมพูดออกมา

 

“ยังไงก็มีสินค้าแล้ว ปลอมตัวเป็นนักเดินทางแล้วไปกันดีกว่า สมาชิกก็ผม ริเซ็ต แล้วก็ยูกิโนะ ถึงจะรู้สึกผิดกับฮารุกะ แต่ฝากปกป้องหมู่บ้านด้วยล่ะ”

“…มู๊”

“…ในระหว่างนั้น ก็ขอฝาก[ทหารมีจิตใจ]ไว้กับฮารุกะด้วยล่ะ”

“……มู๊มู๊มู๊”

“……คนที่จะฝากทหารของเราไว้ได้ มีแค่ฮารุกะที่เป็นน้องสาวเท่าน้น จงปกป้องดินแดนของเราด้วยกลยุทธที่ไม่แพ้ของริเซ็ตเถอะ เจ้าปราสาทของ[หมู่บ้านฮาซามะ]–ไม่สิ [วังราชายักษา]แห่งนี้ ฮารุกะ คัลมิเรียเอ๋ย”

“ได้ค่ะ ฝากได้เลยท่านพี่!”

 

ฮารุกะยืนขึ้น แล้วกำหมัด

คนที่จะฝากทหารไว้ได้มีแค่ฮารุกะเท่านั้น เรื่องนั้นเป็นความจริง

[ทหารมีจิตใจ]เคลื่อนไหวได้ด้วย[Naming Bless(เพิ่มอัตลักษณ์ชื่อ)]ของผม โดยพื้นฐานมีเพียงผมและคนที่ใกล้ชิดเท่านั้นที่สั่งการได้ ในกรณีก็คือริเซ็ตกับฮารุกะที่เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับยูกิโนะที่ได้รับการ[ยืนยันเป็นเจ้าปราสาท]เท่านั้น

 

ริเซ็ตต้องตามไปด้วยในฐานะคนนำทางของโลกใบนี้

ยูกิโนะนั้นก็เป็นคนที่รู้เรื่องเมืองหลวงในกลุ่มเราเพียงคนเดียว

ด้วยเหตุนั้นก็เลยต้องให้ฮารุกะเป็นคนอยู่เฝ้า

 

“แล้วยูกิโนะ จากที่นี่ไปเมืองหลวง ถ้าเดินไปใช้เวลาเท่าไหร่ล่ะ?”

“ประมาณ2สัปดาห์ได้นะคะ”

“ถ้าบินไปล่ะ?”

“ถ้าด้วยความเร็วของคุณโชมะ ก็คิดว่าคงจะสัก3วันค่ะ เพียงแต่…”

 

ยูกิโนะหลับตาลงเหมือนนึกอะไรบางอย่าง

 

“ระหว่างทาง มีเมืองที่ยังไงก็ต้องเข้าไปอยู่ค่ะ”

“[จุดเชื่อมเมือง]สินะคะ”

 

ริเซ็ตพูดต่อ

 

“[จุดเชื่อมเมือง]?”

“เป็นจุดเชื่อมต่อก่อนที่จะไปยังเมืองหลวงค่ะ”

“บินให้สูงผ่านไปเลยไม่ได้เหรอ?”

“…[จุดเชื่อมเมือง]อยู่ระหว่างภูเขาที่สูงมากค่ะ”

 

ริเซ็ตเอานิ้วแตะชาแล้วเริ่มวาดแผนที่บนโต๊ะ

 

“เจ้านี่คือภูเขาค่ะ”

“แมวเหรอน่ะ?”

“แมวสินะ”

“แมวสินะคะ”

“ภูเขาค่ะ!”

 

ถูกโกรธซะแล้ว

 

“ยะ ยังไงก็เถอะ ระหว่างภูเขานี้ มีจุดเชื่อมต่อขนาดใหญ่อยู่ค่ะ กำแพงนั้นสูงมาก รอบๆก็มีหอคอยเฝ้าระวังอยู่ค่ะ ถ้าคิดจะบินผ่านไป บางทีอาจจะถูกเห็นเอาได้ค่ะ แต่ถ้าเป็นท่านพี่อาจจะผ่านไปได้โดยไม่มีปัญหาก็ได้…”

“แต่ขากลับจะแย่เอาน่ะสิ”

 

ริเซ็ตพยักหน้าให้กับคำพูดของผม

ถึงจะถูกยิงธนูใส่ แค่ใช้[Breath(ลมหายใจมังกร)]ก็สามารถเป่าไปได้ เพียงแต่ ถ้าผ่านไปแบบนั้น ขากลับบางทีคงจะยากขึ้น ถ้าตัวจริงของผมแตก ก็อาจจะมีทหารมายังชายแดน เรื่องนั้นอยากจะขอเลี่ยงไว้

 

“แล้วถ้าข้ามเขาล่ะ?”

“ในภูเขาก็มีป้อมปราการค่ะ ไม่ว่าจะไปทางไหน ก็มีโอกาสถูกเจอสูงค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น ก็มีแต่ผ่านไปแบบปกติสินะ”

 

ผมมองไปทางยูกิโนะ

 

“ยูกิโนะเคยผ่าน[จุดเชื่อมเมือง]สินะ เป็นที่แบบไหนล่ะ?”

“จุดเชื่อมกับเมือง ก็เป็นเมืองใหญ่ดีๆนี่ล่ะค่ะ”

 

ยูกิโนะดื่มชาไปพลางตอบ

 

“สำหรับนักเดินทางธรรมดาแค่จ่ายค่าผ่านทางก็ไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่ สำหรับผู้ปกครองเขตหรือเจ้าเมือง หรือคนที่พาทหารไปด้วยท่าทางจะลำบากหน่อย ได้ยินข่าวลือมาว่าคนที่คุมเมืองนั้นอยู่คือพรรคพวกของ[สิบนักปราชญ์]ที่อยู่ในเมืองหลวงน่ะค่ะ”

“[สิบนักปราชญ์] ผู้มีอิทธิพลที่อยู่รอบตัวจักรพรรดิมังกรในตอนนี้น่ะเหรอ”

“อู๊ น่าปวดหัวจัง”

 

ฮารุกะกุมหัว

 

“ขอโทษที เราไม่ไหวจริงๆด้วย ไม่อยากจะไปที่ที่น่าปวดหัวแบบนั้นเลย”

“เรื่องนั้นมันจะทำไมกันคะ ฮารุกะ”

“…พี่ริส”

“ไม่ว่ายังไงอีกไม่นานผู้คนจากทั่วทั้งแผ่นดินจะมารวมตัวกันที่ชายแดนแห่งนี้เพราะศรัทธาในชื่อเสียงของท่านพี่ค่ะ ในตอนนั้น เธอจะตอบว่า[เรื่องยากๆไม่เห็นเข้าใจเลย]ได้เหรอคะ? ถ้าน้องสาวของราชาเป็นแค่คนบ้าที่ใช้ได้กำลังโดยไม่รู้อะไร ได้ถูกทุกคนนินทาลับหลังแน่นอนค่ะ? ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วคิดว่าเหมาะสมกับตำแหน่งน้องสาวของท่านพี่เหรอคะ!?”

“อ๊ะ!”

 

ฮารุกะตาเป็นประกาย เงยหน้าขึ้นมา

–ไม่นะ ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นหรอก–ถึงจะพูดแบบนี้ แต่ริเซ็ตกับฮารุกะก็ไม่ฟังเลย ฮารุกะพูดว่า”เราผิดไปเอง พี่ริส” ริเซ็ตก็ตอบกลับไปว่า”สมกับเป็นน้องสาวของเราค่ะ ฮารุกะ” แล้วก็จับมือกัน

ทำไมอยู่ๆริเซ็ต ถึงจะให้ผมเป็นวีรบุรุษแห่งแผ่นดินล่ะ?

 

ผมแค่ปกครองชายแดนก็สุดๆแล้ว ที่โลกของมนุษย์ก็ยังไม่มีชื่ออะไร

เส้นสายที่มีกับโลกของมนุษย์ก็มีแค่องค์หญิงซิลเวียร์ คิโทลคนเดียวเท่านั้น คิดว่าคงไม่มีคนจากทั่วใต้หล้ามารวมตัวกันเพื่อบูชาผมหรอก

 

“โทษทียูกิโนะ แต่ช่วยสอนก่อนจะออกเดินทางได้ไหม เมืองหลวงที่ยูกิโนะรู้ กับเส้นทางจนกว่าจะถึงที่นั่นช่วยสอนมาเท่าที่ทำได้เลย”

“รับทราบค่ะ! นายของเรา–หรือ[นายท่านชั่วคราว]”

 

หลังจากนั้นพวกเราก็เริ่มเรียนกับอาจารย์ยูกิโนะ

เอกสารที่เหลือเตรียมเป็นแผนที่แบบง่ายๆให้ฮารุกะ แล้วก็จดสิ่งที่จำเป็นสำหรับฝั่งนั้น

กระดาษหนังแกะขององค์หญิงซิลเวียร์ก็มีประโยชน์ ถึงจะมีหลายๆอย่างเกิดขึ้นก็เถอะ แต่ได้ของมาแบบนี้ก็ต้องขอบคุณจริงๆ

 

“ท่านพี่”

“ทำไมเหรอ ฮารุกะ”

“เรา อยากกล่าวขอบคุณองค์หญิงซิลเวียร์น่ะ หลังจากทุกคนออกไป จะขอเขียนจดหมายได้ไหม”

“ก็ดีนี่ มารยาทก็สำคัญนี่นะ”

“ใช่แล้วล่ะ งั้นจะเขียนไปว่าไว้มาเอาทหารมาทดลองรบกันอย่างเร้าร้อนกันเถอะนะ”

“พอเถอะทำให้กลัวเปล่าๆน่ะ”

 

ด้วยเหตุนั้น จึงเริ่มเตรียมการสำหรับไปเมืองหลวง

พวกเราจะปลอมตัวเป็นพ่อค้า ริเซ็ตก็จะใช้หมวกกับผ้าพันคอซ่อนเขา เป้าหมายคือการทัศนศึกษาเมืองหลวง กับซื้อของที่จำเป็น จะบินไปจนถึง[จุดเชื่อมเมือง] ผมพาริเซ็ตไป แล้วยูกิโนะก็ให้ฮาร์ปี้พาไป

สัมภาระก็เก็บไว้ใน[ภาชนะแห่งราชา]ได้ ก็เลยแทบจะเป็นการเดินทางตัวเปล่า

 

“…จะไม่มีอะไรสินะ แค่ไปซื้อขายเท่านั้นเองนี่นา”

 

ผมลองทำการจำลองเส้นทางการเดินทางในหัวดู ไม่มีปัญหา ไม่มีแน่นอน ถ้าไม่มีก็ดีนะ

…คงไม่มีอะไรสินะ บางที

การไปเมืองครั้งแรกตั้งแต่มาที่โลกนี้

ก็ระวังพวกอสูรแล้วไปอย่างสบายๆกันดีกว่า