หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 996 สำแดงพลัง
ครืน!
ที่นี่เป็นพื้นที่สีเทาหม่นพร้อมกับสายฟ้าสร้างหายนะระหว่างฟ้าดินราวกับอสรพิษสีเงิน สายฟ้าแล่นแปลบปลาบเหนือเมฆดำ ซึ่งกวนตัวเต็มไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก รัศมีรุนแรงอย่างยิ่ง
ในสถานที่ที่สายฟ้าป่าเถื่อนฟาดใส่ไม่ยั้ง เงาร่างหลายร่างเหาะเหินอย่างระมัดระวังที่ระดับต่ำพร้อมกับแสงหลิงกะพริบอยู่รอบตัว แต่ละคนโฉบไปมาหลบสายฟ้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาพที่น่าสมเพช
นี่คือชั้นสามของเจดีย์ฝึกพลังกาย
จุดแสงเบื้องหน้าเป็นใครไม่ได้นอกจากจงเถิง หานซัน และคนอื่นๆ ที่เข้าสู่ชั้นสามเรียบร้อย
ก่อนหน้านี้พวกเขาเข้าสู่ชั้นสามเป็นชุดแรก แต่หลังจากก้าวเข้ามาความเร็วของพวกเขาก็ช้าลงมาก เห็นได้ชัดว่าความรุนแรงในชั้นสามลำบากยิ่งกว่าสองชั้นแรกหลายขุม
แสงหลิงพวยพุ่งรอบร่างจงเถิงก่อตัวเป็นขนนกสีทองที่เบื้องหน้า ขนนกเหล่านั้นสลักอักขระเต็มแน่นที่ลึกล้ำและโบราณกระจายความผันผวนคลุม
ทุกครั้งที่มีสายฟ้าฟาดลง ขนนกสีทองก็จะเปล่งแสงสีทองออกมา เพื่อล่อสายฟ้านั้นออกไป แม้ยังมีเศษเสี้ยวสายฟ้าที่ทำให้ผิวหนังเขาเจ็บปวด แต่ก็ยากที่จะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บหนัก
ขนนกนี้เป็นสมบัติล้ำค่าของเผ่ากระเรียนฟ้า ซึ่งได้รับการกลั่นจากขนนกสีทองของกระเรียนปีกทองคำ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีความสามารถในการโจมตี แต่พลังป้องกันที่ทรงพลังก็เทียบเคียงได้กับอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยม
เห็นได้ชัดว่าจงเถิงเตรียมพร้อมเต็มที่เพื่อผ่านเจดีย์ฝึกพลังกายให้สำเร็จ
“ดูเหมือนว่าไอ้เหลือขอนั่นจะถูกเราทิ้งมาไกลมากแล้ว” ขณะที่เคลื่อนไหวจงเถิงก็เหลือบมองไปที่ด้านหลังอย่างไม่แยแส จนถึงตอนนี้เขายังไม่สามารถรับรู้ถึงคลื่นพลังของมู่เฉิน เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายยังไม่ผ่านชั้นสองมา
ความจริงนี้ทำให้เกิดรอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปากของจงเถิง มู่เฉินเป็นมนุษย์ที่น่าสนใจเลยทีเดียว ก่อนหน้าไม่รู้ว่าอีกฝ่ายใช้วิธีการใดในการผ่านปราการชั้นแรกเพื่อเข้าสู่ชั้นสอง แต่น่าเสียดายที่เขาต้องกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว
“ทำตัวเองขายขี้หน้า”
การกระทำของมู่เฉิน ทำให้การประเมินดังกล่าวเพิ่มขึ้นในใจของจงเถิง หากเขาอยู่ข้างหลังอย่างเงียบๆ บางทีอาจไม่มีใครสนใจ แต่เขากลับโลภมากต้องการเป็นที่หนึ่ง ดังนั้นตอนนี้ยิ่งเขาปีนสูงเท่าไรก็จะยิ่งเจ็บ รวมถึงเผ่าวิหคโลกันตร์ก็จะถูกเหยียดหยามเพราะเขา
“แต่มั่วเฟิงจัดการยากซะจริง” จงเถิงมองไปในระยะไกล มีเปลวเพลิงสีแดงกลุ่มหนึ่งลุกโชติช่วงและในเปลวเพลิงนั้นร่างเงาของมั่วเฟิงก็ปรากฏขึ้นเลือนราง แม้ว่าทุกครั้งที่สายฟ้าฟาดลงจะทำให้มั่วเฟิงหยุดไปชั่วคราว แต่ประกายสายฟ้าก็จะถูกดูดซับโดยเปลวเพลิงสีแดง ซึ่งไม่สามารถขัดขวางมั่วเฟิงได้มาก
แม้ว่าจงเถิงจะไม่เคยปะทะกับมั่วเฟิง แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าการคุกคามที่มาจากอีกฝ่ายไม่ได้อ่อนแอกว่าจิ่วโยวเลย ดังนั้นหากพวกเขาสู้กันก็คงจะลำบากไม่น้อย
“คนที่เหลือน่าจะสามารถเข้าถึงส่วนที่ลึกที่สุดของชั้นสาม แต่ตรงนั้นก็เป็นขีดจำกัดของพวกเขาแล้ว” สายฟ้าแล่นแปลบปลาบไปทั่วมิติ สายตาจงเถิงก็วูบไหวเบาๆ
นั่นเป็นเพราะตามข้อมูลที่เขารู้ ไม่ยากที่จะผ่านเจดีย์ฝึกพลังกายสามชั้นแรก ตราบใดที่มีการเตรียมตัวไว้พร้อม แต่สำหรับชั้นสี่อัตราการคัดออกจะน่ากลัวขึ้นอีกหลายส่วน
ครั้งนี้คงมีเพียงครึ่งหนึ่งของคนเข้ามาสามารถเข้าสู่ชั้นสี่ได้ แต่จงเถิงก็ไม่กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าเขาจะต้องต่อสู้หนักหน่วงกับหานซันและมั่วเฟิงถ้าต้องการเป็นที่หนึ่ง แต่เขาก็มั่นใจที่จะได้หนึ่งในที่นั่งครึ่งหนึ่งในนั้น
“เมื่อไปถึงชั้นสี่ เราค่อยมาดูกันว่าใครได้หัวเราะเป็นคนสุดท้าย เผ่ากระเรียนฟ้าของข้าไม่กลัวความท้าทายของพวกเจ้าทุกคน!”
จงเถิงมองคนอื่นด้วยริ้วเย็นเยือกที่วูบไหวในจุดลึกของดวงตา จากนั้นเขาก็ไม่ลังเลเพิ่มความเร็วขึ้นไปอีก ขนนกสีทองเบื้องหน้าเปล่งแสงสีทอง ล่อสายฟ้าที่ฟาดลงมาออกไปไม่หยุด
ที่หน้าจอชั้นสาม
“อีกไม่นานจอมยุทธ์เก้าคนก็จะเข้าสู่ส่วนที่ลึกที่สุดของชั้นสาม ว่ากันว่าเป็นนี่เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในเจดีย์ฝึกพลังกาย คนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งจะถูกคัดออก”
ด้านนอกของเจดีย์สายตาแต่ละคู่จับจ้องไปที่หน้าจอเกิดการสนทนาไปทั่ว
“ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ จากมู่เฉินเลย… หากทั้งเก้าคนไปถึงส่วนลึกที่สุดของชั้นสามและเขายังไปไม่ถึงละก็ งานนี้เขาถูกเตะออกทันทีแน่”
หลายคนเหลือบมองด้วยความสงสารไปที่จุดแสงที่ยังคงนิ่งอยู่ในชั้นสอง บางทีอีกไม่นานมู่เฉินก็จะถูกกำจัดและบังคับให้ออกจากเจดีย์ฝึกพลังกาย
ที่มุมหนึ่งหลิ่วชิงรู้สึกว่าความไม่พอใจในใจลดลงไปมาก ก่อนหน้านี้ชายคนนี้ทะยานขึ้นสูง แต่ตอนนี้ก็ร่วงกราวลงมา เขาไม่เพียงแต่ทำให้ตัวเองอับอาย เขายังทำให้เผ่าวิหคโลกันตร์ต้องอับอายไปด้วย
หลิ่วชิงหันไปมองจิ่วโยวก็ยังคงเห็นอีกฝ่ายคงไว้ซึ่งความสงบนิ่งเช่นเคย แต่กำปั้นที่ค่อยๆ กำแน่นก็เผยให้เห็นความกังวลในใจ
“หลังจากเจ้านั่นถูกกำจัด ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะมีสีหน้ายังไง!”
หลิ่วชิงหัวเราะเยาะในหัวใจ แม้ว่าจะมีครึ่งหนึ่งต้องออก แต่มู่เฉินเป็นคนเดียวที่ถูกกำจัดก่อนไปถึงชั้นสาม
ยืนอยู่ข้างจิ่วโยวใบหน้าของมั่วหลิงก็เต็มไปด้วยความกังวล เพราะนางรู้ว่าถ้ามู่เฉินถูกกำจัดด้วยวิธีนี้ ขนาดเทพเซียนยังรู้เลยว่าการเยาะเย้ยอะไรที่พวกนางต้องเผชิญ หากเรื่องนั้นส่งกลับไปที่เผ่าละก็ งานนี้มีหวังพวกตาเฒ่าหน้าเหี่ยวหน้าย่นคลั่งแน่…
“พี่ใหญ่จิ่วโยว…”
จิ่วโยวไม่ได้สนใจ สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่จุดแสงจุดเดียวในชั้นสอง กระทั่งตอนนี้นางก็ยังไม่เชื่อว่ามู่เฉินจะหยุดอยู่แค่ตรงนี้
“หืม?”
ขณะที่ความสนใจของจิ่วโยวเพ่งลงไป ทันใดนั้นม่านตาก็หดลงอย่างรวดเร็ว นั่นเป็นเพราะนางรู้สึกว่าจุดแสงเหมือนจะกะพริบขึ้นเร็วขึ้น
บนดินแดนน้ำแข็งแห้งแล้ง
พายุเย็นเยือกและกระแสน้ำเยือกแข็งอัดแน่นทุกหัวระแหง ร่างสูงโปร่งยังคงนั่งอย่างเงียบๆ บนยอดเขาที่โดดเดี่ยวราวกับก้อนหิน
ชี่! ชี่!
พายุเหล่านั้นราวกับใบมีดพาดผ่านร่างมู่เฉิน แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือพวกมันไม่สามารถสร้างบาดแผลบนร่างกายของเขาได้ เนื้อหนังเต้นตุบๆ เล็กน้อย ก่อนที่จะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วภายใต้แสงสีทองจางๆ
หากใครสังเกตร่างกายมู่เฉินอย่างใกล้ชิดก็จะเห็นว่ามีความแวววาวสีฟ้าจางๆ อยู่ใต้ผิวหนังของเขาซึ่งเต็มไปด้วยรัศมีเย็นสุดขั้ว ถ้าเป็นเวลาอื่นก็เพียงพอแล้วที่จะแช่แข็งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกได้ แต่ตอนนี้ขณะที่มันไหลเข้าสู่ร่างกายของมู่เฉิน กลับเหมือนมีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งและทรงพลังพลุ่งพล่านเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างช้าๆ
บนใบหน้าของมู่เฉินไอเย็นสีฟ้าค่อยๆ ละลายไป เมื่อรัศมีเย็นสุดขั้วหายไปอย่างสมบูรณ์ เขาก็ลืมตาขึ้นทันที
รัศมีสีฟ้าเย็นรวมตัวกันในรูม่านตาของเขา ชั้นบรรยากาศเบื้องหน้าแข็งตัวกลายเป็นน้ำแข็งภายใต้การจ้องมองของเขาเหมือนมีลวดลายน้ำแข็งวาบผ่านในดวงตา
ฮา!
ไอหมอกสีฟ้าขุ่นกลุ่มหนึ่งพรูออกมาจากลำคอของมู่เฉิน ไอเย็นสุดขั้วถูกปล่อยออกมา เมื่อมวลลมแหลมคมที่ซัดมาจากทุกทิศทุกทางสัมผัสกับไอเย็นก็ถูกแช่แข็งทันที
แสงสีทองกำจายอยู่บนร่างของมู่เฉิน ความเย็นที่อัดแน่นในร่างกายก็หายไปอย่างสมบูรณ์ ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกอุ่นสบาย
ราวกับว่าความหนาวเย็นที่สุดระหว่างสวรรค์และโลกไม่สามารถคุกคามเขาได้อีกต่อไป
เขาก้มหน้าลงช้าๆ ก็เห็นว่าไม่เพียงแต่ลวดลายมังกรบนแผ่นอกขยายขนาดขึ้น แต่ดวงตาที่เปิดออกเล็กน้อยยังเริ่มขยับและค่อยๆ เปิดขึ้นมากกว่าเดิม
ฮึ่ม!
ดวงตามังกรเปิดออก แม้ว่าจะเป็นเพียงครึ่งเดียว แต่การระเบิดของแรงกดดันมังกรแท้จริงกะทันหันก็ทำให้เกิดรอยแตกขึ้นบนยอดเขาที่มู่เฉินนั่งอยู่
ในเวลาเดียวกันลวดลายหงส์ฟ้าที่แผ่นหลังก็สยายปีกออกอย่างช้าๆ ไปถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
พลังอำนาจของมังกรและหงส์ฟ้ากวาดออกมา ยอดเขาก็ไม่อาจรับได้อีกต่อไป หินน้อยใหญ่ร่วงกราวลงมาจากรอยแตก
ยอดเขาเกิดการสั่นสะเทือน มู่เฉินก็ยืดตัวตรง ที่ลำตัวส่วนบนเปลือยเปล่าไม่มีพลังงานหลิงวนเวียนอยู่รอบตัวเลย ทว่าเมื่อพายุที่สามารถแยกร่างจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกกรูเข้ามา ก็เหลือไว้เพียงรอยขีดข่วนสีขาวบนผิวของเขาเท่านั้น
ร่างกายของเขามีการพัฒนามากหลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งการชำระครั้งนี้
เขาสามารถรู้สึกได้ว่าเข้าใกล้ขั้นสองของกายามังกรหงส์ยิ่งขึ้นไปอีกแล้ว
แต่สถานที่นี้ไม่สามารถช่วยชำระร่างกายเขาได้อีกต่อไป
“เสร็จแล้วสินะ…”
มู่เฉินกำมืออย่างช้าๆ รู้สึกได้ถึงพลังงานระเบิดภายในร่างกาย รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏที่มุมปาก จากนั้นสายตาก็มองไปทางไกล คนพวกนั้นน่าจะกำลังพยายามที่จะเข้าสู่ชั้นสี่แล้วสินะ?
ดูเหมือนว่าเขาจะต้องใช้กำลังเต็มพิกัดแล้ว ไม่งั้นถ้าเขาถูกกำจัดด้วยวิธีนี้ก็คงเสียหน้ากับการที่จิ่วโยวมอบตำแหน่งนี้ให้…
เมื่อคิดถึงจุดนี้มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาสะบัดนิ้วออก แสงสีทองกระจายบนแผ่นหลัง ปีกสีทองขนาดใหญ่แผ่ออกมาอย่างช้าๆ
ตู้ม!
ปีกกระพือทำให้เกิดลมพัดแรงฉีกขาดพายุในบริเวณนี้ทันที กระแสไอเย็นสีฟ้าไม่สามารถขัดขวางร่างของมู่เฉินได้อีก เขากลายเป็นร่างแสงพุ่งออกมาจากพื้นที่ด้วยเร็วที่ไม่สามารถอธิบายได้
เป็นความเร็วที่เกินกว่าจงเถิงและคนอื่นๆ หลายเท่า!
ทันทีที่มู่เฉินเคลื่อนไหว
ทุกคนที่อยู่นอกเจดีย์ฝึกพลังกายก็สามารถสัมผัสได้ พวกเขารีบเบนสายตาไป จากนั้นสีหน้าก็ตะลึงค้างกันหมด
หลิ่วชิงที่มีสีหน้าเยาะเย้ย ใบหน้าก็ค่อยๆ แข็งทื่อ