ท้องฟ้าของช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์สว่างสดใส และปลอดโปร่งที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้เห็น ภายใต้อากาศเย็นสบาย ฟ้าในฤดูใบไม้ร่วงที่เป็นสีน้ำเงินเข้ม ถูกยกขึ้นสูงและไร้ซึ่งเมฆแม้แต่ก้อนเดียว 

 

 

ฉันที่ออกจากบ้านตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายตั้งแต่เช้าตรู่ กำลังยืนส่องกระจกที่ติดอยู่ข้างๆ ประตูหน้าบ้านด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น 

 

 

เสื้อไหมพรมคอกว้างกับกางเกงยีนส์ และผมที่มัดสูงขึ้นไป ฉันค่อยๆ ตรวจดูทุกอย่างไปตามลำดับ แล้วจึงลองฉีกยิ้มกว้างขณะส่องกระจก หลังจากที่ลองทาลิปกลอสสีแดงอ่อนๆ ลงไปบนปาก ฉันก็คิดว่า มันจะดูตั้งใจเกินไปหรือเปล่านะ จึงลบทิ้ง แต่พอคิดอีกว่า นี่เป็นการไปเที่ยวครั้งแรกนะ ฉันก็ทากลับไปใหม่ ก่อนจะลบทิ้งอีกครั้ง ฉันทำอย่างนี้อยู่หลายครั้งหลายหน 

 

 

“…คิมฮวีกยอม นี่เธอกำลังทำอะไรอยู่น่ะ” 

 

 

ฉันใช้เวลายืนส่องกระจกอยู่คนเดียวอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนจะเริ่มรู้สึกตลกในด้านที่ไม่คุ้นเคยของตัวเอง จนต้องระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นออกมาในที่สุด  

 

 

ความกังวลที่ก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัวทำให้ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ ขณะที่เดินจ้ำอ้าวไปยังป้ายรถเมล์ สายลมเย็นๆ ที่ทำให้รู้สึกดีพัดผ่านมา ฉันรู้สึกได้ว่าริบบิ้นที่ถูกผูกเอาไว้กับผมที่มัดขึ้นไปกำลังขยับเบาๆ ไปตามก้าวแต่ละก้าวที่เดินไป 

 

 

เซจินพูดด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าฉันคงจะรู้สึกอึดอัดเพราะนี่เป็นการไปเที่ยวกับพวกรุ่นพี่ แต่ตลอดเวลาที่ซ้อมด้วยกันมา ฉันก็ค่อนข้างจะสนิทกับพวกรุ่นพี่มากขึ้น มันก็เลยไม่ได้รู้สึกอึดอัดขนาดนั้น ถ้าจะมีอะไรสักอย่างที่ค้างคาใจฉัน ก็คงจะเป็นรุ่นพี่โซยอนล่ะมั้ง 

 

 

พอนึกถึงรุ่นพี่โซยอน ฉันก็รู้สึกหนักใจขึ้นมาอีกครั้ง รุ่นพี่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ฉันเลยคิดว่าคงจะไม่มีเรื่องอะไรที่จะทำให้ฉันต้องไปอยู่กับรุ่นพี่โซยอนสองต่อสอง แต่พอคิดว่าจะต้องมาอยู่ด้วยกันตลอดสองวันหนึ่งคืน อนาคตข้างหน้ามันก็ดูมืดมนซะจนฉันต้องสูดลมหายใจเข้าไปให้เต็มปอดเลยล่ะ 

 

 

รุ่นพี่อีกงบอกว่ามีเรื่องจะต้องไปเตรียมเยอะ เลยล่วงหน้าไปยังสถานีขนส่งพร้อมกับพวกรุ่นพี่ผู้ชายคนอื่นๆ แล้ว ฉันเลยต้องนั่งรถเมล์ไปเพียงลำพัง ขณะที่อยู่บนรถ ฉันก็นั่งมองดูวิวทิวทัศน์ข้างนอกหน้าต่างที่ระยิบระยับ 

 

 

ลมเย็นๆ ลอดผ่านเข้ามาจากช่องหน้าต่างของรถเมล์ที่เปิดอยู่เล็กน้อย สายลมของฤดูใบไม้ร่วงให้กลิ่นของใบไม้แห้งที่โชยมาจากที่ไหนสักแห่ง ทันใดนั้นฉันหลับตาลงด้วยความรู้สึกดี พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ 

 

 

กว่าจะรู้สึกตัว รถเมล์ก็มาหยุดอยู่ตรงสถานีขนส่งที่แออัด ฉันมาถึงยังสถานที่นัดหมาย กำสายประเป๋าไว้แน่นพร้อมกับมองไปรอบๆ คนที่ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ยักษ์ คนที่วิ่งไปด้วยท่าทางรีบร้อนพร้อมกับตั๋วในมือเหมือนจะสายแล้ว คนที่ใส่เสื้อสีสันสดใสที่มาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างๆ คนแก่ที่เดินหลังงอ และเด็กตัวน้อยๆ ที่จับมือแม่… 

 

 

สถานีขนส่งถูกเติมเต็มด้วยผู้คนต่างๆ ที่มาที่นี่ด้วยเรื่องราวซึ่งแตกต่างกันออกไป 

 

 

เสียงดังจอแจ กลิ่นของอาหารที่โชยมาจากสักที่ และรอยเท้าที่วุ่นวาย ไม่รู้ทำไมสภาพของสถานีขนส่งที่ดูมีชีวิตชีวาเหมือนกับตลาดเก่านี่ ถึงได้พลอยทำให้ฉันเริ่มรู้สึกตื่นเต้นไปด้วย 

 

 

ฉันจะต้องรออยู่ท่ามกลางคลื่นมวลชนนี้นานสักแค่ไหนกันนะ ขณะที่ฉันกำลังเหม่อลอยมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมา ก็มีใครบางคนมาคนมาตบบ่าของฉันเบาๆ 

 

 

“ดูอะไรอยู่น่ะ” 

 

 

“รุ่นพี่!” 

 

 

รุ่นพี่อีกงเสยผมที่ดูจะสั้นลงเล็กน้อยขึ้น พลางมองฉันด้วยรอยยิ้มร่าเริง การแต่งตัวของรุ่นพี่ที่สวมคาร์ดิแกนบางๆ สีเทาทับเสื้อเชิ้ตสีขาวกับดวงตาที่โค้งงอ พอได้เห็นรุ่นพี่ที่คุ้นเคยในสถานที่ที่ไม่คุ้นชินแล้ว มันก็ทำให้ฉันสบายใจขึ้นมาอย่างประหลาด 

 

 

“มาเร็วจังนะ” 

 

 

“ก็ฉันเด็กที่สุดนี่คะ จะทำให้พวกรุ่นพี่รอได้ยังไงล่ะคะ” 

 

 

“โอ้ นึกว่าอยู่ในค่ายทหารเสียอีก” 

 

 

รุ่นพี่อีกงหัวเราะอย่างสนุกสนาน ก่อนจะเอากระเป๋าใบยักษ์ลงจากหลัง แล้วมองไปรอบๆ 

 

 

“จุนกับฮยอนยังไม่มาอีกเหรอเนี่ย” 

 

 

“ไม่ใช่ว่าจะมาเจอกันก่อนเหรอคะ” 

 

 

“อือ พี่บอกให้พวกนั้นไปซื้อของก่อนแล้วค่อยตามมา พี่เลยมาถึงก่อนน่ะสิ” 

 

 

“ทำไมล่ะคะ แล้วทำไมรุ่นพี่ไม่ช่วยด้วยล่ะ” 

 

 

“ก็กลัวว่าเธอจะรอ พี่ก็เลยใช้อำนาจนิดหน่อยน่ะสิ ทำไมล่ะ” 

 

 

พี่โดนหาว่าโหดร้ายด้วยล่ะ รุ่นพี่พูดพลางหัวเราะคิกคัก อยู่ๆ ฉันก็รู้สึกจั๊กจี้ที่แก้มทั้งสองข้างขึ้นมา ฉันหันขวับไปมองรอบข้างด้วยความเขิน แต่ทันใดนั้นก็มีผ้านุ่มๆ อุ่นๆ มาพันอยู่รอบคอของฉัน 

 

 

“อ๊ะ…” 

 

 

“ถ้าเป็นหวัดขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ ทำให้ถึงใส่เสื้อเปิดคอขนาดนี้ออกมาเนี่ย” 

 

 

ผ้าพันคอบางๆ ของรุ่นพี่กำลังพันอยู่รอบคอของฉัน บางทีเขาคงจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่เสื้อของฉันมันผ่ายาวไปด้านข้างสินะ อืมม รุ่นพี่ทำหน้าครุ่นคิดพลางจัดผ้าพันคอให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะพยักหน้าแล้วยิ้มอย่างพอใจเมื่อคอของฉันถูกปกปิดเอาไว้อย่างมิดชิด 

 

 

“สวยมาก” 

 

 

ต่อจากนั้นฝ่ามือใหญ่ๆ ของรุ่นพี่ก็เอื้อมมาลูบผมฉันอย่างไม่มีปี่มีขุ่ย ฉันเอาหน้าซ่อนเข้าไปใต้ผ้าพันคอแล้วแอบยิ้ม ฉันว่ากว่าครึ่งหนึ่งของคำชมที่ฉันได้รับมาตลอดทั้งชีวิตอาจจะเป็นคำที่ได้ยินจากรุ่นพี่ก็ได้ 

 

 

สวยจัง น่ารักจัง คำเหล่านี้เป็นคำที่เมื่อได้ยินครั้งแรกก็จะรู้สึกเขินจนทำอะไรไม่ถูก และตอนนี้ก็กลายมาเป็นคำที่ฉันเฝ้ารอที่จะได้ยิน ดังนั้นฉันเลยมักจะเอาแต่ยืนอยู่หน้ากระจก จนอาจจะติดเป็นนิสัยชอบเช็คดูหน้าของตัวเองไปแล้วก็ได้ เพราะว่าฉันอยากจะดูสวยขึ้นแม้จะนิดหน่อยก็ยังดี เพราะว่าฉันอยากจะได้ยินคำชมนั้นอีกสักครั้ง 

 

 

“โย่ ฮวีกยอมมาแล้วเหรอ!” 

 

 

รุ่นพี่ซอจุนกับรุ่นพี่ฮยอนจุนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับกล่องใบใหญ่เต็มมือทั้งสองข้าง ทั้งสองคนต่างมีรูปร่างผอมและสูงโปร่งจนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนทั้งที่อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย 

 

 

รุ่นพี่ฮยอนจุนยกแขนขึ้นสูงพร้อมกับโบกมือ แต่แล้วในตอนที่ฉันกำลังจะโบกมือกลับไปให้รุ่นพี่ฮยอนจุนด้วยความร่าเริง ฉันก็เหลือบไปเห็นรุ่นพี่โซยอนที่ค่อยๆ เดินมาจากข้างหลังของรุ่นพี่ฮยอนจุน ฉันจึงหยุดมือที่ยกขึ้นมาเอาไว้กลางอากาศ 

 

 

“เจอโซยอนเข้าระหว่างทางน่ะครับ” 

 

 

จู่ๆ รุ่นพี่ฮยอนจุนที่มาหยุดอยู่ตรงหน้ารุ่นพี่อีกงกับฉันก็พูดขึ้นมาพลางวางกล่องลง รุ่นพี่โซยอนมาในชุดกระโปรงลายดอกไม้อ่อนๆ รอยยิ้มของรุ่นพี่โซยอนขณะทัดผมที่ปล่อยยาวสลวยไปไว้หลังหู ดูใสซื่อเหมือนเช่นปกติ 

 

 

“สวัสดีค่ะรุ่นพี่” 

 

 

“อื้อ หวัดดี มาเร็วจังนะ” 

 

 

รุ่นพี่รับการทักทายของรุ่นพี่โซยอนด้วยการยิ้มตอบตามปกติ ก่อนจะหันไปมองดูกล่องที่รุ่นพี่ซอจุนกับรุ่นพี่ฮยอนจุนหิ้วมา ระหว่างที่ผู้ชายทั้งสามคนตรวจสอบของในกล่อง ฉันก็ได้แต่ยืนเกร็ง โดยที่ไม่รู้ว่าควรจะมองไปทางไหนดี 

 

 

เหมือนว่ารุ่นพี่โซยอนจะหันมามองฉันอยู่สักพัก ก่อนที่จะเคลื่อนสายตาไปยังรุ่นพี่อีกงที่กำลังนั่งคุกเข่าตรวจดูสิ่งของในกล่องอยู่ 

 

 

พอได้เห็นสายตาเศร้าๆ นั่น มันก็ทำให้ฉันเผลอนึกถึงวันที่รุ่นพี่โซยอนสารภาพรักกับรุ่นพี่อีกงขึ้นมา รุ่นพี่โซยอนที่ร้องไห้จนไหล่อันผอมบางนั่นสั่นขึ้นลงเบาๆ  

 

 

แล้วอยู่ๆ มุมหนึ่งภายในใจของฉันก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาราวกับมีก้อนหินทับอยู่ นั่นเป็นเพราะฉันมองเห็นตัวเองในอดีตผ่านดวงตาของรุ่นพี่โซยอนที่กำลังมองจ้องไปที่รุ่นพี่อีกง 

 

 

ฉันในตอนนั้นที่ปรารถนาอย่างแรงกล้าว่าอยากจะให้รุ่นพี่ชอบฉัน ฉันคงทำแววตาเจ็บปวดเหมือนกับรุ่นพี่โซยอนสินะ ถ้าเกิดรุ่นพี่อีกงคบกับรุ่นพี่โซยอนล่ะก็ ฉันอาจจะเกลียดรุ่นพี่โซยอนเข้าไส้เลยก็ได้ พอคิดแบบนั้นขึ้นมา มันก็ทำให้หัวใจที่หนักอึ้งของฉันรู้สึกเจ็บแปล๊บๆ 

 

 

ฉันเกิดความคิดขึ้นมาว่าบางทีรุ่นพี่โซยอนอาจจะไม่ต้องการที่จะรู้สึกเจ็บปวด เลยเลือกที่จะเกลียดฉันก็ได้ เพราะถ้าไม่เกลียดฉัน หัวใจของรุ่นพี่อาจจะเจ็บจนไม่สามารถทนไหวก็ได้ เหมือนกับตอนที่ฉันรู้สึกอิจฉาใครคนอื่นจนรู้สึกเจ็บปวดใจตอนที่ยังไม่รู้ว่ารุ่นพี่อีกงชอบฉัน 

 

 

ผู้คนมากมายในสถานีขนส่งที่สับสนวุ่นวาย ผู้คนที่โอบกอดเรื่องราวต่างๆ เอาไว้ข้างในใจ เหมือนกับผู้คนเหล่านั้นภายในที่แห่งนี้ที่มีทุกอย่างแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นจุดหมายปลายทาง อายุ หรือเพศ พวกเราเองก็ต่างมีจิตใจที่ต่างกัน และกำลังมุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่ต่างออกไป ไม่ว่าจะรุ่นพี่โซยอน หรือว่าจะฉันก็ตาม 

 

 

“อ๊ะ คนอื่นๆ มานู่นแล้ว” 

 

 

รุ่นพี่อีกงลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนสั้นๆ นั่นเลยทำให้ฉันตื่นขึ้นจากภวังค์ ภาพของพวกรุ่นพี่ที่เดินเข้ามาเป็นวงกลมทำให้ฉันพยายามสลัดความคิดเกี่ยวกับรุ่นพี่โซยอนออกไปจากหัว ไม่รู้ทำไมส่วนหนึ่งในหัวใจของฉันถึงได้รู้สึกแห้งกรอบเหมือนกับเสียงของสายลมในฤดูใบไม้ร่วง 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

จุดหมายปลายทางของพวกเราก็คือซกโชในเขตคังวอน รถเมล์กำลังวิ่งอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่หลังผ่านเขตใจกลางเมืองที่แสนวุ่นวายมาแล้ว ฉันนอนพิงเก้าอี้ด้วยร่างกายที่เหนื่อยล้าเพราะต้องตื่นมาตั้งแต่เช้าตรู่ พลางมองดูสายน้ำที่ส่องประกายระยิบระยับเป็นสีทองอยู่ข้างนอกหน้าต่างนั่น แต่จู่ๆ เสียงทุ้มต่ำของรุ่นพี่อีกงก็ดังแว่วเข้ามา 

 

 

“ตื่นเต้นเนอะ” 

 

 

“…ค่ะ” 

 

 

รุ่นพี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ยิ้มหน้าบาน พลางค่อยๆ จับหัวของฉันพิงไหล่ของรุ่นพี่เอาไว้ ถึงฉันจะสะดุ้งตกใจด้วยความเขิน แต่รุ่นพี่ก็ยังคงจับหัวฉันไว้ ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ 

 

 

“ระ รุ่นพี่คะ” 

 

 

“หือ” 

 

 

“ถ้ารุ่นพี่คนอื่นมาเห็นเข้าจะว่าไงล่ะคะ…” 

 

 

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ยังไงซะ คนอื่นเขาก็รู้กันหมดแล้วว่าเราคบกัน” 

 

 

แถมยังต่อท้ายด้วยอีกว่า ยังไงพี่ก็จัดการได้ ก่อนจะยิ้มเล็กๆ ในที่สุดฉันจึงล้มเลิกความตั้งใจ แล้วยอมเอาหัวพิงไหล่ของรุ่นพี่อย่างว่าง่าย ฉันพยายามหายใจเข้าลึกๆ อย่างเงียบๆ เพื่อทำให้หัวใจที่เต้นตูมตามสงบลง ไหล่แน่นๆ ของรุ่นพี่นี่มันช่างสบายจริงๆ พอมือเฉียดผ่านกันเล็กน้อย รุ่นพี่ก็เอื้อมมาจับมือของฉันต่อในทันที 

 

 

“ดีจริงเลยน้า” 

 

 

เสียงพึมพำเบาๆ ของรุ่นพี่ทำให้ฉันยิ้มร่าออกมาโดยไม่รู้ตัว ฉันชอบทั้งฝ่ามือที่แนบชิดกัน ทั้งไหล่อันอบอุ่นของรุ่นพี่ หรือแม้แต่หัวใจที่กำลังสั่นไหวเหมือนกับรถเมล์ที่สั่นโคลงเคลง ฉันดื่มด่ำไปกับความสั่นไหวที่แสนสงบราวกับจะไม่มีวันสิ้นสุด จนเผลองีบหลับไปโดยไม่รู้ตัว 

 

 

 

 

 

เวลาผ่านไปนานแค่ไหนกันนะ ฉันหลับๆ ตื่นๆ ซ้ำไปมา จนจู่ๆ ก็รู้สึกว่ามือที่วางอยู่บนตักกำลังกำอะไรบางอย่างอยู่  

 

 

พอลองแบมือที่กำลังกำอยู่ในสภาพเคลิ้มๆ ฉันก็พบว่ามีกระดาษที่ถูกพับเป็นแผ่นเล็กๆ วางอยู่ เอ๋ ด้วยความงง ฉันจึงค่อยๆ คลี่เจ้าสิ่งนั้นอย่างระมัดระวัง 

 

 

“อ๊ะ…” 

 

 

จดหมายนั่นเอง จดหมายฉบับเล็กที่อัดแน่นไปด้วยลายมือเรียบร้อยของรุ่นพี่อีกง ฉันจึงรีบเงยหน้าขึ้นมามองรุ่นพี่ เขากำลังนั่งเอียงหัวมาทางฉันเล็กน้อยขณะที่ยังคงนั่งพิงเก้าอี้ ดวงตาของรุ่นพี่ที่มองมาที่ฉันกำลังยิ้มอยู่ 

 

 

ด้วยความงุนงง ฉันจึงมองสลับกันไปมาระหว่างจดหมายในมือกับใบหน้าของรุ่นพี่ แต่แล้วรุ่นพี่ก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงแผ่วเบาจนเกือบจะไม่ได้ยิน 

 

 

“ที่ระลึกสำหรับการไปเที่ยวครั้งแรก” 

 

 

“…” 

 

 

“เที่ยวให้สนุกกันดีกว่าเนอะ” 

 

 

ฉันค่อยๆ อ่านจดหมายของรุ่นพี่ด้วยใบหน้าเอ๋อๆ จดหมายฉบับนั้นขึ้นต้นด้วยคำว่า ‘ถึงฮวีกยอม’ จากนั้นก็เขียนเอาไว้ว่า ดีใจจัง ต่อไปพี่หวังว่าพวกเราจะมาเที่ยวกับแบบนี้บ่อยๆ นะ ตัวอักษรแต่ละตัวอักษรถูกเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน  

 

 

ลายมือเรียบร้อยสมกับเป็นรุ่นพี่จริงๆ ระหว่างที่ฉันอ่านไล่ลงไปเรื่อยๆ รอยยิ้มบางๆ ก็ถูกแต่งแต้มขึ้นบนใบหน้าของฉันโดยไม่รู้ตัว 

 

 

“คำตอบน่ะ พี่ขอตอนนี้เลยแล้วกันนะ” 

 

 

“…คะ?” 

 

 

ฉันพับจดหมายที่อ่านจนเสร็จแล้วกลับไปเหมือนเดิมอีกครั้งอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จู่ๆ รุ่นพี่จะมากระซิบเบาๆ ที่ข้างหู พอฉันมองรุ่นพี่ด้วยความสงสัย รุ่นพี่ก็เอามือเคาะเบาๆ ลงบนริมฝีปากตัวเอง พร้อมกับยิ้มร่า วินาทีนั้นฉันพยายามที่จะหันใบหน้าที่ร้อนผ่าวเพราะความประหม่าไปทางอื่น แต่รุ่นพี่กลับยื่นมือมาจับที่แก้มของฉัน 

 

 

“จะให้ทำตรงนี้ได้ยังไงล่ะคะ” 

 

 

“ครั้งเดียวเอง นะ” 

 

 

“…มันเป็นการเสียมารยาทต่อที่สาธารณะนะคะ” 

 

 

“ก็แค่จุ๊บเบาๆ เอง” 

 

 

เร็วสิ น้ำเสียงของรุ่นพี่ที่เร่งเร้ามาฟังแล้วรู้สึกจั๊กจี้หูชะมัด ฉันทำหน้าลำบากใจ พลางหันไปมองดูรอบข้าง หลังจากที่เช็คดูแล้วว่าพวกรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทางเดินแคบๆ กำลังหลับกันอยู่ ฉันก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะรีบจุ๊บลงบนริมฝีปากของรุ่นพี่อย่างเงียบๆ 

 

 

“…รุ่นพี่ขี้แกล้งชะมัด” 

 

 

“อะไรเล่า” 

 

 

พอฉันแกล้งทำเป็นบ่นออกมา รุ่นพี่หัวเราะคิกคักพลางลูบหัวฉัน ชักจะลำบากแล้วสิ จริงๆ เลย ตัวปัญหาของความลำบากจริงๆ ก็คือรุ่นพี่อีกงที่ทำตัวน่ารักขึ้นเรื่อยๆ เนี่ยแหละ แต่ถึงอย่างงั้นฉันก็ยังชอบอยู่ดี 

 

 

ฉันกำจดหมายของรุ่นพี่ที่ถูกพับเอาไว้ในมือแน่น พร้อมกับยิ้มไม่ยอมหุบ ทั้งรุ่นพี่ที่น่ารักจนทำให้ฉันลำบาก ทั้งใจดวงนี้ที่อยากจะสัมผัสรุ่นพี่ ทั้งความร้อนรุ่มของรุ่นพี่ที่แผดเผาเสียจนภายในหัวขาวโพลนไปหมด มันทำให้ฉันมีความสุข และรู้สึกดีจนกลายมาเป็นความกลัวแทน 

 

 

“ขอบคุณนะคะรุ่นพี่” 

 

 

“หือ?” 

 

 

“จดหมายน่ะค่ะ” 

 

 

รุ่นพี่ฉีกยิ้มกว้างให้กับคำพูดที่ฉันรวบรวมความกล้าพูดมันออกมา อ๊ะ เป็นอย่างนี้จริงๆ ด้วย แค่มีรอยยิ้มนี้แค่รอยยิ้มเดียว ฉันก็สามารถวิ่งไปได้จนถึงที่สุด รถเมล์ที่สั่นโคลงกับหัวใจที่วิ่งเร็วไม่หยุด บางทีความตื่นเต้นอันอบอุ่นนี้ อาจจะทำให้ฉันเหนื่อย แต่ฉันก็ยังคงก้าวเดินต่อไปข้างหน้าโดยไม่หยุดพัก 

 

 

ฉันเอนหัวพิงลงไปที่ไหล่ของรุ่นพี่อีกครั้ง พลางหันออกไปมองที่นอกหน้าต่าง แสงแดดในฤดูใบไม้ร่วงที่ลอดผ่านกระจกเข้ามาช่างอบอุ่นราวกับอยู่ในฤดูร้อน 

 

 

 

 

 

* * *