ประเทศจีนกำลังจะเปลี่ยนไป!
  และครั้งนี้คำพูดลักษณะนี้ก็ออกมาจากปากของผู้นำตระกูลเย่อย่างเย่ชิงเฟิง!
  “ลุงสอง!เช่นนั้นแล้วพวกเราควรทำอย่างไรต่อไปดี” เย่เทียนสุ่ยร้องถามออกมาอย่างใคร่รู้..
  “สิ่งใดที่เคยเกิดขึ้นในอดีตย่อมต้องเกิดขึ้นในวันข้างหน้า!”
  “เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลใจไป..หน้าที่ของเจ้าคือขยันหมั่นเพียรฝึกวิชาให้มาก และกลั่นกระบี่ให้สำเร็จโดยเร็ว จะได้สามารถช่วยตระกูลเย่ของเราให้รอดพ้นจากสถานการณ์เลวร้าย ที่อาจเกิดขึ้นในวันข้างหน้าได้!”
  หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเย่ชิงเฟิงดวงตาของเย่เทียนสุ่ยก็เป็นประกายขึ้นมาทันที เขารีบพยักหน้าและตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น  “ท่านลุงสอง..ข้าจะตั้งใจฝึกฝนวิชาให้มาก จะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวังแน่!”
  เย่ชิงเฟิงยิ้มออกมาก่อนจะพูดต่อว่า“รอให้เจ้าสามารถข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ในครั้งนี้ได้สำเร็จเสียก่อน จากนั้นข้าจะมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลเย่ให้กับเจ้า!”
  “ห๊ะ!”
  ครั้งนี้เย่เทียนสุ่ยถึงกับตกตะลึงยิ่งกว่าทุกครั้ง..
  หลังจากที่นิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่และทันทีที่ได้สติ เย่เทียนสุ่ยก็รีบระล่ำระลักถามกลับเย่ชิงเฟิงกลับไปทันที
  “ท่านลุงสอง..นี่ท่านล้อข้าเล่นใช่หรือไม่!”
  “เวลานี้ตัวท่านเองก็ไม่ได้แก่ชราอีกทั้งยังหนุ่มยังแน่น เหตุใดจึงคิดที่จะสละตำแหน่งผู้นำตระกูลเล่า!”
  เย่เทียนสุ่ยนิ่งไปครู่หนึ่งคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างในที่สุดก็พูดออกมาว่า“หากท่านต้องการที่จะสละตำแหน่งผู้นำตระกูลจริง เหตุใดจึงไม่ยกตำแหน่งนี้ให้กับเทียนตูที่พร้อมกว่าข้านัก เขาทั้งเก่ง และแข็งแกร่งกว่าข้าเป็นไหนๆ!”
  เย่ชิงเฟิงยังคงนิ่งเงียบและกำลังสังเกตสีหน้าท่าทางของเย่เทียนสุ่ยว่า คำพูดของเขานั้นออกมาจากใจจริงหรือไม่ และเมื่อพบว่าเย่เทียนสุ่ยดูเหมือนจะไม่ต้องการรับตำแหน่งผู้นำตระกูลจริงๆ เขาจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าพึงพอใจ
  “อุปนิสัยเช่นนี้คงจะสืบทอดให้กับทายาทตระกูลเย่ทุกรุ่นสินะ!เฮ้อ.. ดูเหมือนจะไม่มีผู้ใดต้องการรับตำแหน่งผู้นำตระกูลเลยแม้แต่คนเดียว!”
  เย่เทียนสุ่ยฟังแล้วก็ได้แต่พึมพำอยู่ในใจคนเดียวเงียบๆ‘ตำแหน่งที่เต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ ใครอยากจะเป็นกันเล่า’
  และแน่นอนว่าคำพูดเช่นนี้มีหรือที่เย่เทียนสุ่ยจะกล้าพูดต่อหน้าผู้นำตระกูลอย่างเย่ชิงเฟิง!   เย่ชิงเฟิงไม่มีทางเลือกจึงได้แต่พูดออกไปว่า“เวลานี้สถานการณ์ในปักกิ่งได้เปลี่ยนไปแล้ว เด็กหลิงหยุนนั่นก็ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลหลิง หากเจ้าไม่ขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลเย่ ในวันประชุมเหล่าผู้นำตระกูลใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า เจ้าจะให้ข้าไปเผชิญหน้ากับเด็กนั่นด้วยตัวเองงั้นรึ!”
  “เอ่อ..”
  เย่เทียนสุ่ยถึงกับพูดอะไรไม่ออก..
  เย่ชิงเฟิงสมกับเป็นผู้ที่คิดอ่านรอบคอบยิ่งนักเขาคิดไปถึงเรื่องความอาวุโสของตนเอง ซึ่งคงจะไม่เหมาะสมนัก ที่จะไปเผชิญหน้ากับหลิงหยุนผู้มีอายุน้อยกว่าในฐานะผู้นำตระกูลของทั้งสองตระกูล..
  “เอาล่ะ..ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะพูดคุยกันเรื่องนี้ ไว้ถึงเวลาที่เหมาะสมค่อยพูดจากันอีกครั้ง!”
  เย่ชิงเฟิงไม่ต้องการลงรายละเอียดในเรื่องนี้มากนักเขาเพียงแค่ต้องการบอกกล่าวให้เย่เทียนสุ่ยได้รู้ก่อนล่วงหน้าเท่านั้น เพื่อที่เย่เทียนสุ่ยจะได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
  เย่เทียนสุ่ยถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกจากนั้นจึงถามขึ้นด้วยท่าทีนอบน้อม “ท่านลุงสอง.. เช่นนั้นแล้วพวกเราตระกูลเย่ควรแสดงท่าทีเช่นใดต่อตระกูลหลิง”
  เย่ชิงเฟิงถอนหายใจและตอบกลับไปว่า“หากตระกูลเย่ไม่ต้องการที่จะมีปัญหากับตระกูลหลิง พวกเราก็ต้องพยายามอยู่ห่างจากคนตระกูลหลิงให้มาก และคอยสังเกตการณ์อยู่ห่างๆเท่านั้น!”
  “ท่านไม่คิดอยากจะทดสอบตระกุลหลิงบ้างเลยรึ!”เย่เทียนสุ่ยถามขึ้น
  เย่ชิงเฟิงยิ้มเล็กน้อยและตอบกลับไปทันทีเช่นกัน “ต่อให้ข้าอยากทำ และมีแผนการที่จะทำ แต่หากน้าหญิงของเจ้าไม่เห็นชอบด้วย เจ้ายังคิดว่าข้าจะทำอะไรได้อีกเล่า”
  และน้าหญิงของเย่เทียนสุ่ยที่เย่ชิงเฟิงพูดถึงนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเย่ชิงซินซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ไปแอบดูหลิงหยุนประลองกับยอดฝีมือของตระกูลซัน และตระกูลเฉินในคืนนั้นนั่นเอง!
  เย่เทียนสุ่ยชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะถามขึ้นด้วยสงสัย “ท่านลุงสอง! มีบางเรื่องที่ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดน้าหญิงจึงต้องดีต่อตระกูลหลิงเช่นนี้ด้วย”
  เย่เทียนสุ่ยนับว่าเป็นผู้ที่ฉลาดล้ำลึกยิ่งนักการที่เขาแสร้งทำเป็นโง่ และถามคำถามเช่นนี้ออกมานั้น ก็เพื่อที่จะค้นหาความจริงอะไรบางอย่าง..
  ด้วยฐานะของตระกูลเย่และความแข็งแกร่งของเย่เทียนสุ่ย เขาจำเป็นต้องหวาดกลัวหลิงหยุนจริงๆเช่นนั้นหรือ!
  คำตอบคือไม่จำเป็นเลย!
  แต่การที่เย่เทียนสุ่ยยอมก้มหัวให้กับหลิงหยุนถึงเพียงนี้ก็เพราะท่าทีของน้าหญิงเย่ชิงซินที่มีต่อตระกูลหลิงนั่นเอง อีกทั้งตัวเขาเองก็มีใจชื่นชอบในตัวหลิงซิ่ว!   เย่เทียนสุ่ยชื่นชอบในตัวหลิงซิ่วมากและทั้งคู่ต่างก็เป็นทายาทรุ่นเล็กของสองตระกูล หากเขาตัดใจจากหลิงซิ่วโดยที่ยังไม่ทันลงมือทำอะไร ความสำเร็จก็ย่อมไม่เกิดเป็นแน่ แต่หากเขาลองพยามดู และสำเร็จขึ้นมาเล่า
  นั่นย่อมหมายความว่า..ตระกูลเย่กับตระกูลหลิงก็จะกลายมาเป็นทองแผ่นเดียวกัน!
  ด้วยเหตุนี้..เย่เทียนสุ่ยจึงยืนกรานไม่ยอมรับปากหลิงหยุนว่าจะเลิกชอบหลิงซิ่ว และรีบกลับมาตระกูลเย่เพื่อสอบถามเย่ชิงเฟิงถึงท่าทีของตระกูลเย่ที่จะมีต่อตระกูลหลิงในวันข้างหน้า
  แต่คำตอบที่ได้หลังจากที่นั่งพูดคุยกับเย่ชิงเฟิงมานานก็คือให้รอดูท่าทีของตระกูลหลิงอยู่ห่างๆเท่านั้น! และนี่ก็เป็นสิ่งที่ตระกูลเย่ปฏิบัติต่อตระกูลหลิงมาตลอดระยะเวลาเกือบยี่สิบปี เท่ากับเย่เทียนสุ่ยไม่ได้คำตอบอะไรใหม่เลย..
  และนี่คืออุปนิสัยของเย่ชิงเฟิง!
  และเมื่อเย่ชิงเฟิงเป็นผู้เอ่ยถึงเย่ชิงซินขึ้นมาก่อนเย่เทียนสุ่ยจึงได้โอกาสที่จะถามคำถามที่เขาเองก็อยากจะรู้คำตอบมานาน แต่เย่เทียนสุ่ยกลับเพียงแค่เหลือบมอง และพูดสั้นๆว่า..
  “นี่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เด็กเช่นเจ้าไม่ควรถาม!”
  แม้เย่เทียนสุ่ยอยากจะถามต่อแต่ในเมื่องเย่ชิงเฟิงออกปากพูดมาเช่นนี้ เขาจึงได้พยักหน้ารับคำสั่ง และถามเรื่องอื่นต่อ
  “ลุงสอง..ในคืนที่น้าหญิงไปแอบดูการประลองของหลิงหยุนนั้น ไม่ทราบว่าหลิงหยุนแข็งแกร่งมากเพียงใดงั้นรึ!”
  “เขาแข็งแกร่งมากทีเดียว!”
  “ความสามารถและความแข็งแกร่งของหลิงหยุนเวลานี้ไม่เพียงสามารถคุกคามตระกูลเย่ได้ แต่ยังเป็นภัยต่อตระกูลหลงได้ด้วยเช่นกัน!”
  “น้าหญิงของเจ้ายังบอกด้วยว่า..ด้วยความแข็งแกร่งของหลิงหยุนเวลานี้ เขาสามารถสังหารยอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับห้าได้เลยทีเดียว!”
  “ห๊ะ..!”
  เย่เทียนสุ่ยถึงกับตกใจและได้แต่พึมพำออกมา “มิน่า.. ทันทีที่กลับมา น้าหญิงก็ได้สั่งห้ามพวกเราทุกคนไม่ให้ไปหาเรื่องหลิงหยุน และที่ดีที่สุดก็คือพยายามอย่าทำตัวเป็นปรปักษ์กับหลิงหยุน!”
  เย่ชิงเเฟิงไม่สามารถทำอะไรได้จึงได้แต่พูดออกไปว่า “เจ้าเองก็พยายามอย่าไปสร้างปัญหาให้กับหลิงหยุน ไม่เช่นนั้นหากเกิดเรื่องราวขึ้นมา อาจเป็นปัญหาต่อตระกูลเย่ของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้..”
  เย่เทียนสุ่ยพยักหน้าพร้อมกับถามขึ้นว่า“เหตุใดท่านลุงจึงไม่ไปสังเกตการณ์ในคืนประลองด้วยตัวเองเล่า”
  เย่ชิงเฟิงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด“เจ้าก็รู้อยู่แล้ว เหตุใดยังต้องถามข้า”   “ในเมื่อน้าหญิงของเจ้าอาสาที่จะไปเช่นนั้นข้าจะเสนอตัวไปได้อย่างไรกันเล่า หรือเจ้าคิดว่าข้าควรขัดใจน้าหญิงของเจ้า?!”
  “ย่อมไม่ควรแน่!”
  เย่เทียนสุ่ยตอบกลับไปทันทีและได้แต่คิดในใจว่าดูเหมือนเย่ชิงเฟิงจะเริ่มอารมณ์ไม่ดีแล้ว..
  หลังจากที่พูดคุยธุระกับเย่เทียนสุ่ยจบแล้วเย่ชิงเฟิงก็ยิ้มออกมาพร้อมกับถามขึ้นว่า “ข้าได้ยินมาว่า.. ในใจของเจ้ามีเพียงหลิงซิ่วจริงหรือไม่!”
  ทันทีที่ได้ยินคำถามของเย่ชิงเฟิงเย่เทียนสุ่ยก็ถึงกับหน้าแดงก่ำ และถึงแม้จะเขินอาย แต่เขาก็พยักหน้ายอมรับพร้อมตอบกลับไปว่า
  “หลิงซิ่วเป็นหญิงสาวที่ดีมากคนหนึ่ง!”
  เย่ชิงเฟิงยิ้มพร้อมบอกกับเย่เทียนสุ่ยไปว่า“ตระกูลเย่ของเราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับตระกูลหลิงเหมือนอย่างตระกูลซัน และตระกูลเฉิน ที่ผ่านมาอาจจะมีบางเรื่องเกิดขึ้น แต่ก็มีเหตุผลของมัน..”
  “เช่นนั้นแล้วหากเจ้าชื่นชอบหลิงซิ่วจริงๆข้าจะไม่ห้าม และตระกูลเย่ก็จะไม่ห้ามเจ้าเช่นกัน หากเจ้ามีความกล้าพอ ก็เดินหน้าทำให้นางชอบเจ้าให้ได้ เพียงแต่…
  “เพียงแต่อะไรรึท่านลุง!”เย่เทียนสุ่ยถามขึ้นทันที
  เย่ชิงเฟิงสำรวจร่างอ้วนท้วนของเย่เทียนสุ่ยตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วจึงถอนหายใจพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “เฮ้อ..เจ้ากลั่นกระบี่จนร่างกายเป็นเช่นนี้ คงยากที่จะทำให้นางมาชื่นชอบเจ้าได้น่ะสิ!”
  เย่เทียนสุ่ยฟังแล้วได้แต่ถอนหายใจออกมาเช่นกัน“ลุงสอง.. ข้ายังมีทางเลือกอีกรึ!”
  “ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า..”
  เย่ชิงเฟิงถึงกับหัวเราะออกมาก่อนจะพูดต่อว่า“แต่ก็นับว่าไม่เสียหลายไม่ใช่รึ! เวลานี้เจ้าเองก็กลั่นกระบี่สำเร็จแล้ว จากนี้ไปก็เพียงแค่รอคอยให้ผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ หลังจากนั้นเจ้าอาจจะมีโอกาสก็เป็นได้..”
  “ขอบคุณท่านลุงที่ให้กำลังใจข้า!”
  เย่เทียนสุ่ยรู้ดีว่า..ร่างเจ้าเนื้อของตนนั้นเกิดขึ้นด้วยสาเหตุอันใด เขาจึงไม่ใส่ใจนักหากจะมีผู้คนหัวเราะเยาะในรูปร่างของตนเอง!
  “มา..ให้ลุงทดสอบฝีมือของเจ้าเสียหน่อย!”
  เย่ชิงเฟิงยกถ้วยชาขึ้นดื่มพร้อมกับร้องบอกเย่เทียนสุ่ย..
  “ท่านลุง..ระวังตัวด้วย!”
  เย่เทียนสุ่ยที่ยังคงนั่งอยู่นั้นได้ร้องตะโกนบอกเย่ชิงเฟิงพร้อมกับปล่อยกระบี่ทรงพลังพุ่งไปข้างหน้าทันที!
  ใบไม้สีเขียวมากมายนับไม่ถ้วนร่วงหล่นและกระจายอยู่เต็มพื้นดินภายในสวน..
  แต่เย่ชิงเฟิงยังคงนั่งจิบชาด้วยสีหน้าท่าทางสงบนิ่งก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “อืมม.. กระบี่ของเจ้านับว่าไม่เลวเลยทีเดียว!”
  แต่ยังไม่ทันทีเย่ชิงเฟิงจะพูดจบดีนักเขาก็เห็นกระบี่ลมปราณสองเล่มที่ดูราวกับกระบี่จริง กำลังพุ่งตรงเข้าหาตนเอง!
  เย่ชิงเฟิงสะบัดข้อมือเพียงเล็กน้อยเพื่อยกถ้วยชาในมือขึ้นสะกัดกั้นกระบี่ลมปราณของเย่เทียนสุ่ย ปลายกระบี่กระทบเข้ากับถ้วยชาจนเกิดเสียงดังเคร้งขึ้น..
  เย่เทียนสุ่ยไม่ยอมแพ้เขาจัดการพุ่งกระบี่ลมปราณอีกสี่เล่มเข้าใส่ร่างของเย่ชิงเฉวียนต่อ เย่ชิงเฉิงยิ้มออกมาพร้อมกับใช้ถ้วยชาในมือสกัดกั้นกระบี่ลมปราณทั้งสี่ไว้ได้อีกครั้งอย่างง่ายดาย
  แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์คือ..แม้เย่ชิงเฟิงจะใช้ถ้วยชาสะกัดกั้นกระบี่ลมปราณของเย่เทียนสุ่ยไว้ แต่น้ำในถ้วยชากลับไม่กระฉอกออกมาเลยแม้แต่น้อย..
  เย่เทียนสุ่ยเห็นเช่นนั้น..ร่างอ้วนของเขาจึงผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ และปลดปล่อยกระบี่ลมปราณพุ่งเข้าจู่โจมเย่ชิงเฟิงพร้อมกันอีกเก้าเล่ม
  เย่ชิงเฟิงสะบัดฝ่ามือข้างซ้ายเบาๆก็สามารถสกัดกั้นกระบี่ลมปราณทั้งเก้าของเย่เทียนสุ่ยไว้ได้ พร้อมกับร้องตะโกนออกไปด้วยความชื่นชม
  “เยี่ยมมาก!คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะสามารถปลดปล่อยกระบี่ลมปราณได้พร้อมกันถึงเก้าเล่มเช่นนี้!”
  หลังจากนั้น..เย่ชิงเฟิงก็สะบัดถ้วยชาในมือขวาของตนให้น้ำกระฉอกออกมา จากนั้นกระบี่น้ำทั้งสิบสองเล่มก็พุ่งเข้าใส่ร่างของเย่เทียนสุ่ยทันที!
  ร่างอ้วนใหญ่ของเย่เทียนสุ่ยรีบกระโดดถอยหลังหลบในขณะเดียวกันก็สร้างกระบี่ลมปราณที่ตัวกระบี่มีขนาดเท่าประตูหนึ่งบานขึ้นมาขวางหน้าตนเองไว้ กระบี่น้ำทั้งสิบสองเล่มของเย่ชิงเฟิงที่พุ่งเข้ามานั้น เจ็ดเล่มฝังอยู่กับกระบี่ลมปราณขนาดใหญ่ของเย่เทียนสุ่ย ส่วนอีกห้าเล่มแฉลบออกไปด้านข้างแทน..   “โอ้..นี่เจ้าสามารถหยุดกระบี่ของข้าได้ด้วยงั้นรึ”
  เย่ชิงเฟิงร้องถามออกมาอย่างพึงพอใจก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ และรินชาดื่มด้วยท่าทีสงบเช่นเคย..
  “ยอดเยี่ยมมาก!นับว่าเจ้าก้าวหน้าไปมากทีเดียว ที่สามารถปรับแต่งกระบี่ลมปราณให้เป็นไปได้ตามใจเช่นนี้!”
  แต่แล้วเย่ชิงเฟิงก็กวาดสายตามองไปรอบๆตัวพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าดูรอบๆตัวเจ้าสิ!”
  เย่เทียนสุ่ยหันไปมองรอบตัวและพบว่ามีใบไม่ขาดร่วงอยู่เต็มพื้นไปหมด และแต่ละใบก็ขาดวิ่นบ่งบอกว่าถูกคมกระบี่เข้าไป..
  “ข้ายังไม่สามารถใช้จิตใจควบคุมกระบี่เหล่านี้ได้!”
  เย่เทียนสุ่ยถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง..
  “การที่เจ้าสามารถปลดปล่อยกระบี่ลมปราณออกมาได้จากทุกส่วนของร่างกายเช่นนี้นั่นก็นับว่าดีมากแล้ว!”
  เย่ชิงเฟิงเอ่ยชื่นชมความสามารถชองเย่เทียนสุ่ยออกมาพร้อมกับท้าทายว่า “เพียงแต่.. ครั้งหน้าข้าอยากเห็นเจ้าใช้กระบี่ลมปราณทั้งสิบสองเล่มของเจ้า สกัดกั้นกระบี่น้ำของข้า!”
  “เอ่อ..”
  เย่เทียนสุ่ยได้แต่แอบนึกบ่นพึมพำอยู่ในใจว่าสิ่งที่เย่ชิงเฟิงเรียกร้องนั้นยากเกินไป..
  ระหว่างนั้น..เย่ชิงเฟิงก็ได้วางถ้วยชาในมือลง พร้อมกับใช้พลังจิตของตนเองควบคุมให้ใบไม้ที่ร่วงอยู่บนพื้นทั้งหมดให้ลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะหมุนรวมตัวกันเป็นกระบี่สีเขียวขนาดใหญ่!
  เย่ชิงเฟิงเดินตรงเข้าไปเขาเอื้อมมือจับกระบี่สีเขียวนั้นร่ายรำเพลงกระบี่อยู่ครู่หนึ่ง หลังจากที่ปล่อยมือ กระบี่สีเขียวเล่มนั้นก็ลอยขึ้นฟ้าหายไปในพริบตา และเวลานี้พื้นดินภายในสวนก็สะอาดราวกับไม่เคยมีใบไม้ร่วงมาก่อน..
  หลังจากที่เย่ชิงเฟิงได้แสดงพลังจิตที่แข็งแกร่งในขั้นพลังเหนือธรรมชาติดระดับหกให้เย่เทียนสุ่ยได้เห็นแล้ว จึงถามขึ้นว่า
  “เทียนสุ่ย..เมื่อครู่เจ้าบอกว่าหลิงหยุนจะมาเยี่ยมชมโรงประมูลชาวยุทธของเราด้วยงั้นรึ”