ภาคที่ 33 กลับชาติมาเกิด ตอนที่ 75 นครหลวงคิมหันตวายุ

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 75 นครหลวงคิมหันตวายุ Ink Stone_Fantasy

 

ณ ประตูเมืองอันสูงตระหง่านของนครหลวงคิมหันตวายุ

เกี้ยวอันหรูหราคันหนึ่งบินตรงเข้าไปยังประตูเมือง สัญลักษณ์ ‘ฝาน’ บนเกี้ยวแสดงให้เห็นถึงสถานะของเจ้าของเกี้ยวอย่างชัดเจน ในนครหลวงคิมหันตวายุ ยังไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินสกุลฝาน ทหารองครักษ์ที่หน้าประตูเมืองก็มิกล้าขัดขวาง ปล่อยให้เกี้ยวอันหรูหราทะยานเข้าไปอย่างองอาจ

บนเกี้ยวมีสาวใช้และองครักษ์กลุ่มหนึ่งห้อมล้อมอยู่ทุกทิศทุกทาง ตงป๋อเสวี่ยอิงและฝานเทียนฉ่งนั่งอยู่บนนั้น

“แม้ดินแดนจิตโลกาจะมีเมืองจำนวนน้อยนิดที่สามารถเทียบเคียงกับนครหลวงคิมหันตวายุของเราได้ แต่หากพูดถึงความใหญ่โตของตัวเมืองแล้ว นครหลวงคิมหันตวายุกลับนับได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาแล้ว!” เห็นได้ชัดว่าฝานเทียนฉ่งพรรณนาเช่นนั้นด้วยความภาคภูมิใจในรัฐโบราณคิมหันตวายุเป็นอันมาก ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตั้งใจฟัง

หากพูดถึงความใหญ่โตของตัวเมืองแล้ว นครหลวงคิมหันตวายุก็เป็นอันดับหนึ่งอย่างแท้จริง

จากข้อมูลที่ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้ในตอนนี้ เนื่องจากห้าบรรพชนแห่งรัฐโบราณสหโลกาที่มีพลังแข็งแกร่งกว่าอยู่ขุมหนึ่งได้กลับชาติมาจุติ ณ ดินแดนจิตโลกา มิใช่สิ่งมีชีวิตของดินแดนจิตโลกามาแต่เดิม เพราะมาจากคนละโลกกำเนิด แม้จะรวมกลุ่มและสร้างเป็นรัฐโบราณสหโลกาขึ้นมา แต่ความสัมพันธ์ภายในของพวกเขาก็มิได้แน่นแฟ้นสักเท่าใดนัก

แม้แต่ตัวเมืองก็มีเมืองบรรพชนถึงห้าแห่งด้วยกัน

“ดูถนนที่รุ่งเรืองแห่งนั้นสิ เต็มไปด้วยสถานที่เสพสุข” ฝานเทียนฉ่งชี้ไปยังบริเวณหนึ่งไกลออกไป สิ่งก่อสร้างบริเวณนั้นล้วนดูแปลกใหม่ มีแสงสีสวยงามโดดเด่นสะดุดตาเป็นอย่างมาก แม้จะมองดูอยู่ไกลๆ ก็ยังถูกทำให้ลุ่มหลงไปได้

เกี้ยววทะยานไปเหนือฟากฟ้าของนครหลวงคิมหันตวายุ ดูเหมือนจะเชื่องข้า แต่อันที่จริงหลังจากแนะนำที่แห่งหนึ่งแล้ว ไม่นานนักก็เคลื่อนที่ในพริบตามุ่งหน้าต่อไป

เมื่อแนะนำไปทีละแห่งๆ…

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกชื่นชม ไม่เสียทีที่เป็นนครหลวงคิมหันตวายุ ช่างเต็มไปด้วยความน่าแปลกใจจริงๆ! แม้แต่การซื้อขายทาสของที่นี่ยังตั้งเป็นชุมชนใหญ่ขึ้นมา

“รัฐโบราณคิมหันตวายุของเรามีกฎหมายเข้มงวด โดยทั่วไปนั้นห้ามการเข่นฆ่าอย่างเด็ดขาด อ๋องและโหวของรัฐภายนอกเมื่อมาถึงที่นี่ก็ล้วนแต่ต้องทำตามกฎระเบียบ ต่อให้เป็นเทพจักรวาล…ก็ไม่กล้าเหิมเกริม แน่นอนว่าด้วยสถานะของเจ้าและข้าก็จะแตกต่างออกไปแล้ว เจ้าเป็นเค่อชิงระดับบนของสกุลฝานเรา! สูงศักดิ์กว่าเทพจักรวาลของรัฐภายนอกเสียอีก อย่างน้อยในรัฐโบราณคิมหันตวายุ สถานะเค่อชิงระดับบนของสกุลฝานนั้นไม่ธรรมดาเลย ตั้งแต่ขั้นอลวนลงมา จะสังหารสักหลายคนก็เป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าจะให้ดีที่สุดก็ต้องเก็บเนื้อเก็บตัวเสียหน่อย อย่าได้สังหารพวกคนที่มีเบื้องหลังและความเป็นมาใหญ่โต มิเช่นนั้นสุดท้ายแล้วก็จะต้องยุ่งยากอยู่บ้างเล็กน้อย” ฝานเทียนฉ่งกล่าว

“อื้ม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า ผู้มาจากรัฐภายนอกเช่นเขา เมื่ออยู่ในนครหลวงคิมหันตวายุก็ถ่อมเนื้อถ่อมตัวหน่อยจะดีกว่า แน่นอนว่าด้วยนิสัยของเขา เมื่ออยู่ในรัฐเมฆทักษิณาก็ไม่ชอบกลั่นแกล้งผู้อื่นอยู่แล้ว จะมีก็แต่ถ้าใครยั่วยุเขา หรือเห็นพวกมารร้าน เขาจึงจะอดลงมือมิได้

ด้วยอำนาจของสกุลฝาน เรื่องโดยทั่วไปล้วนช่วยเขาจัดการได้

“แม้จะห้ามการเข่นฆ่า แต่หากซื้อทาสมาแล้วสังหารเขาก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดแต่อย่างใด” ฝานเทียนฉ่งเอ่ย “บางคนอยากจะวิเคราะห์ร่างกาย ไปจนถึงแก้ไขกายหยาบก็จะซื้อทาสมาชุดใหญ่ โดยทั่วไปทาสก็เป็นพวกมารร้ายที่จับมา หรือทำความผิดมหันต์ หรือเป็นผู้บำเพ็ญจากรัฐภายนอกซึ่งทำสงครามแล้วถูกจับมาเป็นจำนวนมาก”

……

บนถนนสายหนึ่งในนครหลวงคิมหันตวายุ

ผู้บำเพ็ญสองคนเดินเคียงข้างกันพลางสนทนากัน ในจำนวนนั้น คนหนึ่งก็คือปาถัวเฉินที่ตงป๋อเสวี่ยอิงช่วยเหลือมาจากรัฐถูฮวา

“ศิษย์พี่ใหญ่นั้นดีที่สุดเลย ขอเพียงเจ้าเอาใจศิษย์พี่ใหญ่จนเบิกบานใจแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่ย่อมชี้แนะสุราชั้นเลิศ ‘บ้านหกวายุ’ ให้เจ้าอย่างดีแน่นอน” ชายหนุ่มร่างผอมเล็กด้านข้างกลั้วหัวเราะ

ปาถัวเฉินพยักหน้า “อื้ม”

บัดนี้เขาคารวะเข้าอยู่ในสำนักแห่งหนึ่งภายในนครหลวงคิมหันตวายุ ซึ่งเป็นสำนักเล็กๆ ของนครหลวงคิมหันตวายุ ทว่าสามารถตั้งสำนักขึ้นมาในนครหลวงได้ เจ้าสำนักก็เป็นยอดฝีมือระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบคนหนึ่ง ว่ากันว่ายังเป็นคนของ ‘สกุลชาง’ อีกด้วย! ใต้บังคับบัญชาของเจ้าสำนักมีศิษย์อยู่กลุ่มหนึ่ง ในบรรดาศิษย์ถ่ายทอดเองมีเพียงศิษย์พี่ใหญ่เท่านั้นที่บรรลุถึงขั้นอลวนชั้นที่เก้า โดยทั่วไปศิษย์พี่ใหญ่ล้วนเป็นผู้ชี้แนะศิษย์แทนทั้งสิ้น

“ตอนนี้ข้าเป็นเพียงศิษย์นอกสำนักคนหนึ่งเท่านั้น เอาใจศิษย์พี่ใหญ่และบำเพ็ญให้ดีๆ รอให้พลังแข็งแกร่งแล้ว สะสมสมบัติล้ำค่าได้มากหน่อยแล้ว ก็สามารถคารวะเข้าอยู่ในสำนักที่เก่งกาจกว่าได้” ปาถัวเฉินลอบวางแผน “ต้องมีสักวันที่ข้าจะได้หวนคืนสู่รัฐถูฮวาอีกครั้งและแก้แค้นให้ตระกูลปาถัวของข้า!”

ส่วนตอนนี้น่ะหรือ

ขยันหมั่นเพียร ถ่อมเนื้อถ่อมตัวบำเพ็ญไปก่อนก็แล้วกัน ในนครหลวงคิมหันตวายุ พลังระดับเขานั้นไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลย

“เอ๊ะ” ทันใดนั้นปาถัวเฉินก็เงยหน้ามองกลางฟากฟ้าด้วยความตกตะลึง เขามองเห็นเกี้ยวอันหรูหรากลางฟากฟ้าซึ่งมีสัตว์เพลิงโลกันตร์กรงเล็บทองถึงแปดตัวคอยลากอยู่ เกี้ยวนั้นดูโอ่อ่าเหิมเกริมยิ่งนัก เปลวเพลิงที่แผ่ออกมาก็ปกคลุมบริเวณนับพันลี้ และทิ้งเงารางเอาไว้กลางอากาศ และบนเกี้ยวนั้นมีคนนั่งอยู่สองคน คนหนึ่งคือบุรุษร่างสูงอ้วนท้วน กลิ่นอายองอาจ เหิมเกริมกว่า ‘บรรพชนสกุลหยาง’ ศัตรูของตนเสียอีก ส่วนอีกคนหนึ่งคือชายหนุ่มอาภรณ์ขาวคนหนึ่ง

“ผู้มีพระคุณนี่” ปาถัวเฉินมองอย่างตกตะลึง เขาจำได้แล้ว ชายหนุ่มอาภรณ์ผู้นั้นก็คือ ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเขานั่นเอง

ชายหนุ่มร่างผอมเล็กด้านข้างก็เงยหน้ามองตามเขาไปด้วย ทันทีที่เห็นเกี้ยวนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นอักษร ‘ฝาน’ เขาก็หวาดผวาเสียจนต้องรีบก้มหน้าลง แล้วก็ลากปาถัวเฉินไปด้วย จากนั้นก็ถ่ายเสียงตะคอกว่า “เจ้ากำลังรนหาที่ตายรึ นั่นมันเกี้ยวที่มีแต่ศิษย์หัวแก้วหัวแหวนของสกุลฝานเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์โดยสารได้ เจ้าจ้องมองเช่นนั้น หากไม่ระวังขึ้นมาไปยั่วโมโหเข้าแล้ว ก็จะฆ่าเจ้าได้ง่ายๆ ราวกับบี้แมลงเลยทีเดียว”

“อ้อ” ปาถัวเฉินก็รีบก้มหน้าทันที

เขาก็รู้ว่าการจ้องมองผู้แกร่งกล้าระดับยอดโดยตรงนั้นเสียมารยาทเป็นอย่างมาก หากพบมารร้ายซึ่งเน้นการเข่นฆ่าแล้ว เกรงว่าคงจะลงมือสังหารทันที

สังหารผู้ที่อ่อนแอกว่า เพียงชั่วความคิดเดียวก็ใช้ได้แล้ว

“นั่นคือฝานเทียนฉ่ง เป็นผู้มีพรสวรรค์ของสกุลฝาน สกุลฝานให้ความสำคัญกับเขาเป็นอย่างมาก” ชายหนุ่มร่างผอมเล็กอยู่ในนครหลวงคิมหันตวายุมานานแสนนานจึงย่อมจำได้ และก้มหน้าก้มตาไม่กล้ามองมากนัก เขาถ่ายเสียงพูดว่า “พรสวรรค์ของเขาสูงส่งยิ่งนัก ได้ยินว่าถูกส่งไปสนับสนุนทางประมุขรัฐเมฆทักษิณานั่นแล้ว ได้รับความสำคัญมากกว่าเจ้าสำนักที่อยู่ในสกุลชางเสียอีก ส่วนชายหนุ่มอาภรณ์ขาวด้านข้าง แม้แต่ฝานเทียนฉ่งก็ยังกระตือรือร้นถึงเพียงนั้น สถานะและพลังคงไม่แพ้ฝานเทียนฉ่งเลย ยอดฝีมือระดับนี้ของสกุลฝาน สามารถเหิมเกริมไปทั่วนครหลวงคิมหันตวายุได้เลยทีเดียว! ต่อให้เป็นเทพจักรวาลของรัฐอื่นๆ เมื่ออยู่ในรัฐโบราณคิมหันตวายุก็ไม่กล้าหาเรื่องตระกูลใหญ่ทั้งสามเลย”

ปาถัวเฉินพยักหน้า

“รีบไปเถิด ตรงนี้ห่างจากที่ของเรามากเกินไปแล้ว” ชายหนุ่มร่างผอมเล็กเร่งเร้า

……

ณ นครหลวงคิมหันตวายุ

มีคีรีมารซึ่งกินพื้นที่กว้างขวางอย่างยิ่งอยู่แห่งหนึ่ง เทือกเขาทอดยาวต่อเนื่องกัน ขอบเขตนั้นกว้างใหญ่จนเทียบได้กับทั้งนครหลวงรัฐเมฆทักษิณา ทว่าในนครหลวงคิมหันตวายุ…ก็เป็นเพียงแค่มุมเล็กๆ มุมหนึ่งเท่านั้น

ที่นี่ก็คือสถานที่ตั้งของสกุลฝานในนครหลวง

“ฟิ้ว” “ฟิ้ว”

กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากคีรีมารสกุลฝานกลับเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง

ตงป๋อเสวี่ยอิงและฝานเทียนฉ่งลงจากเกี้ยวมาก่อนแล้ว ทั้งสองคนทะยานเข้าไปเคียงข้างกัน หลังร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงมีบ่าวรับใช้มังกรมารติดตามอยู่

“ยอดฝีมือมากมายดุจเมฆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสรับรู้ได้รางๆ หลายบริเวณท่ามกลางเทือกเขาที่ทอดยาวต่อเนื่องกันแห่งแล้วแห่งเล่ามีกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นแผ่กำจายออกมา หลายบริเวณมีเปลวเพลิงอันน่าหวาดหวั่นม้วนตัวอยู่ หลายบริเวณมีทะเลสาบอันล้ำลึกม้วนตัวอยู่

“ข้าจะพาเจ้าไปยังที่พำนักก่อน อย่าเพิ่งเดินสะเปะสะปะไปไหนล่ะ มีบางบริเวณเป็นสถานที่ต้องห้าม ในฐานะที่เจ้าเป็นเค่อชิงระดับบน อีกไม่นานก็จะมีสิ่งของจำนวนหนึ่งมาส่งให้ เจ้าก็รู้กฎของคีรีมารสกุลฝานแห่งนี้แล้วนะ” ฝานเทียนฉ่งเอ่ย “สถานที่พำนักของเจ้าในครั้งนี้ จะอยู่กับอีกสี่ท่านไปชั่วคราวก่อน พวกเขาก็เข้าร่วมการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน”

พูดยังไม่ทันขาดคำ

ฝานเทียนฉ่งก็พาตงป๋อเสวี่ยอิงร่อนลงไปยังเทือกเขาแห่งหนึ่ง บ่าวรับใช้มังกรมารก็ติดตามไปแต่โดยดี บนภูเขามีเรือนอันวิจิตรจำนวนหนึ่งเรียงรายกันอยู่

“เทียนฉ่ง นี่คือคนที่ชื่ออิงซานเสวี่ยอิงนั่นหรือ” บุรุษสามคนยืนอยู่ไม่ไกลออกไปนัก กลิ่นอายของแต่ละคนแตกต่างกันไป บ้างก็คมกริบดุจมีด บ้างก็หนักแน่นเก็บงำไว้ภายใน และก็มีที่พิสดารยากเกินคาดเดา บุรุษเกราะขาวราวหิมะผู้มีกลิ่นอายคมกริบดุจมีดผู้นั้น นัยน์ตาทั้งคู่ฉายแววอาฆาตอันคมกริบ เขามองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ราวกับมีทะเลโลหิตสูงเทียมฟ้าปกคลุมมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง

ในฐานะยอดฝีมือตัวฉกาจด้านเขตลวงโลกเทียม ตงป๋อเสวี่ยอิงจะไปสนใจแรงกระทบเพียงเท่านี้ได้อย่างไรกัน

ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับล่วงรู้สถานะของผู้ท้าทายคนนี้แล้ว

‘ฝานเทียนอวิ๋น’ แห่งสกุลฝาน มีสถานะเป็นพี่น้องแท้ๆ กับฝานเทียนฉ่ง ทว่าพรสวรรค์สูงกว่ามากทีเดียว เขาเคยเข้าร่วมการเข่นฆ่าของทะเลสาบมารทมิฬเขาเคยต่อสู้กับเทพจักรวาลสองคนเพียงลำพัง จากนั้นก็จากไปอย่างสง่างาม

“เฮอะๆ ห้าคนที่สกุลฝานของเราเลือกมาในครั้งนี้ มีถึงสองคนที่เป็นผู้มาจากภายนอก! และกีดกันข้าเอาไว้ภายนอกเสียนี่” บุรุษเกราะขาวราวหิมะผู้นั้น ริมฝีปากภายใต้จมูกงุ้มดุจอินทรีกระดกขึ้นมาเล็กน้อย เขาพูดเย้ยหยันว่า “ดูท่าแล้ว คงจะธรรมดาๆ กระมัง”

“พี่ใหญ่ นี่ท่านอาจารย์เป็นผู้เลือกมานะ” ฝานเทียนฉ่งพูดพลางยิ้มขมขื่น

“เด็กน้อยเอ๋ย เจ้าและคนของเผ่าทุ่งน้ำแข็งนั่น พวกเจ้าแค่สองคนคิดอยากจะเป็นตัวแทนของสกุลฝานเราอย่างนั้นหรือ เฮอะๆ ไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้นหรอก” บุรุษเกราะขาวราวหิมะ ‘ฝานเทียนอวิ๋น’ พูดพลางยิ้มเย็นชา เขาไม่ยอมหรอก หากเอาชนะอิงซานเสวี่ยอิงหรือผู้มาจากภายนอกอีกคนหนึ่งได้แค่คนเดียว เขาก็กล้าที่จะไปโวยวายกับทางตระกูลสักตั้ง เพื่อขอไปร่วมศึก

หากไม่เอาชนะ เขาก็ไม่กล้าไปโวยวาย

“วางใจเถิด ข้าจะไม่ทำลายกฎแน่” บุรุษเกราะขาวราวหิมะฝานเทียนอวิ๋นพูดพลางหัวเราะฮิฮิ “พวกเราไปกันเถิด”

“อาศัยแค่เจ้าก็จะมาเป็นตัวแทนสกุลฝานอย่างนั้นรึ” ศิษย์หัวแก้วหัวแหวนสกุลฝานอีกสองคนที่อยู่ข้างกายฝานเทียนอวิ๋นก็หัวเราะเยาะเช่นกัน พวกเขาได้รับการอบรมอย่างดีที่สุด ล้วนแต่เป็นศิษย์หัวแก้วหัวแหวนของสกุลฝาน จึงออกจะดูแคลนรัฐภายนอกอยู่บ้าง แม้จะล่วงรู้ ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ จนพวกเขาทั้งสองไม่กล้าเป็นอริด้วย แต่สำหรับฝานเทียนอวิ๋นแล้วก็ยังมั่นใจอยู่บ้าง

เคล็ดผนึกห้าภาพมีชื่อเสียงโด่งดัง! แต่ในประวัติศาสตร์ ผู้ที่สามารถฝึกสำเร็จได้ตั้งแต่ยังเป็นขั้นอลวน ก็มีเพียงคนของรัฐโบราณเสียดฟ้าผู้นั้นเพียงคนเดียวเท่านั้น

ที่แท้แล้วแข็งแกร่งเพียงใด ต้องสู้กันเสียก่อนจึงจะรู้ได้!

“พี่ใหญ่ของข้า จัดเป็นห้าอันดับแรกของศิษย์หัวแก้วหัวแหวนแห่งสกุลฝาน แต่ครั้งนี้ผู้ที่ถูกสกุลฝานเลือกทั้งห้าคน มีสองคนที่มาจากภายนอก พี่ใหญ่ข้าถูกเขี่ยทิ้งไปแล้ว สำหรับเจ้าและผู้มาจากภายนอกอีกคนหนึ่ง ภายในสกุลฝานคงมีผู้ที่ไม่ยินยอมจำนวนไม่น้อย” ฝานเทียนฉ่งถ่ายเสียงพูด

ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้เอ่ยอะไร

ไม่ยินยอมหรือ

เชื่อว่าอีกไม่นานก็คงต้องยอม โลกของผู้บำเพ็ญ ทุกสิ่งล้วนพูดกันด้วยพลังทั้งนั้น!

 ……………………………