หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 998 หมัดมังกรแท้จริง
ลานเมฆสายฟ้า
เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ ก้าวขึ้นลานประลองซึ่งจะนำไปสู่ชั้นสี่ ริ้วแสงก็รวมตัวกันที่ด้านนอกเจดีย์ฝึกพลังกายก่อตัวเป็นหน้าจอขนาดใหญ่ บนหน้าจอนี้กระทั่งหินทุกก้อนก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
ที่ด้านนอกสายตาทุกคู่ฉายแววกังวลในขณะจ้องมองไปที่หน้าจอขนาดใหญ่
ทุกคนรู้ว่าครึ่งหนึ่งของจอมยุทธ์ที่เข้าไปจะถูกกำจัดบนลานเมฆสายฟ้านี้ มีเพียงห้าคนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะก้าวเข้าสู่ชั้นสี่ของเจดีย์ฝึกพลังกายต่อไป
อัตราในการคัดออกน่ากลัวมาก
ตอนนี้ทุกคนก็ค่อยๆ ฟื้นจากความตะลึงพรึงเพริดที่เกิดจากมู่เฉิน แต่พวกเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองร่างสูงโปร่งและอ่อนเยาว์ในหน้าจอเป็นระยะพร้อมกับแสงแปลกประหลาดวูบไหวในดวงตา
ใบหน้าของหลิ่วชิงซีดขาวขณะกัดฟันกรอด นางไม่เคยจินตนาการเลยว่ามนุษย์บ้าคนนี้จะระเบิดด้วยศักยภาพที่น่ากลัวในวินาทีสุดท้ายและไล่ตามหาคนอื่นทันแม้จะตามหลังอยู่หลายโยชน์ก็ตาม
การเคลื่อนไหวเมื่อครู่ของมู่เฉินที่ไล่ตามจงเถิงและคนอื่นๆ ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัว ตอนนี้นางต้องยอมรับว่าเหตุผลที่มู่เฉินได้รับตำแหน่งของเผ่าวิหคโลกันตร์เข้ามาในดินแดนเสินโซ่แห่งนี้เป็นเพราะเขามีความแข็งแกร่งที่เกินคาดจริงๆ
นางมองผิดพลาดทำให้ตนเองต้องอับอาย
“ไอ้เวรนี้บ้าจริงๆ ขนาดนี้ยังไล่ตามทัน” ด้านข้างหลิ่วชิงพรรคพวกคนอื่นก็ถอนหายใจด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
ใบหน้าของหลิ่วชิงค่อยๆ กลับเป็นปกติก่อนที่จะหายใจลึกพลางเอ่ย “เป็นคนที่คาดไม่ถึงจริงๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร ต่อไปถึงเป็นการท้าทายที่แท้จริง”
“และครั้งนี้เขาได้เปิดเผยไพ่ตายไปก่อนแล้ว ดังนั้นคงไม่มีใครให้เวลาเขาในการสร้างค่ายกล การสูญเสียความสามารถที่ทรงประสิทธิภาพของค่ายกลเช่นนี้ ทำให้ทุกคนในลานเมฆสายฟ้าสามารถเอาชนะเขาได้อย่างง่ายดาย”
บนลานเมฆสายฟ้านอกจากมู่เฉิน จอมยุทธ์ทั้งเก้าคนล้วนอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดบวกกับอำนาจในฐานะเทพอสูร ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของพวกเขาจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น ด้วยวิธีนี้มู่เฉินจะเป็นแกะในฝูงหมาป่าอย่างไม่ต้องสงสัย
นอกจากนี้เกี่ยวกับค่ายกลที่น่ากลัว การสูญเสียโอกาสจะชี้ขาดในการต่อสู้ที่ไม่อาจนำมาข่มขู่ได้ คงไม่มีใครยืนนิ่งๆ ปล่อยให้เขาตั้งค่ายกลขึ้นมาหรอก
จอมยุทธ์เผ่ากระเรียนฟ้าก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน ไม่ว่าก่อนหน้ามู่เฉินจะใช้ทักษะลับใดจนไล่ตามคนอื่นทัน แต่การทดสอบที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของเจ้าตัวเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คิดว่าหลังจากที่มู่เฉินเสียโอกาสในการใช้ค่ายกล เขาจะกลายเป็นหนึ่งในห้าที่ผ่านไปได้
“หืม?”
ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน ความปั่นป่วนก็ปะทุขึ้น จากนั้นทุกคนก็เห็นจอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้าไปปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉิน
“นั่นลู่สุยจากเผ่าอีกาสายฟ้า?!”
“ดูเหมือนว่าเขาจะเลือกจัดการมู่เฉินแล้ว พลังของเขาทรงประสิทธิภาพมากเลยทีเดียว ซ้ำยังแข็งแกร่งกว่าจงฮั้วเผ่ากระเรียนฟ้าอีกด้วย นอกจากนี้เนื่องจากมู่เฉินหงายไพ่ลับด้านค่ายกลแล้ว การต่อสู้ครั้งนี้ไม่สู้ดีแน่”
“ยังเร็วเกินไปที่จะพูดแบบนั้น ใครจะรู้มู่เฉินยังมีไพ่ใบอื่นอีกหรือไม่ จากการเคลื่อนไหวหลายครั้งของเขาดูไม่ใช่คนประมาท ในเมื่อเป็นเช่นนี้ถ้าเขากล้าเข้าไปในเจดีย์ฝึกพลังกายด้วยขุมพลังระดับจื้อจุนขั้นหกทั้งที่ไม่มีไพ่สำรอง เขาก็ดูหยิ่งผยองเกินไปแล้ว”
“…”
พอลู่สุยมาปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉิน จอมยุทธ์ที่ด้านนอกเจดีย์ก็พากันซุบซิบไม่หยุด แต่หลังจากผ่านประสบการณ์มาหลายครั้งที่มู่เฉินพลิกโต๊ะไปมา ก็ไม่มีใครกล้าที่จะฟันธงอีกแล้ว
แม้ว่าลู่สุยจะทรงพลัง แต่มู่เฉินก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน
“ดูเหมือนว่าครั้งนี้แกจะไม่มีเวลาสร้างค่ายกลแล้วนะ…”
ขณะที่ผู้คนภายนอกกำลังคุยกัน ลู่สุยก็ยืนอยู่ตรงหน้ามู่เฉินเผยยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว ดูเย็นเยือกอย่างยิ่ง
มู่เฉินมองลู่สุยก็ขมวดคิ้ว อึดใจแสงในมือก็ค่อยๆ สลายหายไป ดูเหมือนว่าการเปิดเผยค่ายกลของเขา ทำให้คนเหล่านี้หวาดกลัวจนถึงจุดที่พวกเขาไม่คิดจะให้เวลาเขาเตรียมตัวเลย
แม้ว่าลู่สุยจะดูเหมือนยืนอยู่ตรงหน้าอย่างสบายๆ แต่มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงไร้ขอบเขตที่กวาดออกมาจากใต้ฝ่าเท้าของอีกฝ่าย ทำลายสัญลักษณ์หลิงยิ่งจำนวนมากที่เขาฝังไว้ในพื้นดินก่อนหน้านี้
ด้วยกระกระทำนี้จะทำให้สัญลักษณ์หลิงยิ่งได้รับความเสียหายจนค่ายกลที่สร้างขึ้นไม่เสถียร ถ้ามู่เฉินยังฝืนสร้างไปอีก ก็คงยากที่จะได้ประโชน์ใดๆ ช่างป็นการเสียแรงเปล่าๆ
“ทำไม? ไม่คิดจะใช้ค่ายกลแล้วเหรอ?” เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน รอยเยาะเย้ยก็ปรากฏบนใบหน้าของลู่สุย การยอมแพ้ในการสร้างค่ายกล เท่ากับแขนขามู่เฉินถูกตัดขาดในมุมมองของเขา
“บางทีการใช้วิธีการอื่น อาจสนุกมากกว่านะ” ทว่าเผชิญหน้ากับรอยยิ้มเยาะของลู่สุย มู่เฉินกลับประสานมือเข้าด้วยกัน เขาสัมผัสได้ถึงพลังงานทรงประสิทธิภาพที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายตนเอง ก็ยิ้มอ่อน
ฟังน้ำเสียงเยาะเย้ยของมู่เฉิน ใบหน้าของลู่สุยก็มืดครึ้มลง เขาชี้ไปที่ด้านนอกลานพูดอย่างน่าขนลุกว่า “ตอนนี้ไสหัวไปจากลานนี้เองยังทัน มิฉะนั้นคงไม่มีกระทั่งคนมาเก็บศพให้ถ้าแกตายที่นี่”
แต่เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินเพียงแค่มองมาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า สายตาของเขาทำเอาจิตสังหารพวยพุ่งอย่างรุนแรงในหัวใจของลู่สุย เนื่องจากตอนนี้สายตาของมู่เฉินราวกับกำลังมองคนโง่อย่างไรอย่างนั้น
“วอนตายนักใช่ไหม!”
จิตสังหารพลุ่งพล่าน ลู่สุยไม่คิดจะพูดอีกต่อไป ฝ่าเท้ากระทืบลงคลื่นหลิงป่าเถื่อนก็กวาดออกจากร่าง อันที่จริงมีประกายสายฟ้าแล่นแปลบปลาบในคลื่นหลิงขนาดใหญ่ของเขาอีกด้วย เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องดูเหมือนว่าจะเกิดปฏิกิริยากับสายฟ้าในมิตินี้
แรงกดดันทรงพลังก็เปล่งออกมาจากร่างของลู่สุยในขณะนี้
เมื่อรู้สึกถึงแรงกดดัน ความประหลาดใจก็เผยในดวงตาของมู่เฉิน เผ่าอีกาสายฟ้าดูเหมือนจะมีแรงเชื่อมเกี่ยวกับพลังงานสายฟ้า คลื่นหลิงในร่างพวกเขาบรรจุไปด้วยพลังงานสายฟ้าบางอย่าง ทำให้คลื่นหลิงของพวกเขารุนแรงยิ่งขึ้น
“ข้าอยากเห็นว่าถ้าไม่มีค่ายกล จอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นหกอย่างแกจะสามารถทำอะไรได้?!”
คำพูดของลู่สุยอัดแน่นด้วยไอสังหาร ทันใดนั้นเสียงฟ้าร้องก็ดังกึกก้อง ร่างเขากลายเป็นสายฟ้า ความเร็วนั้นเท่ากับฟ้าผ่าเลยทีเดียว พริบตาก็มาปรากฏตัวบนท้องฟ้าเบื้องหน้ามู่เฉิน
ตู้ม!
สีหน้าของลู่สุยเย็นชาลงหลายส่วนเมื่อมองลงไปที่มู่เฉิน ก่อนจะซัดฝ่ามือที่มาพร้อมกับสายฟ้าไม่มีที่สิ้นสุดรวมตัวกันลงไป ฝ่ามือกดลงมาเบาๆ แต่กลับอัดแน่นด้วยพลังทำลายล้างสูง
“ฝ่ามือผสานสายฟ้า!”
ฝ่ามือนี้ดูราวกับว่าได้รวบรวมสายฟ้าหลายหมื่นสายเอาไว้ แค่ฝ่ามือเดียวก็สามารถทำลายท้องฟ้าได้
สายฟ้าสะท้อนบนดวงตาของมู่เฉิน เขามองฝ่ามือของลู่สุยที่อัดแน่นด้วยสายฟ้าป่าเถื่อน ดวงตาก็ส่องประกายเล็กน้อย เมื่อเทียบกับจงฮั้วพลังของลู่สุยแข็งแกร่งกว่ามาก มิน่าล่ะเขาถึงได้เป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะของเผ่าอีกาสายฟ้า ไม่อาจประมาทได้จริงๆ
ทว่าเผชิญหน้ากับเพลงฝ่ามือรุนแรงของลู่สุย ไม่เพียงแต่จะไม่มีความกลัวใดบนใบหน้าของมู่เฉิน ลึกลงไปในดวงตากลับมีไฟแห่งการต่อสู้พวยพุ่งไม่หยุดยั้ง เขาสามารถรู้สึกได้ว่าตอนนี้กล้ามเนื้อในร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความกระหายในการต่อสู้
หลังจากผ่านประสบการชำระพลังกายสามด่านของเจดีย์ฝึกพลังกาย พลังที่บรรจุอยู่ในกล้ามเนื้อของเขาก็ทรงพลังขึ้นมาก ตอนนี้เขาต้องการต่อสู้อย่างถึงใจแท้จริง เพื่อให้พลังงานในเนื้อหนังของเขาหลอมรวมเข้ากับร่างกายโดยสมบูรณ์
มู่เฉินเลียริมฝีปาก แสงสีทองพร่างพราวระเบิดออกจากร่าง กระดูกในร่างกายสั่นสะท้าน เหมือนมีเสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้องออกมา
ตึง!
เลือดในร่างกลิ้งไปมาจนไม่สามารถระงับพลังงานไว้ได้อีกต่อไป ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่มีความคิดที่จะระงับเอาไว้ ฝ่าเท้าของเขากระแทกลงไปบนพื้นส่งแรงพุ่งใส่กระบวนท่าฝ่ามือของลู่สุย
“รนหาที่ตาย!”
เมื่อลู่สุยเห็นมู่เฉินเลือกปะทะกันซึ่งๆ หน้า ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นป่าเถื่อน ไม่ต้องพูดถึงระดับจื้อจุนขั้นหกเลย แม้แต่คนที่อยู่ในขั้นเจ็ดก็ยังไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับวิชาฝ่ามือของเขา ดังนั้นในสายตาของเขาการกระทำของมู่เฉินเป็นการเรียกร้องความตายชัดๆ
“ตายซะ!”
รอยยิ้มชั่วร้ายสายหนึ่งปรากฏขึ้น สายฟ้าไม่มีที่สิ้นสุดที่รวมตัวกันในฝ่ามือก็รุนแรงขึ้นในเวลานี้ เสียงฟ้าร้องดังก้องกังวานสั่นสะเทือนขอบฟ้า แสงไขว้พันกันและฝ่ามือก็ขยายออกไปหลายร้อยเท่า ราวกับภูเขาสายฟ้าขนาดใหญ่พุ่งเข้าหามู่เฉินอย่างดุเดือด
ฟิ้ว!
ร่างของมู่เฉินปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ เขามองไปที่ฝ่ามือสายฟ้าที่กำลังกดทับลงมา จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึก ลวดลายมังกรสีม่วงทองก็บิดตัวไปมาเคลื่อนไปที่กำปั้นของเขา
ลวดลายมังกรแท้จริงเหยียดกรงเล็บออก ผสานกับห้านิ้วของมู่เฉิน เกล็ดมังกรสีม่วงทองเปล่งประกายวูบวาบ กำจายพลังน่าสะพรึงกลัวออกมา
ยามนี้กำปั้นและกรงเล็บมังกรของเขาได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์
พลังงานอธิบายไม่ได้ระเบิดออกมาจากมือของมู่เฉิน พลังงานนี้ทำให้ตัวเขาเองยังรู้สึกตกใจ
นอกเหนือจากพัฒนาการพลังกายในช่วงเวลานี้ มู่เฉินก็เริ่มรู้สึกได้ว่าพลังงานที่บรรจุอยู่ในกายามังกรหงส์ค่อยๆ ถูกปลดปล่อยออกมา
“หมัดนี้มีชื่อว่าหมัดมังกรแท้จริง!”
มือของมู่เฉินที่ถูกปกคลุมด้วยกรงเล็บมังกร เส้นเลือดบิดตัวราวกับมังกร เขาเงยหน้าขึ้นมองฝ่ามือสายฟ้าที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วที่เบื้องหน้าสายตา เขาเหมือนจะมองทะลุสายฟ้าเห็นใบหน้าน่ากลัวของลู่สุย
ลู่สุยดูราวกับกำลังเพลิดเพลินอยู่กับชัยชนะในการฆ่าเขาครั้งนี้แล้ว
แต่น่าเสียดายที่ความปรารถนาคงไม่สัมฤทธิ์ผล
มู่เฉินยิ้มไม่ลังเลอีกต่อไป เขาชกกำปั้นซึ่งวับวาวด้วยเกล็ดมังกรสีม่วงทองปะทะเข้ากับฝ่ามือสายฟ้าอย่างรุนแรง ปลดปล่อยพลังอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
กระทั่งมิติยังถูกทำลายด้วยหมัดนี้