ตอนที่ 420 อัญเชิญเทพ

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 420 อัญเชิญเทพ โดย Ink Stone_Fantasy

“เหล่าหู คุณจะทำอะไร!”  เห็นหูหงเต๋อลุกยืนขึ้นจากโขดหินที่ซ่อนตัวอยู่ เยี่ยเทียนรีบดึงเขาไว้

“เมิ่งตาบอดเรียกฉันออกไป ฉันก็จะออกไป จัดการกับมันให้รู้เรื่องกันไป!”

หูหงเต๋อมองไปทางเยี่ยเทียนอย่างแปลกใจ กล่าวว่า “พวกเราที่นี่มีวิธีการเจรจา หากคุยกันไม่เข้าใจแล้วจึงค่อยลงไม้ลงมือ ถ้าเจ้าเมิ่งตาบอดบอกว่าไม่กลัว แล้วฉันจะกลัวอะไร”

ก่อนการปฏิรูป มีพวกโจรและพวกต้มเหล้าเถื่อนเป็นจำนวนมากในสามมณฑลของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน นอกจากทหารแล้ว ด้านนอกเมืองก็อย่างหวังว่าจะหาคนดีๆ เจอ ดังนั้นในการปล้นแต่ละครั้ง จึงมักเจอแต่พวกเดียวกัน

ดังนั้นจากคำกล่าวที่ว่า “ฮ่องเต้ปกครองเหล่าเสือ เจดีย์เป่าคาถาสะกดมาร”  หากว่ามีพวกโจรเหลือสองกลุ่มเกิดความขัดแย้งขึ้น ก็จะพากันมาเจรจากันก่อน หากไม่ลงตัวแล้วจึงต่อสู้กัน

เวลานี้ ในภูเขาก็ยังคงมีกฏเกณฑ์แบบนี้อยู่ ดังนั้นหูหงเต๋อถึงได้จะออกไป เพื่อพูดคุยกับเมิ่งตาบอดให้รู้เรื่อง

หลังจากที่ได้ฟังหูหงเต๋ออธิบายแล้ว เยี่ยเทียนก็อยากจะร้องไห้ ออกแรงดึงเขากลับมา กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า

“ผมว่าคุณน่ะเหล่าหู อายุอานามก็หกสิบเจ็บสิบแล้ว สมองเสื่อมไปแล้วเหรอไง”

ห่างออกไปจากป่าไม่เกินสามสิบเมตร เยี่ยเทียนรู้สึกได้ถึงพลังสังหารที่กระจายออกมา หากหูหงเต๋อเดินออกไป แน่นอนว่าต้องโดนยิงพรุนเป็นรังผึ้งแน่

“ไม่น่านะ เมิ่งตาบอดหากทำแบบนี้ เขาก็จะอยู่ที่ภูเขานี้ไม่ได้อีกต่อไป ” หูหงเต๋อเป็นคนหัวโบราณ เห็นเรื่องกฏเกณฑ์เป็นเรื่องสำคัญ รู้สึกว่าคำพูดของเยี่ยเทียนไม่น่าเป็นไปได้

“เหลวไหล ฆ่าคุณแล้ว ใครจะไปรู้เล่าว่าเขาทำผิดกฏ”

เยี่ยเทียนมองหูหงเต๋อหเหมือนคนไม่รู้จัก เขาไม่รู้ว่าตาแก่นี่อยู่รอดมานานขนาดนี้ได้ยังไง แล้วยังอยู่ในภูเขานี้อย่างรุ่งเรื่องเสียด้วย

จริงๆ แล้วเยี่ยเทียนไม่รู้ว่า ที่ภูเขาแห่งนี้หากว่าทำผิดกฎ จะยิ่งตายเร็วขึ้นเท่านั้น หูหงเต๋อปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างจริงใจ ประกอบกับมีวรยุทธ์สูง ถึงแม้ว่าจะเคยเจอพวกนักเลง แต่ก็ได้แค่ตกใจไม่ได้มีอันตรายอะไร

“เอาหมวกมา เสื้อผ้าก็ถอดมาให้ฉันด้วย !”

 เห็นหูหงเต๋อไม่เชื่อตัวเอง เยี่ยเทียนก็ออกแรงกระชากหมวกหนังแกะของเขา รอจนหูหงเต๋อถอดเสื้อออกแล้ว เยี่ยเทียนก็เก็บไม้แห้งยาวขนาดสองเมตรกว่าขึ้นมา เอาหมวกและเสื้อสวมเข้าไป

เยี่ยเทียนเดินมาที่ริมของหุบเขา หันกลับไปพูดกับหูหงเต๋อว่า “ตะโกนพูดออกไป !”

“เมิ่งเซี่ยจื่อ ฉันจะออกไปแล้ว แกก็ออกมาสิ!” พร้อมกับเสียงตะโกนของหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนนำเอาหมวกและเสื้อยื่นไปที่ทางเข้าหุบเข้า

ตอนนี้พระอาทิตย์ตกลงไปแล้ว แสงนั้นมืดลง แต่อาศัยแสงสะท้อนบนพื้นน้ำแข็งสีขาว ก็ยังพอจะแยกแยะเงาคนได้บ้าง ห่างออกไปยี่สิบสามสิบเมตร เยี่ยเทียนเชื่อว่าเมิ่งตาบอดและคนอื่นจะมองเห็นไม่ชัดเจน

“เปรี้ยง!”

“ปังปัง…”

“ตู้ม ตู้ม ตู้ม..”

ในตอนที่เยี่ยเทียนเพิ่งยื่นเสื้อและหมวกออกไปนั้น เสียงปืนหลายประเภทก็ดังขึ้นพร้อมกัน เหมือนกับจุดประทัด ประเดี๋ยวก็เสียงฟังชัดประเดี๋ยวก็เสียงทุ้ม ในคืนที่เหน็บหนาวมีหิมะโปรยปรายก็มีเสียงปืนดังระงมไปทั่วหุบเขา

พริบตาเดียวหมวกและเสื้อบนกิ่งไม้นั้นก็เต็มไปด้วยรูกระสุน ถูกกระสุนยิงจนลอยขึ้นกลางอากาศ เป็นเวลานานกว่าที่จะตกลงบนพื้นหิมะ

เมิ่งตาบอดและพวกมีปืนหลายชนิด ตั้งแต่ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ ไปจนถึงปืนลูกซองยาวที่ใช้ก่อนสมัยปลดแอก กัวจื่อเซินถือปืนจุดเจ็ดเก้าอยู่ในมือ ไม่รู้ว่าเขาไปเอาปืนมาตรฐานที่ใช้ในกองทัพแบบนี้มาจากที่ไหน

แม้กระทั่งมีคนหนึ่งถือปืนยิงระเบิด เมื่อยิงออกมา สะเก็ดระเบิดก็แผ่กระจายครอบคลุมพื้นที่ใหญ่ ถึงแม้ปืนประเภทนี้จะไม่แม่น แต่อัตราการกระทบเป้าสูงมาก เป็นที่มาของจำนวนรูในหมวกและเสื้อ

“บัดซบเอ๊ย เมิ่งตาบอดไม่เคยคิดเลย ว่ามันเป็นคนของภูเขาแห่งนี้”

เมื่อได้เห็นภาพนี้ เหงื่อของหูหงเต๋อก็ไหลลงไปตามกระดูกสันหลัง  หากเมื่อครู่ไม่ได้เยี่ยเทียนดึงเขาไว้ ตัวเองออกไปน่าจะตายไปแล้ว ชีวิตชราที่เหลือน้อยของเขาจะต้องมาจบลงที่นี่แน่นอน

“ปู่เมิ่ง ยิงโดนแล้ว จัดการหูฮั่นซานได้แล้ว!”

เห็นเงาสูงลอยขึ้น พวกนั้นก็ตะโกนขึ้นมาอย่างดีใจ กั่วจื่อเซินและคนอื่นไม่ได้มองดูให้ชัดว่า นั้นเป็นเพียงแค่เสื้อผ้าเท่านั้น

“หุบปากให้หมด!”

“ทำไมล่ะ ปู่เมิ่ง ” เห็นเมิ่งตาบอดสีหน้าเคร่งขรึม กัวจื่อเซินและคนอื่นๆ ก็พากันปิดปากเงียบ

เมิ่งตาบอดด่าอย่างโมโห “นั่นมันเสื้อตัวหนึ่งเท่านั้น บัดซบเอ้ย หูหงเต๋อหัวโบราณนั่น เรียนที่จะใช้ลูกไม้นี่แล้วเหรอ”

บนโลกนี้จะมีคนประเภทหนึ่ง ที่มักแต่จะจ้องจับแต่ข้อบกพร่องคนอื่น แต่กลับไม่พิจารณาพฤติกรรมของตัวเอง เมิ่งตาบอดก็ไม่คิดว่าตัวเขาเองที่เคยเป็นคนหลอกล่อคนอื่นมาก่อน กลับถูกเยี่ยเทียนใช้ลูกไม้นี้ออกมา

“ปู่…ปู่เมิ่ง งั้น…งั้นทำยังไงดี เจ้าหูฮั่นซานนั้นขึ้นชื่อว่าลงมือโหดเหี้ยมนัก!”

เมื่อได้ยินว่ายังไม่ได้ฆ่าหูหงเต๋อ กัวจื่อเซินก็พูดด้วยเสียงสั่น ฟันกระทบปาก เขาถือว่าเป็นหัวหน้าแก๊งค์คนหนึ่งมีลูกน้องหลายคน แต่เผชิญหน้ากับหูหงเต๋อเขาไม่มีความมั่นใจเลยซักนิดเดียว

ก่อนนั้นกัวจื่อเซินที่ถือปืนอยู่ในมือ กลับถูกมีดบินของหูหงเต๋อที่สะบัดขึ้นมาจากเอวปักเข้าที่ข้อมือ จนถึงตอนนี้ก็ลยต้องใช้มือซ้ายถือปืน

เมิ่งตาบอดในตอนนี้ได้สูญเสียความเคร่งขรึมไปแล้ว กระทืบเท้า กล่าวอย่างด่าทอว่า “บัดซบ ฉันให้พวกแกรีบออกเดินทาง ไม่ใครฟังซักคน เลยต้องมาถูกดักอยู่ตรงปากหุบเขานี่!”

“ปู่เมิ่ง ถ้า…ถ้าอย่างนั้นพวกเราถอยกันเถอะ”

กัวจื่อเซินถูกเตะล้มลงไปหัวคะมำ เมื่อยืนขึ้นมาก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไปอีก ตอนนี้ชีวิตน้อยๆ ของพวกเขา ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับเมิ่งตาบอดแล้ว

“ถอยไป ถ้าไม่แข็งตายก็ต้องถูกหูหงเต๋อฆ่าตาย รอดูสถานการณ์ไปก่อน!”

เมิ่งตาบอดสูดหายใจเข้าลึก พยายามให้อารมณ์ของตัวเองกลับมาสงบลง ในเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ รีบร้อนลุกลนจะทำให้ตัดสินใจผิดพลาดได้

“เหล่าหู ทำไมทางนั้นไม่มีการเคลื่อนไหวแล้ว หรือว่าจะวิ่งหนี” ด้านหลังของแนวหินปากทางหุบเขา เยี่ยเทียนก็กำลังสนทนาอยู่กับหูหงเต๋อ อาวุธของอีกฝ่ายน่ากลัวมาก แม้แต่เยี่ยเทียนก็ไม่มั่นใจที่พุ่งเข้าไป

หูหงเต๋อหัวเราะกล่าวเสียงเย็นว่า “พวกมันกำลังรอ รอให้พวกเราทนไม่ไหว!”

นักล่าที่ดี สิ่งที่สำคัญไม่ใช่การยิงปืนแม่น แต่เป็นความอดทนรอโอกาส ยึดหลักนัดเดียวจอด แต่ว่ามาแข่งความอดทนกับหูหงเต๋อ เมิ่งตาบอดกลับคิดผิดแล้ว

เมิ่งตาบอดสามารถอดทนได้เช่นเดียวกันกับหูหงเต๋อ แต่กัวจื่อเซินและพวก ล้วนแต่เป็นคนธรรมดา เพราะอายุน้อยใจร้อน ภายใต้อุณหภูมิลบยี่สิบกว่าองศาในเขตภูเขา ถึงแม้พวกเขาแต่ละคนจะสวมชุดขนหนังสัตว์ แต่ก็คงอดทนได้ไม่นานเท่าไหร่หรอก

“เมิ่ง…ปู่เมิ่ง นี่…เป็นแบบนี้พวกเราทนไม่ไหว หนาว…..หนาวจะตายอยู่แล้ว!”

เพียงแค่ผ่านไปได้ราวครึ่งชั่วยาม กัวจื่อเซินและพวกก็นั่งยองลงตรงบริเวณที่เคยยืนอยู่ ใบหน้าและริมฝีปากแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวม่วงคล้ำ ความเหน็บหนาวแบบนั้น ราวกับจะทำให้วิญญาณของคนถูกแช่แข็งก็ไม่ปาน

“เอ้อหนิว แกมากับฉัน มาเฝ้าปากทางเข้านี่ พวกแกที่เหลือไปช่วยกันเก็บไม้แห้ง มาจุดไฟตรงพื้นที่โล่งบริเวณนั้นขึ้นกองหนึ่งไป!”

เห็นสีหน้าของกัวจื่อเซินและคนอื่นๆ เมิ่งตาบอดก็เข้าใจว่าพวกเขานั้นทนต่อไปไม่ไหวแล้ว อีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมง ปฏิกิริยาตอบสนองจะช้าลง ในตอนนั้นเกรงว่าแม้แต่จะหยิบปืนก็ทำไม่ได้

แม้แต่ตัวของเมิ่งตาบอดเองถ้าจะมาเผชิญหน้ากันอย่างนี้ต่อไป เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหูหงเต๋อ คิดอะไรไม่ออกจึงให้กัวจื่อเฉินจุดไฟ

“ได้ ปู่เมิ่ง ขอเพียงดักทางเข้าหุบเขาได้ หูฮั่นซานก็ออกมาไม่ได้ พวกเราถึงตอนนั้นก็รอจนให้พวกนั้นตายไปเอง!”

หลังจากได้ฟังคำของเมิ่งตาบอดแล้ว กัวจื่อเซินและคนอื่นก็พากันดีใจเป็นอย่างมาก แต่ว่าไม่มีใครเห็นรอยยิ้มเย็นบนสีหน้าของเมิ่งตาบอด

“เยี่ยเทียน พวกนั้นจุดไฟแล้ว หากว่าจะอยู่แบบนี้ต่อไป พวกเราจะเสียเปรียบ!”

ประกายไฟกองใหญ่สว่างจ้าอยู่บริเวณป่าด้านหน้า แต่ว่าเนื่องจากต้นไม้ขึ้นหนาแน่น หูหงเต๋อกลับมองไม่เห็นเงาของเมิ่งตาบอดและคนอื่นๆ

“เหล่าหู นี่ไม่ใช่แผนที่ดี จะให้เรามาทนหนาว แล้วปล่อยให้พวกเขาผิงไฟเอาไออุ่นแบบนี้หรอกนะ” เยี่ยเทียนขมวดคิ้วขึ้นมา ที่หุบเขาตรงนี้ไม่มีต้นไม้ซักต้น พวกเขาอยากจุดไฟก็ทำไม่ได้

เห็นกองไฟลุกโชน เมิ่งตาบอดที่แอบอยู่หลังต้นไม้กล่าวกับชายกำยำข้างกายว่า “เอ้อหนิว แกคอยดูต้นทางไว้ให้ฉันหน่อย ฉันจะอัญเชิญเทพประทับร่าง!”

เอ้อหนิวพยักหน้า กล่าวว่า “ได้เลย ปู่เมิ่ง ขอให้วางใจเถอะ ต่อให้เป็นแมลงวันซักตัวผมก็จะไม่ให้บินเข้ามา!”

มือซ้ายหยิบกลองหนังแกะ เมิ่งตาบอดใช้มือขวาตีลงไปบนกลองซ้ำๆ ปากก็ร้องออกมา  “สภาพอากาศแห้งแร้งพื้นดินเหน็บหนาวฉันเข้ามาในภูเขา รอบด้านศัตรูล้อมรอบตกอยู่ในอันตราย องค์เทพที่ผ่านไปมาเชิญหยุดก่อน ขออัญฉีเทียนต้าเซิ้งมาเข้าประทับร่างข้าด้วย!”

ท่วงทำนองการร้องที่หยาบกร้านลอยออกมาจากป่าบนภูเขา ตามมาด้วยเสียงตีกลองหนังแกะที่ลอยออกมา ถึงแม้จะรู้ว่าเมิ่งตาบอดเป็นพวกเดียวกัน แต่บรรยากาศอันตรายอย่างมากก็ยังคงโอบล้อมอยู่ในใจของกัวจื่อเซินและคนอื่นๆ

เมิ่งตาบอดทำไมตอนนี้กลับร้องเพลงขึ้นมาล่ะ” เยี่ยเทียนไม่เคยได้เห็นการเชิญเทพประทับร่าง ฟังเนื้อเพลงนั่นอย่างเพลิดเพลิน

“นี่เขาอัญเชิญเทพประทับร่าง!” หูหงเต๋อสีหน้าสงสัยอย่างหนัก หลังจากหลานสาวถูกเมิ่งตาบอดทำมนต์ใส่นั้น เขาก็ไม่กล้าดูแคลนพวกวิชาไสยศาสตร์นอกรีตพวกนี้อีก

“อัญเชิญเทพ!” เยี่ยเทียนกล่าวถาม พลันก็หัวเราะออกมากล่าวว่า “เหล่าหูคุณระวังเอาไว้หน่อยนะ ผมจะไปดูว่าตกลงเกิดเรื่องอะไรกันแน่”

วิชามนต์ของชามันนั้นมีมาก่อนราชวงค์ฉินหรือเก่าแก่กว่านั้น เนื่องจากคนในสมัยนั้นอายุขัยสั้น ประกอบกับมีโรคภัยและภัยพิบัติมากมาย

ดังนั้นวิชาชามันจึงใช้ในการรักษาเป็นหลัก กระบวนท่าโจมตีนั้นมีไม่เยอะมาก ก็เลยเป็นสาเหตุหนึ่งที่ถูกศาสนาพุทธฉางชุนเข้ามาแทนที่

แต่ว่าวิชาที่สืบทอดมาเป็นเวลาหลายพันปีหรือหลายหมื่นปี แน่นอนว่าต้องมีลักษณะเด่นไม่เหมือนใคร เยี่ยเทียนสั่งความหูหงเต๋อเสร็จแล้ว ก็ปล่อยพลังเทพออกไป แค่อยากจะสัมผัสการเดินพลังของวิชาประเภทนี้เล็กน้อย ว่ามีผลกระทบกับพลังธาตุธรรมชาติหรือไม่

“อืม นี่มันพลังวิญญาณอะไรกัน”

หลังจากที่เสียงร้องของเมิ่งตาบอดดังได้นาทีกว่า เยี่ยเทียนก็จับความรู้สึกได้ ระหว่างฟ้าและดินก่อกำเนิดพลังวิญญาณที่เขาไม่เคยพบมาก่อน หลั่งไหลเข้าไปในร่างกายของเมิ่งตาบอด

เดิมเมิ่งตาบอดคิดว่าเยี่ยเทียนนั้นมีพลังไม่ดีเท่าหูหงเต๋อนั้น ทันใดนั้นพลังก็เพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ค่อย ๆ ครอบคลุมตัวหูหงเต๋อไว้ เขาคิดว่านี่เป็นผลจากการที่ “องค์เทพ” เข้าประทับแล้ว