เฉินกั๋วเหลียงไม่เข้าใจความสามารถของเฉินโม่เลย เมื่อได้ฟังคำตอบของเฉินโม่จึงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาคิดว่าเฉินโม่ก็อวดดีเล็กน้อย

แม้แต่เงินทุนเริ่มต้นยังไม่รับ จะมีสิทธิ์สร้างผลงานดี ๆ ได้อย่างไร ? หรือว่าเขาจะเป็นอัจฉริยะถึงขนาดสร้างทุกอย่างขึ้นมาได้ด้วยตัวเองเลยหรือ ?

ความคิดของเฉินกั๋วเหลียงคือการเกลี้ยกล่อมไม่ให้เฉินโม่ยอมแพ้ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และพยายามอย่างสุดความสามารถ แต่การแสดงออกของเฉินโม่กลับทำให้เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

ทันใดนั้นสีหน้าของเฉินกั๋วเหลียงก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที มองไปยังเฉินโม่และพูดว่า “เสี่ยวโม่ ปู่จะบอกความจริงให้ฟัง ตระกูลเฉินของพวกเราไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีเท่าไหร่นัก ถ้าหากปู่ไม่อยู่แล้ว ปู่ก็ไม่รู้ควรฝากตระกูลเฉินไว้กับใคร ?”

“ดังนั้น เหล่าคนรุ่นหลังอย่างพวกเธอ จึงต้องช่วยกันแบกรับภาระของตระกูล หากพวกคุณไร้ซึ่งคนปกป้องจากตระกูล ปู่เป็นกังวลต่ออนาคตของพวกเธอจริง ๆ !”

ในที่สุดเฉินโม่ก็เข้าใจ ดูเหมือนว่าคุณปู่จะโกรธเล็กน้อย อาจจะเป็นเพราะตกใจกับคำพูดของเขา

เฉินโม่ไม่มีคำอธิบาย มีบางเรื่องที่ยังไม่ชัดเจน ทำได้เพียงรอให้เงื่อนไขต่าง ๆ สุกงอมก่อนเท่านั้น

เฉินกั๋วเหลียงเห็นว่าเฉินโม่ไม่พูดอะไร จึงพูดต่อไปว่า “ความจริงแล้วคนที่ฉันโปรดปรานที่สุดในตระกูลของเราก็คือพ่อของเธอ น่าเสียดาย เพื่อชัยชนะ เขาตัวคนเดียวออกจากตระกูลเฉินไป ทำให้ปู่สูญเสียผู้ช่วยที่มีความสามารถคนหนึ่ง ต่อให้เขากลับมาตอนนี้ มันก็สายเกินไปแล้ว”

ที่แท้ว่าคุณพ่อเป็นคนที่คุณปู่โปรดปรานมากที่สุด คิดไม่ถึงเลย

“คุณปู่ คุณลุงของผมตอนนี้เป็นข้าราชชั้นผู้ใหญ่ในเขตการปกครองหนานซูแล้ว เขาจะแบกรับหน้าที่ฟื้นฟูตระกูลไม่ได้เชียวหรือ ?” เฉินโม่ถามออกไป

“คุณลุงของเธอจะมาทำหน้าที่นี้ได้ยังไง เขารู้ดีอยู่แก่ใจ ทุกคนเองก็รู้ ว่าเขาใช้หยาดเหงื่อแรงกายของตระกูลเฉินมาตลอดหลายปีเพื่อไต่เต้าขึ้นมายังจุด ๆ นี้”

“ตอนนี้ฉันยังมีชีวิตอยู่ คนอื่นจึงยังไว้หน้าปู่อยู่บ้าง ถ้าหากปู่ไม่อยู่แล้ว ด้วยความสามารถของคุณลุงเธอ เกรงว่าชีวิตนี้คงหยุดลงแค่นี้”

เฉินโม่พยักหน้า ที่แท้ตำแหน่งของคุณลุงก็ได้มาอย่างนี้เอง

“งั้นสายเลือดคุณปู่ใหญ่กับคุณปู่สามล่ะ ? หรือว่าจะไม่มีคนที่มีความสามารถจะรับผิดชอบได้หรือ ?” เฉินโม่ถามออกมาอีกครั้ง

เฉินกั๋วเหลียงถอนหายใจออกมา “เฮ้อ พี่ใหญ่และเหล่าทายาทรุ่นที่สองซื่อสัตย์เกินไป อยากจะให้อยู่ในตำแหน่งของผู้ดูแลตระกูลเฉิน เกรงว่าแค่เป็นคนดีคงยังไม่เพียงพอ”

เฉินโม่พยักหน้า มีแต่ความเมตตาไม่สามารถควบคุมคนได้ คิดจะเป็นผู้นำตระกูล คนที่มีความซื่อสัตย์มากเกินไปย่อมไม่ได้

เฉินกั๋วเหลียงถามต่อ “คุณปู่สามของนาย เกรงว่าจะตรงกันข้ามกับคุณปู่ใหญ่ เฉินตงหวาและพวกคนนั้น แต่ละคนมักคอยประจบสอพลอ ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมาย ยอมทำต่อคนครบครัวของคนโดยทุกวิธี ”

“ลองคิดดู ถ้าหากมอบตระกูลเฉินให้กับคนอย่างนี้ ตระกูลเฉินยังห่างไกลกับการล่มสลายอีกหรือ ?”

เฉินโม่พยักหน้า แม้ว่าปกติคุณปู่จะไม่ค่อยแสดงออกมากนัก แต่ทุกสิ่งของตระกูลเฉินคุณปู่รู้ดีในใจ

เฉินกั๋วเหลียงพูดเสร็จ จู่ๆ เขาก็เยาะเย้ยตนเอง “ช่างมันเถอะ ปู่พูดเรื่องนี้กับนายแล้วจะได้อะไร ?”

เฉินกั๋วเหลียงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ที่ปู่เรียกนายมา ที่หนึ่งจะเตือนนาย เพื่อที่จะป้องกันการแก้แค้นจากตระกูลเอียน และที่สองจะบอกนาย แม้ว่านายจะไม่ได้รับเงินต้นทุนจากตระกูล แต่ก็ไม่สามารถสละสิทธิ์ได้ ไม่อย่างนั้นนายจะกลายเป็นตัวตลกของตระกูล”

“ผมจะจำไว้” เฉินโม่พูดอย่างราบเรียบ

“อือ งั้นนายกลับไปเถอะ !” เฉินกั๋วเหลียงมองเฉินโม่พลางพยักหน้า

แม้ว่าเรื่องนี้จะถูกเฉินกั๋วเหลียงยับยั้งเอาไว้ แต่เฉินธงและเหล่าทายาทรุ่นหลัง ส่วนใหญ่ต่างเก็บความอัดอั้นเอาไว้ในใจ

พวกเขากำลังรอ รอดูปฏิกิริยาของเฉินโม่เมื่อเข้าร่วมการทดสอบของตระกูล

วันส่งท้ายปีเก่า ในช่วงบ่าย ณ คฤหาสน์ตระกูลเฉิน

เหล่าลูกหลานตระกูลเฉินที่มีอายุสิบแปดปีบริบูรณ์ ทั้งหมดแปดคน หรือกล่าวอีกนัยนึงก็คือ ผู้ที่เข้ารับการทดสอบครั้งนี้มีทั้งหมดแปดคน