วินาทีนั้น ฉันอุทานออกมาสั้นๆ เครื่องประดับผมทรงกลมที่เป็นประกายระยิบระยับอยู่บนศีรษะของรุ่นพี่โซยอน มันเหมือนกับกิ๊บติดผมอันนั้นที่รุ่นพี่อีกงให้ฉันเป็นของขวัญ แล้วฉันทำหายไปเมื่อหลายวันก่อนไม่มีผิด 

 

 

ฉันกำมือที่สั่นสะท้านเอาไว้แน่น ในหัวมันคิดไปถึงเรื่องต่างๆ นานา ใช่แล้ว อาจจะแค่บังเอิญซื้อมาเหมือนกันพอดีก็ได้ 

 

 

ไม่สิ มันจะไป ‘บังเอิญ’ เหมือนกันขนาดนั้นได้ยังไงกันล่ะ แต่รุ่นพี่โซยอนก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องขโมยกิ๊บติดผมของฉันไปนี่นา อีกอย่างเขาก็ติดโชว์หราเอาไว้แบบนั้นเสียด้วยสิ 

 

 

“คือ รุ่นพี่คะ…” 

 

 

ฉันที่ลังเลอยู่สักพัก ทำให้ริมฝีปากแห้งผากชุ่มชื้นด้วยปลายลิ้น ก่อนจะเอ่ยเรียกรุ่นพี่เต็มเสียง รุ่นพี่โซยอนที่หยิบเครื่องดื่มออกจากตู้ขายอัตโนมัติชำเลืองมองฉันด้วยหางตา ข้างในลำคอมันรู้สึกแห้งผากไปหมด ลิ้นปี่มันร้อนอย่างกับกลืนลูกไฟเข้าไป 

 

 

“ไปเอากิ๊บติดผมนั่นมาจากไหนเหรอคะ” 

 

 

“…แล้วจะทำไมล่ะ” 

 

 

รุ่นพี่โซยอนแสยะยิ้ม หึ ออกมา คงเป็นเพราะว่าฉันกัดฟันกรามอย่างแรง กรามมันถึงได้รู้สึกปวดขึ้นมา 

 

 

“ฉันทำกิ๊บติดผมหายน่ะค่ะ แล้วมันก็ดันเหมือนกับอันนั้นพอดี” 

 

 

“เธอนี่มันตลกจริงๆ แล้วไง จะบอกว่านี่น่ะเป็นของเธองั้นสินะ” 

 

 

รุ่นพี่หัวเราะอย่างเย้ยหยันออกมาสั้นๆ ก่อนจะจ้องเขม็งมาที่ฉัน เล่นเอาซะฉันรู้สึกอับอายขึ้นมาในทันที ทำไมฉันถึงต้องพูดเรื่องแบบนี้ออกไปกันนะ ฉันพยายามอดทนกับปลายจมูกที่คัดตึง พลางกำหมัดแน่นกว่าเดิม 

 

 

“ไม่ใช่อย่างงั้นหรอกค่ะ ก็แค่เผื่อว่า…” 

 

 

“มีคนให้เป็นของขวัญมาน่ะ” 

 

 

“…ของขวัญเหรอคะ” 

 

 

“ก็ใช่น่ะสิ ของขวัญ” 

 

 

“จะ จากใครเหรอคะ…” 

 

 

“แล้วมันเรื่องอะไรที่ฉันต้องบอกเธอด้วยล่ะ” 

 

 

คำถามของรุ่นพี่โซยอนทำให้ฉันถึงกับหมดคำที่จะพูดต่อ จู่ๆ ฉันก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่แสบร้อนขึ้นมา เหล่าผู้เข้าร่วมการแข่งขันที่ออกมาที่โถงทางเดินต่างชำเลืองมองและซุบซิบนินทา พอเห็นว่าฉันไม่ได้พูดอะไรต่อ รุ่นพี่โซยอนก็ค่อยๆ กะพริบตา ก่อนจะหันมายิ้มอย่างอ่อนหวานให้ฉัน 

 

 

“ดูเหมือนเธอจะมโนไปเองแล้วล่ะ กิ๊บติดผมน่ะมันก็ซ้ำๆ กันทั้งนั้นแหละ เราอาจจะซื้อมาจากที่เดียวกันก็ได้นะ” 

 

 

น้ำเสียงของรุ่นพี่โซยอนดูจะสุขุมและใจดีแตกต่างไปจากเมื่อกี้นี้ ฉันกัดริมฝีปากที่สั่นเครือเอาไว้สุดแรง ต่อให้ฉันโง่ขนาดไหน ฉันก็ยังสามารถเข้าใจถึงสถานการณ์นี้ได้ รุ่นพี่โซยอนกำลังยั่วให้ฉันโกรธอยู่ 

 

 

“พูดตรงๆ นะ ถ้าฉันเป็นคนเก็บได้ แล้วฉันจะมีเหตุผลอะไรที่จะไม่คืนให้ล่ะ หรือว่า เธอคงจะไม่คิดว่าฉันขโมยมันไปหรอกนะ มันยิ่งดูไม่มีเหตุผลเข้าไปใหญ่ใช่ไหมล่ะ ใครจะไปขโมยกิ๊บติดผมแค่อันเดียว” 

 

 

“…” 

 

 

“ฉันก็เข้าใจอยู่หรอกนะที่เธอเสียใจเพราะกิ๊บเธอหาย แต่ก็ไม่ควรจะมากล่าวหาว่าฉันเป็นขโมยหรอกนะ” 

 

 

รุ่นพี่ตบไหล่ของฉันเบาๆ ด้วยใบหน้าที่ยังคงยิ้มแย้ม ข้างในลำคอมันแห้งซะจนไม่มีเสียงออกมา ตอนนี้ ณ ที่ตรงนี้ ถ้าฉันยังพูดอะไรออกไปอีก มันก็จะกลายเป็นว่าฉันดันทุรังไปเองซะเปล่าๆ 

 

 

“ไปทำหัวให้เย็นซะนะ วันนี้ฉันจะทำเป็นไม่เห็นก็แล้วกัน…” 

 

 

“อะไรนะ ทำเป็นไม่เห็นงั้นเหรอ” 

 

 

ในตอนนั้นเอง มีเสียงทุ้มต่ำดังแหวกออกมาจากกลุ่มผู้คนที่เอะอะโวยวาย วินาทีนั้นใบหน้าของรุ่นพี่โซยอนดูจะกระตุกเล็กน้อย  

 

 

อีเซกำลังยืนตีหน้านิ่งอยู่ข้างหลังรุ่นพี่โซยอน การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของหมอนั่น ไม่ได้ทำให้เพียงแค่รุ่นพี่โซยอนเท่านั้นที่ตกใจ ฉันเองก็ยังจ้องหน้าอีเซนิ่งเหมือนกับปลาทองที่กำลังขยับปากบุ๋งๆ 

 

 

“…อีเซ มีธุระอะไรที่นี่เหรอ” 

 

 

“ผมเป็นฝ่ายที่ถามก่อนนะ” 

 

 

สายตาของอีเซที่มองตรงไปยังรุ่นพี่โซยอนดูดุดันมากทีเดียว คำพูดโจมตีของอีเซทำให้รุ่นพี่โซยอนมึนงงไปสักครู่ แต่ว่ารุ่นพี่โซยอนก็กลับมายิ้มอีกครั้ง ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น 

 

 

“ฮวีกยอมคงจะมีเรื่องอะไรเข้าใจผิดน่ะ ก็เลยทำตัวเสียมารยาทใส่ฉันนิดหน่อย ฉันก็เลยว่ากล่าวตักเตือนไปนิด…” 

 

 

“คนที่เสียมารยาทน่ะ คือรุ่นพี่ไม่ใช่เหรอครับ” 

 

 

“…ว่าไงนะ” 

 

 

ใบหน้าที่ดูสุภาพเรียบร้อยของรุ่นพี่โซยอนบิดเบี้ยวไปในพริบตา อีเซค่อยๆ เดินมาทางนี้ ก่อนจะคว้าข้อมือของฉันเอาไว้ทันที  

 

 

รุ่นพี่โซยอนหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างเหลืออด คนที่ออกอาการตื่นกลัวบรรยากาศตึงเครียดที่ไหลวนอยู่รอบตัวของทั้งสองนั้นกลับเป็นฉันเองเสียนี่ 

 

 

“นี่อีเซ เดี๋ยวก่อนสิ…” 

 

 

ฉันรีบบิดข้อมือที่อีเซจับเอาไว้ พลางห้ามปรามหมอนั่น แต่ว่าอีเซกลับยิ่งกำข้อมือฉันหนักขึ้น แล้วพึมพำกับฉันเบาๆ ด้วยน้ำเสียงดุ 

 

 

“ตามมา” 

 

 

“ลีอีเซ ต่อหน้ารุ่นพี่ เธอกำลังทำ…” 

 

 

“รุ่นพี่เหรอ รุ่นพี่ก็ต้องทำตัวให้สมเป็นรุ่นพี่สิ ถึงจะได้รับการปฏิบัติในฐานะรุ่นพี่น่ะ” 

 

 

คำพูดอันดุดันของอีเซทำให้ขนตาของรุ่นพี่โซยอนกระพือครั้งใหญ่ แต่ว่ารุ่นพี่ก็ยังคงไม่ลืมที่จะยิ้มจนถึงตอนจบ แล้วก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น 

 

 

“อีเซ ฉันว่าเธอคงจะเข้าใจอะไรผิดนะ ตอนนี้ ฮวีกยอมกำลังกล่าวหาว่าฉันเป็นขโมย…” 

 

 

“ฮวีกยอมไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกนะครับ ตอนนี้ใครที่กล่าวหาใครกันแน่” 

 

 

“…” 

 

 

“ผมก็อดทนสุดๆ แล้วนะ แต่ว่านี่มันเกินไปจริงๆ” 

 

 

อีเซวาดสายตาอันน่ากลัวไปที่รุ่นพี่โซยอน ก่อนจะดึงข้อมือฉันไปอย่างเต็มแรง 

 

 

“ไปกันเถอะ ฮวีกยอม” 

 

 

“…นี่” 

 

 

“ทำไรอยู่เล่า บอกให้ไปได้แล้ว!” 

 

 

อีเซคว้าตัวฉันเอาไว้ แล้วค่อยๆ เดินผ่านรุ่นพี่โซยอนไป กว่าจะรู้สึกตัว ฉันก็ถูกลากกลับมาอยู่ที่ล็อบบี้อีกครั้งเสียแล้ว และในที่สุดฉันก็สามารถสลัดข้อมือออกจากมือของหมอนั่นได้ซะที 

 

 

“เดี๋ยวสิ อีเซ ฉันจะต้องไปเอากิ๊บติดผมคืนจากรุ่นพี่โซยอนก่อน” 

 

 

“ด้วยวิธีไหนล่ะ” 

 

 

“หือ” 

 

 

อีเซเอียงหัวพลางมองจ้องมาที่ฉัน ฉันพูดไม่ออกเลยสักนิด ได้แต่ขยับปากขึ้นลงอย่างลังเล 

 

 

“ฉันถามว่าเธอจะไปเอามายังไง คิดว่าไปขอแล้วเขาจะบอกว่า เอาไปสิ งั้นเหรอ” 

 

 

“แต่ว่า…” 

 

 

“นั่นน่ะ เป็นกิ๊บติดผมที่ได้มาจากพี่สินะ” 

 

 

“…อือ” 

 

 

“ทำหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่” 

 

 

“เมื่อหลายวันก่อน ฉันวางเอาไว้ในล็อกเกอร์ที่ห้องเปลี่ยนเสื้อในอคาเดมี แล้วมันก็หายไป” 

 

 

“ว่าไงนะ งั้นนั่นก็เป็นการขโมยน่ะสิ!” 

 

 

ทันทีที่เสียงของอีเซดังลั่นขึ้นมา ฉันก็รีบอุดปากของหมอนั่นไว้ แล้วตะโกนออกมาเบาๆ 

 

 

“เงียบๆ สิ!” 

 

 

ตาของอีเซที่เบิกโตขึ้นจนเหมือนกับจะหลุดออกมาจากเบ้าตากำลังกลอกไปมา ก่อนจะมาจ้องฉัน ทันทีที่อีเซถอนหายใจออกมา ฉันก็ค่อยๆ ปล่อยมือที่กำลังปิดปากของหมอนั่นอยู่ 

 

 

“เธอบ้าหรือไง พูดไม่ออกแล้วยังจะไปสู้เขาอีก ถ้าไม่บอกพี่ตรงๆ แล้วไปขอคืนด้วยกัน ก็ควรจะไปจัดการซะเลยไม่ใช่รึไง” 

 

 

“…ฉันไม่อยากให้รุ่นพี่รู้น่ะ แล้วถ้าจะทำให้เรื่องมันใหญ่โต ฉันก็ยิ่งไม่ชอบเข้าไปใหญ่ อีกอย่าง ถ้ารุ่นพี่อีกงรู้เข้า รุ่นพี่โซยอนก็จะต้องแกล้งทำเป็นใสซื่อจนถึงที่สุดแน่ พูดตามตรงนะ มันอาจจะเป็นแค่ของที่หน้าตาเหมือนกันจริงๆ ก็ได้” 

 

 

อีเซเอามือก่ายหน้าผาก ก่อนจะส่ายหัว ฉันเองก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าตามสถานการณ์แล้ว มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่กิ๊บบนหัวของรุ่นพี่โซยอนจะไม่ใช่ของฉัน และมันก็ถูกต้องแล้วที่ฉันควรจะพูดกับรุ่นพี่อีกงตรงๆ พร้อมกับขอโทษเขา ถ้าหากฉันอยากจะได้กิ๊บติดผมคืน ฉันจำเป็นจะต้องได้รับการช่วยเหลือจากรุ่นพี่ แต่ว่า… 

 

 

“เอาไว้รุ่นพี่แข่งจบแล้ว ตอนนั้นฉันจะบอกก็แล้วกัน” 

 

 

“…เธอนี่มันเหลือเชื่อจริงๆ อยากทำอะไรก็ตามใจแล้วกัน” 

 

 

อีเซยักไหล่ พลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันหลัง 

 

 

“ว่าแต่ อีเซ นายมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ” 

 

 

“ก็ต้องมาพร้อมพี่อยู่แล้วสิ” 

 

 

“…อืม นั่นสินะ” 

 

 

ฉันพยายามแกล้งถามเพื่อเปลี่ยนเรื่อง แต่บรรยากาศมันกลับยิ่งแปลกหนักเข้าไปใหญ่ ฉันเกาหัวด้วยความรู้สึกเขิน ส่วนอีเซกลับหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น ก่อนจะเอามือวางบนหัวฉัน แล้วขยี้ผมจนยุ่ง 

 

 

“นู่น คุณสามีเธอมานู่นแล้ว” 

 

 

ฉันเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดหยอกล้อของอีเซ ที่ปลายสุดของล็อบบี้ มีซูฮยอน เซจิน และรุ่นพี่อีกงกำลังยืนอยู่ด้วยกัน รุ่นพี่อีกงที่คลุมร่างกายเปลือยเปล่าด้วยเสื้อโค้ทมองมาที่ฉัน พร้อมกับรอยยิ้มอันสดใส พลางโบกมือ 

 

 

“รีบมานี่เร็ว!” 

 

 

พอได้เห็นรอยยิ้มหวานของรุ่นพี่แล้ว ความรู้สึกอึดอัดที่เหมือนมีของกินติดคอจนถึงเมื่อกี้ก็เริ่มจะคลายลงไป ใช่แล้ว ลืมๆ ไปเถอะ ลืมไปให้หมดเลย ฉันก็แค่ต้องลืมมันไปให้หมดจนกว่ารุ่นพี่จะลงจากเวทีเรียบร้อยแล้ว 

 

 

ฉันท่องคำพวกนั้นอยู่ภายในใจดังๆ เป็นสิบๆ รอบ พร้อมกับทำจิตใจให้สงบ 

 

 

“ไปไหนมาน่ะ” 

 

 

“ฉันแวะไปซื้อเครื่องดื่ม…” 

 

 

มือของฉันยื่นกระป๋องเครื่องดื่มอุ่นๆ ไปให้รุ่นพี่โดยอัตโนมัติ รุ่นพี่หัวเราะ ก่อนจะรับมันไว้ แล้วใส่มันลงไปในกระเป๋าเสื้อนอกของฉัน ต่อจากนั้นเขาก็เอื้อมมือมาจับมือที่ว่างเปล่าของฉันไว้แน่น 

 

 

“พี่อยากได้นี่มากกว่านะ” 

 

 

ฝ่ามือที่ชุ่มเหงื่อเล็กน้อยของรุ่นพี่ยังคงให้ความรู้สึกเหมือนเดิม สัมผัสเย็นๆ ที่ทำให้รู้สึกเป็นกังวล ฉันเองก็จับมือของรุ่นพี่กลับไปเช่นกัน 

 

 

“พวกเราเข้าไปกันก่อนเถอะ” 

 

 

อีเซที่ยืนอยู่ข้างหลังฉันพูดพลางกวักมือไปทางเซจินและซูฮยอน ฉันถูกทิ้งให้อยู่กับรุ่นพี่สองต่อสองที่ล็อบบี้เมื่อคนอื่นๆ เข้าไปข้างในแล้ว ใบหน้าของรุ่นพี่ที่ก้มลงมามองฉันซึ่งกำลังออกอาการประหม่ายังคงมีรอยยิ้มอันอ่อนโยนแฝงอยู่ 

 

 

“วันนี้สู้ๆ นะคะ” 

 

 

“อือ เพราะใครบางคนมา พี่เลยมีพลังขึ้นเยอะเลยล่ะ” 

 

 

พอมองดูใบหน้าของรุ่นพี่ที่ยิ้มอย่างร่าเริงกว่าครั้งไหนๆ มันก็ทำให้หัวใจของฉันเต้นตึกตักขึ้นมา การที่มีชีวิตอยู่แล้วสามารถมอบพลังให้ใครสักคนได้ และการที่คนๆ นั้นเป็นรุ่นพี่อีกง มันก็ทำให้ฉันรู้สึกดีจริงๆ มุมหนึ่งของหัวใจมันรู้สึกจั๊กจี้ไปหมด 

 

 

“ผู้เข้าร่วมแข่งขันกรุณาเข้าไปรอในห้องพักด้วยครับ!” 

 

 

ทันทีที่เสียงของคนที่ดูเหมือนเป็นสต๊าฟดังกังวานไปทั่วล็อบบี้ รุ่นพี่ก็ทำสีหน้าเสียดาย ก่อนจะผละมือออกจากมือของฉันอย่างเชื่องช้า 

 

 

“ต้องไปแล้วสินะ” 

 

 

“แล้วเจอกันนะคะรุ่นพี่” 

 

 

“อือ แล้วเจอกัน” 

 

 

รุ่นพี่ที่ยิ้มออกมาอย่างสดใส เอาปากมาสัมผัสลงเบาๆ ที่หน้าผากของฉัน ก่อนจะรีบเดินเข้าไปในห้องพัก ความรู้สึกในตอนนั้นมันทำให้หัวใจจั๊กจี้ขึ้นมาอีกครั้ง ฉันยกมือขึ้นแตะหน้าผากตรงที่ริมฝีปากของรุ่นพี่สัมผัสถูกอย่างเบามือ พลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่