ตอนที่ 1162 คุณชายป๋ายเฟิง

True Martial World พิภพเทพยุทธ์

บทที่ 1162 คุณชายป๋ายเฟิง โดย Ink Stone_Fantasy

“เจ้าสำนักต่ง” อี้อวิ๋นมองท่าทางเหมือนมีอะไรจะพูดแต่ก็หยุดของต่งเส่าชิงแล้วก็มองต่งเสี่ยวหวั่น เขาอดถอนใจเบาๆ ไม่ได้เมื่อเห็นร่างกายอันเล็กบอบบางของนาง ไม่รู้ว่าต่งเสี่ยวหวั่นเป็นอะไรกันแน่ เหตุใดเด็กสาวที่ปกติดีคนหนึ่งจึงเจอเรื่องประหลาดเช่นนี้

“พวกเจ้าเข้ามาเถอะ แต่ข้าอาจไม่มีวิธีเช่นกัน”

“ขอบคุณคุณชายอี้ขอรับ”

ต่งเส่าชิงประคองต่งเสี่ยวหวั่นเข้ามาในห้องหลอมโอสถของอี้อวิ๋น

รูปร่างต่งเสี่ยวหวั่นไม่สูง นางนั่งลงบนเตียงศิลาในห้องหลอมโอสถอย่างระมัดระวัง

“มือ”

อี้อวิ๋นยื่นมือออกมา

ต่งเสี่ยวหวั่นพยักหน้าอย่างหน้าแดง นางเลิกแขนเสื้อขึ้นจนเผยให้เห็นข้อมือที่ขาวดุจหิมะ มือของต่งเสี่ยวหวั่นเหมือนเด็กสาวอายุสิบสามสิบสี่ปี มันมีขนาดเล็กน่ารัก อี้อวิ๋นวางมือลงบนข้อมือนาง ขณะเดียวกันก็เปิดการมองเห็นพลังเพื่อตรวจสอบการไหลเวียนของพลังในร่าง

แม้สิ่งชั่วร้ายนั่นจะสงบตัวไปแล้ว แต่มันก็ยังคงอยู่ในจุดตันเถียนของต่งเสี่ยวหวั่นและราวกับจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจุดตันเถียนของนาง

ที่ก่อนหน้านี้ต่งเสี่ยวหวั่นฝึกฝนอย่างไรระดับยุทธ์ก็ไม่เพิ่มขึ้นก็คงเป็นเพราะสาเหตุนี้

อี้อวิ๋นรู้สึกได้รางๆ ว่าเมื่อสิ่งชั่วร้ายนี้ผสานเข้ากับต่งเสี่ยวหวั่นอย่างสมบูรณ์ เช่นนั้นต่งเสี่ยวหวั่นก็ไม่มีทางรอด

มันเป็นสัตว์ประหลาดที่พยายามยึดร่างต่งเสี่ยวหวั่นหรือ?

อี้อวิ๋นเกิดความคิดนี้ขึ้นในหัว แต่หลังจากที่ไตร่ตรองสักพักก็ตัดความคิดนี้ทิ้งไป หากจะยึดร่างก็ควรเริ่มลงมือจากจิตวิญญาณ ไม่ใช่จุดตันเถียน

และแม้สิ่งชั่วร้ายนี้จะหน้าตาเหมือนมนุษย์ แต่ความรู้สึกที่ให้กลับไม่เหมือนวิญญาณมนุษย์

อี้อวิ๋นลังเลชั่วครู่แล้วคลึงมือ กฎแห่งมิติรวมตัวขึ้นเป็นลายวิถีหยางบริสุทธิ์

อี้อวิ๋นส่งลายวิถีหยางบริสุทธิ์เหล่านี้เข้าสู่ร่างต่งเสี่ยวหวั่นเพื่อผนึกเส้นทางรอบๆ จุดตันเถียน พลังหยางบริสุทธิ์มีฤทธิ์จำกัดสิ่งชั่วร้ายได้ดีที่สุด มีลายวิถีหยางบริสุทธิ์เหล่านี้อยู่ สิ่งชั่วร้ายนี่คงทำไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตต่งเสี่ยวหวั่นอีก แต่อย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ทางออกระยะยาว

“ช่วงนี้เจ้าอย่าเพิ่งฝึกวรยุทธ์ ไม่ต้องใช้พลังปราณ หากเจ้าสำนักต่งวางใจข้าก็ขอแนะนำให้ฝากต่งเสี่ยวหวั่นไว้ที่นี่ เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”

“คุณชายอี้เกรงใจกันเกินไปแล้วขอรับ ท่านเป็นคนช่วยชีวิตเสี่ยวหวั่น ข้าจะไม่ไว้วางใจได้อย่างไร”

ต่งเส่าชิงไม่เพียงไม่กังวลเมื่อได้ยินคำของอี้อวิ๋น เขาดีใจมากด้วยซ้ำ ยินดีฝากลูกสาวไว้ที่นี่ หากเกิดอะไรก็จะได้รับความช่วยเหลือจากอี้อวิ๋นอย่างทันท่วงที

“ได้” อี้อวิ๋นพยักหน้า

“เช่นนั้น…ข้าน้อยขอตัวก่อน เสี่ยวหวั่น ไว้พ่อจะมาเยี่ยมเจ้า”

ต่งเส่าชิงพูดพร้อมประสานมือ ต่งเส่าชิงไม่กังวลที่ต้องทิ้งลูกสาวที่ไร้แรงต้านทานไว้กับอี้อวิ๋น ไม่ว่าจะการตอบแทนบุญคุณก่อนหน้านี้ของอี้อวิ๋นหรือการช่วยลูกสาวเขาอย่างไม่เรียกสิ่งตอบแทน อี้อวิ๋นก็เป็นคนมีคุณธรรมไม่เลว

ต่อให้อี้อวิ๋นมีความคิดอะไรกับลูกสาวเขาจริงๆ ต่งเส่าชิงก็ยอมหลับตาข้างหนึ่ง อี้อวิ๋นต่างจากฮูเหยียนชาง ฮูเหยียนชางอายุมากจนใกล้จะลงโลงแล้วแต่กลับคิดยุ่งกับลูกสาวเขา ทว่าอี้อวิ๋นยังอายุน้อย อนาคตก็กว้างไกล หากลูกสาวติดตามอี้อวิ๋นได้ก็ไม่มีอะไรเสียหายแน่นอน

ต่งเส่าชิงจากไปแล้ว ในเวลาสองสามวันต่อมาอี้อวิ๋นก็ปิดด่านฝึกตน หากมีเวลาว่างก็จะตรวจสอบสิ่งชั่วร้ายในร่างต่งเสี่ยวหวั่น เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ อี้อวิ๋นก็ค่อยๆ เข้าใจสิ่งชั่วร้ายนี้มากขึ้น

ต่งเสี่ยวหวั่นกลายเป็นเด็กรับใช้ในห้องหออวิ๋นซินเช่นเดียวกับหรูเอ๋อร์ หากหรูเอ๋อร์มีเรื่องอะไรนางก็จะคอยช่วยเหลือ ทั้งสองช่วยกันดูแลห้องหออวิ๋นซินให้เป็นระเบียบเรียบร้อย

ขณะเดียวกันชื่อเสียงของอี้อวิ๋นก็กระจายไปทั่วเมืองสรรพสิ่งอย่างรวดเร็ว

เขาตัดแขนจั่วชิวเฮ่าอวี้และใช้เพลิงหยางบริสุทธิ์มาเผาเป็นเถ้าถ่าน

เขาเป็นเด็กรุ่นเยาว์แต่กลับหลอมโอสถหทัยน้ำแข็งไท่เวยสำเร็จ ทั้งยังทำให้ต่งเสี่ยวหวั่นที่มีโรคประหลาดรักษายากฟื้นคืนสติกลับมา คุณภาพโอสถเหนือกว่าจั่วชิวปั๋ว!

ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ทำให้ผู้คนที่ได้ฟังรู้สึกตกตะลึง

ปรมาจารย์โอสถมีฐานะในเมืองสรรพสิ่งสูงมาก แม้จะรู้ว่าอี้อวิ๋นล่วงเกินหอเซียนสรรพสิ่ง ถึงกระนั้นก็ยังมีคนจำนวนมากอยากให้อี้อวิ๋นหลอมโอสถหรือไม่ก็ผูกมิตรกับเขา

“อะไรนะ คุณชายป๋ายเฟิงอยากพบข้า? คุณชายป๋ายเฟิงนี่เป็นใครกัน?”

อี้อวิ๋นเพิ่งนั่งสมาธิเสร็จก็ได้ยินรายงานจากต่งเสี่ยวหวั่น

“เรียนคุณชายอี้ คุณชายป๋ายเฟิงมีชื่อเต็มๆ ว่าโจวป๋ายเฟิง เป็นคนจากตระกูลโจวแห่งเมืองสรรพสิ่ง ตระกูลโจวไม่ใช่สำนักแต่ก็เป็นกลุ่มอิทธิพล เป็นกลุ่มอิทธิพลอันดับสามของเมืองสรรพสิ่ง! แม้จะเทียบหอเซียนสรรพสิ่งไม่ได้แต่ก็ด้อยกว่าไม่มาก ตัวโจวป๋ายเฟิงได้รับความสำคัญในตระกูลมากเช่นกัน เรื่องหลายอย่างในตระกูลมีเขาเป็นผู้ดูแล”

“คุณชายป๋ายเฟิงรออยู่ด้านหน้าแล้วเจ้าค่ะ” ต่งเสี่ยวหวั่นพูดต่อ

อี้อวิ๋นคิดแล้วก็พยักหน้าพูดว่า “ให้เขาเข้ามาเถอะ”

ในเมื่อคุณชายป๋ายเฟิงผู้นี้ร่ำรวยมีอิทธิพล เช่นนั้นหากให้อี้อวิ๋นหลอมโอสถก็คงจ่ายราคาไหว อี้อวิ๋นต้องรวบรวมอักขระจำนวนมหาศาลภายในสามปี ย่อมไม่ปฏิเสธการค้าที่เข้ามาถึงที่

หลังจากที่ต่งเสี่ยวหวั่นออกไปแจ้งข่าว ไม่นานก็มีชายสองคนเดินเข้ามา

ชายที่สวมเสื้อตัวยาวสีฟ้าอ่อนคนหนึ่งยิ้มมาแต่ไกลและทักทายอี้อวิ๋นอย่างเป็นมิตร “ท่านผู้นี้คือปรมาจารย์อี้สินะ ข้าเลื่อมใสมานาน ข้ามีนามว่าโจวป๋ายเฟิง ผู้นี้คือคุณชายจางจื้อหย่วนผู้เป็นแขกของตระกูลโจว ปรมาจารย์อี้เพิ่งมาเมืองสรรพสิ่งเป็นครั้งแรก อาจไม่รู้จักชื่อเสียงของคุณชายจางจื้อหย่วน เขาเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่มีชื่อเสียงของเมือง”

จางจื้อหย่วนส่ายพัดหยก กลิ่นอายบนร่างเขาแหลมคมและดูไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาก

อี้อวิ๋นวางถ้วยชาลงช้าๆ แล้วพูดเรียบๆ ว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายป๋ายเฟิงต้องการหลอมโอสถอะไรหรือ? ท่านคงรู้นะว่าราคาที่ข้าเสนอไม่ใช่ถูกๆ”

“ย่อมรู้อยู่แล้ว แต่วันนี้ข้าไม่ได้มาเพื่อขอให้ปรมาจารย์อี้หลอมโอสถ แต่มาเชิญให้ท่านเป็นแขกของตระกูลโจวเช่นเดียวกับคุณชายจางจื้อหย่วน ตระกูลโจวของข้ามีอิทธิพลในเมืองสรรพสิ่งอยู่ไม่น้อย แขกในตระกูลต่างเป็นอัจฉริยะ หากท่านปรมาจารย์อี้เห็นด้วย เช่นนั้นแม้แต่หอเซียนสรรพิ่งก็ไม่กล้ามาหาเรื่องท่านง่ายๆ” คุณชายป๋ายเฟิงพูดอย่างมั่นใจ สีหน้ามีความทะนงตนเล็กน้อย

ตระกูลโจวถือเป็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งของเมืองสรรพสิ่ง จางจื้อหย่วนก็เป็นอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงของเมือง แต่เขาก็ถูกตระกูลโจวดึงตัวมาเป็นพวกเหมือนกันไม่ใช่หรือ? คุณชายป๋ายเฟิงจงใจพาจางจื้อหย่วนมาด้วยก็เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

แม้จางจื้อหย่วนจะเทียบเทพธิดาอู๋เสียกับเทพธิดาโยวฉินไม่ได้ แต่เขาก็เป็นอัจฉริยะผู้โด่งดัง

“ตอนนั้นคุณชายจางจื้อหย่วนก็มีเรื่องกับสำนักขนาดใหญ่เพราะผู้หญิงคนหนึ่ง แต่หลังจากที่เขาเป็นแขกของตระกูลโจว สำนักขนาดใหญ่นั้นก็ได้แต่กล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจ” คุณชายป๋ายเฟิงพูด

“คุณชายป๋ายเฟิงพูดถูกแล้ว อี้อวิ๋น วันนี้คุณชายป๋ายเฟิงมาเพื่อช่วยเจ้า หากไม่มีตระกูลโจว ตัวเจ้าที่อยู่เพียงลำพังก็ยากจะยืนหยัด” จางจื้อหย่วนเหลือบมองอี้อวิ๋นแวบหนึ่ง แต่ในใจกลับไม่พอใจ

ตั้งแต่พวกเขาเข้ามาอี้อวิ๋นก็ไม่ลุกตัวขึ้นสักครั้ง ตอนที่จางจื้อหย่วนกลายเป็นแขกของตระกูลโจวก็เคารพนบนอบมากและเป็นฝ่ายเข้าไปขอพึ่งพา

การปฏิบัติที่ต่างกันนี้ทำให้จางจื้อหย่วนไม่พอใจ ท่าที่หยิ่งยโสของอี้อวิ๋นก็ทำให้เขายิ่งรู้สึกไม่ชอบ

“ดึงข้าเป็นพวก? ขออภัยด้วย ข้าไม่สนใจ” อี้อวิ๋นปฏิเสธในคำเดียว “ข้ามีนิสัยอิสระ ไม่ชอบถูกใครควบคุม ส่วนเรื่องที่หอเซียนสรรพสิ่งจะมาหาเรื่องข้าหรือไม่ แล้วข้าจะต้องการความคุ้มครองจากตระกูลโจวหรือเปล่านั้น…”

“หากข้าต้องขายตัวเองให้กลุ่มอิทธิพลหนึ่งเพราะเรื่องแค่นี้เพื่อความคุ้มครอง เช่นนั้นวิถียุทธ์ของข้าก็คงฝึกมาเปล่าประโยชน์แล้ว” อี้อวิ๋นพูดแล้วก็มองไปที่จางจื้อหย่วนแวบหนึ่ง

ไม่มีว่าจะคุณชายโจวหรือคุณชายจางก็ไม่มีความหมายสำหรับอี้อวิ๋นแม้แต่น้อย

……………………………………………………..