บทที่ 538 ลักลอบบ่มเพาะ

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 538 ลักลอบบ่มเพาะ

ในที่สุดหลังจากกระโดดล่อการโจมตีไปมาจนทั่วเกาะ หลิงตู้ฉิงก็เจอจุดที่เทพีหลิงเปาใช้ในการบ่มเพาะ ซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่นางทิ้งมหาวิถีเต๋าเอาไว้

เมื่อลุล่วงตามเป้าหมายที่หวังแล้ว มันจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่หลิงตู้ฉิงจะยังคงเล่นกับเด็กพวกนี้ต่อไป

สิ่งที่เขาทำในชั่วอึดใจถัดมาก็คือเขาหยิบแผ่นหยกขึ้นมาจำนวนหนึ่งจากในแหวนมิติ และจากนั้นก็โยนแผ่นหยกเหล่านี้ออกไปทั่วบริเวณรอบ ๆ แท่นหิน จัดให้แผ่นหยกพวกนี้วางตามตำแหน่งค่ายกลป้องกัน

ในเวลาเดียวกัน เมื่อการโจมตีของกานหยูพุ่งเข้ามาถึงค่ายกลที่วางเสร็จเรียบร้อย บรรดามังกรน้ำนับร้อยก็สลายหายไปทันที

เมื่อเห็นเช่นนี้ กานหยูก็มองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาไม่ยินยอม เขาตั้งใจว่าจะโจมตีอัดเข้าไปอีกรอบ

แต่ก่อนที่กานหยูจะได้โจมตีซ้ำ หมิงยู่ก็พุ่งตัวเข้ามาอยู่ด้านข้างหลิงตู้ฉิง และเอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้นายท่านของข้ากำลังจะเข้าสู่สภาวะหยั่งรู้ เจ้าและพวกของเจ้าจงถอยออกไป ไม่งั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน!”

เย่ชิงเฉิงก็พูดขึ้นเสริมเช่นกัน “การโจมตีของพวกเจ้าทั้งหมดที่ผ่านมาทำให้สามีของข้าตอนนี้เข้าสู่สภาวะหยั่งรู้พอดี จงถอยออกไปก่อนอย่าเข้ามารบกวน”

เมื่อพูดจบ เย่ชิงเฉิงใช้โอกาสนี้ในการเปิดค่ายกลกระบี่เหินเมฆาล้อมรอบบดบังพวกเขาเอาไว้ทั้งหมดทันที

เย่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ รู้ทันทีว่าการกระทำแบบนี้ของหลิงตู้ฉิงนั้นแปลว่า เขาน่าจะหาเจอในสิ่งที่เขาต้องการแล้ว

แต่ว่าพวกเขาก็ยังอดกังวลไม่ได้เพราะการที่หลิงตู้ฉิงเอาพลังของมหาวิถีเต๋าสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์มาใช้ซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้มันไม่ต่างอะไรกับการเกี้ยวพาราสีภรรยาของคนอื่นต่อหน้าสามีของนางเลยแม้แต่น้อย

มันจะเป็นไปได้ยังไงที่คนของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์จะไม่รู้ตัว?

แต่ถึงแม้ว่าจะกังวล พวกเขาก็ยังต้องเล่นตามน้ำอ้างเหตุผลว่าหลิงตู้ฉิงเข้าสู่สภาวะหยั่งรู้ และเปิดใช้ค่ายกลกระบี่เหินเมฆาโดยใช้ข้ออ้างว่าไม่ต้องการให้ใครรบกวน

ตามกฎที่ไม่ได้มีการบัญญัติเอาไว้ เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าหากมีผู้ใดกำลังอยู่ในสภาวะหยั่งรู้ ผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ นั้นไม่ควรจะเข้าไปรบกวนเพราะมันไม่ต่างอะไรกับการลอบโจมตีคนไม่มีทางสู้ มันเสียเกียรติและจะถูกผู้อื่นครหาตราหน้าว่าเป็นพวกชอบลอบกัดไม่มีคนคบค้าสมาคมด้วย และยิ่งโดยเฉพาะสำนักใหญ่ ๆ ที่ต้องรักษาภาพพจน์เอาไว้เป็นอันดับหนึ่ง หากไม่ใช่ศัตรูที่มีความแค้นฝังลึกกันมานานมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะโจมตี

ส่วนการสร้างการป้องกันให้กับตัวเองตอนที่เข้าสู่สภาวะหยั่งรู้นั้นยิ่งเป็นเรื่องที่ปกติเข้าไปใหญ่ ดังนั้นคนของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้จึงไม่มีใครสงสัยอะไรทั้งนั้น

“เฮ้อ ไอ้หนุ่มนี่มันช่างโชคดีจริง ๆ!” ฉีจินเปาถอนหายใจ “ช่างเถอะไว้รอมันออกจากสภาวะหยั่งรู้ก่อนก็แล้วกันจากนั้นค่อยว่ากันใหม่ อย่างน้อย ๆ ตอนนี้มันก็คงอยู่อย่างสงบไปสักพัก ข้าจะได้ไม่ต้องเปลืองแรงมาจับตาดูมันด้วย”

ทางด้านของซูชางหมิงมองไปที่ค่ายกลกระบี่เหินเมฆาด้วยสายตาชิงชัง

เขาต้องการที่จะสร้างความเดือดร้อนให้กับหลิงตู้ฉิง โดยการให้ศิษย์ของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ไปท้าประลอง

แต่แล้วแผนของเขากลับล้มเหลวไม่เป็นท่า แถมยังทำให้หลิงตู้ฉิงเข้าสู่สภาวะหยั่งรู้อีกต่างหาก

ในตอนแรกศัตรูของนายน้อยของเขาผู้นี้ก็มีความเข้าในในกฎแห่งสวรรค์และโลกในระดับที่น่ากลัวมากอยู่แล้ว แล้วนี่ยังบังเอิญเข้าสู่สภาวะหยั่งรู้ได้อีก ในอนาคตมันจะไม่ยิ่งกลายเป็นตัวตนที่น่ากลัวกว่าเดิมไปอีกงั้นเหรอ?

ซูชางหมิงคิดในใจ ยังไงเขาก็จะต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อรั้งหลิงตู้ฉิงเอาไว้ที่นี่ให้ได้นานที่สุด คนผู้นี้มันพิสดารเกินไป มันอาจเป็นตัวอันตรายต่อแผนการของนายน้อยของเขา

หรือหากมันจำเป็น เขาก็ใช้มาตรการที่รุนแรงที่สุด หากไม่มีทางเลือกอื่น

ส่วนทางด้านของศิษย์ทั้ง 17 คนของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ พวกเขายืนมองไปที่ค่ายกลกระบี่เหินเมฆาด้วยสายตาตกตะลึง

ในตอนแรกพวกเขาได้รับคำสั่งมาให้มาก่อกวนหลิงตู้ฉิง แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นว่าพวกเขากลายเป็นผู้เกื้อหนุนให้ซะอย่างนั้น?

ในเวลาเดียวกัน หลิงตู้ฉิงนั่งยิ้มกริ่มอยู่บนแท่นหินพร้อมกับค่อย ๆ ดูดพลังของมหาวิถีเต๋าของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์เพื่อมาบ่มเพาะร่างธาตุวารีของเขา

“สามี?” เมื่อเห็นสีหน้าอันผ่อนคลายของหลิงตู้ฉิง เย่ชิงเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะเรียกเขา

หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ไม่มีอะไรหรอก มันเป็นเพราะข้าตั้งใจไว้ว่าจะไม่ดูดซับมหาวิถีเต๋าของพวกเขามากเกินไป ข้าเลยไม่จำเป็นต้องตั้งใจบ่มเพาะอะไรมากมาย”

ในเวลาต่อมา ร่างของหลิงตู้ฉิงก็ค่อย ๆ ปล่อยไอน้ำออกมาจนปกคลุมไปทั่วด้านในบริเวณของค่ายกลกระบี่เหินเมฆาราวกับหมอกยามเช้าที่ปกคลุมยอดเขา

บรรดาคนอื่น ๆ ที่อยู่ในค่ายกลกระบี่เหินเมฆา เมื่อพวกเขาถูกปกคลุมด้วยหมอกสีขาวนี้พวกเขาเองก็รู้สึกได้ว่าหมอกที่โอบล้อมรอบกายพวกเขาอยู่มันกำลังชำระล้างสิ่งสกปรกต่าง ๆ ออกจากร่างของพวกเขาเช่นกัน ซึ่งมันทำให้ร่างกายของพวกเขายิ่งบริสุทธิ์ขึ้นและจะยิ่งส่งผลต่อการไหลเวียนของพลังวิญญาณ และการควบคุมกฎต่าง ๆ ของสวรรค์และโลกให้ง่ายขึ้นตามไปด้วย

เย่ชิงเฉิงหัวเราะ “หากไม่ใช่เพราะว่าข้าต้องรีบกลับไปช่วยพ่อของข้าแล้วล่ะก็ ข้าคงจะขออยู่บ่มเพาะต่อที่นี่อีกสักร้อยปี ที่นี่มันเหมาะแก่การเป็นสถานที่ที่บ่มเพาะดีจริง ๆ”

หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ว่าจะยังไงเราก็ไปช่วยพ่อของเจ้าทันอยู่แล้ว ในตอนนี้เจ้าและคนอื่น ๆ จงทำใจให้สงบและตั้งใจบ่มเพาะไปก่อน เดี๋ยวข้าจะเป็นผู้ควบคุมค่ายกลกระบี่เหินเมฆาดูแลพวกเจ้าทุกคนเอง”

“ถ้างั้นก็ได้สามี ข้าขอบ่มเพาะที่นี่สักพักก็แล้วกัน ข้าแน่ใจว่าหลังจากบ่มเพาะที่นี่เสร็จ มันคงอีกไม่นานที่ข้าจะทะลวงขึ้นไปถึงระดับสวรรค์สามัญได้” เย่ชิงเฉิงหัวเราะ

ตั้งแต่ที่ออกมาจากเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ ในตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของเย่ชิงเฉิงก็ได้พัฒนาขึ้นมาอยู่ที่ขอบเขตนภาระดับ 7 แล้ว ซึ่งที่ผ่านมานางไม่ได้มุ่งเน้นในการเพิ่มระดับการบ่มเพาะของตัวเองเท่าไหร่นัก เพราะนางเอาแต่สนใจการบรรลุวิชามหาจันทราศักดิ์สิทธิ์ และการทำความเข้าใจกับคันฉ่องสวรรค์หยินหยาง

ในตอนนี้เมื่อมีโอกาส นางจึงไม่รอช้าในการเพิ่มระดับการบ่มเพาะของตัวเอง ซึ่งไม่ว่าจะยังไงนางเองก็รู้ตัวดีว่านางคงไปไหนไม่ได้สักพักเพราะสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์คงจะต้องขัดขวางนางอย่างแน่นอน และถึงแม้ว่านางไม่รู้ว่าสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์มีแผนการอะไร แต่ในเมื่อตอนนี้นางมีหลิงตู้ฉิงอยู่ข้างกาย นางจึงไม่ห่วงอะไรมากนัก

ทางด้านของหยุนจื่อรุ่ยและเปียนเฉียวเฉียวก็เดินเข้ามาพูดกับหลิงตู้ฉิงด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “นายท่าน พวกเราขออนุญาตบ่มเพาะเช่นกัน”

เนื่องจากพรสวรรค์ของพวกนางไม่ได้สูงส่งอะไรนัก ดังนั้นพวกนางจึงมีพื้นฐานระดับบ่มเพาะเพียงขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 12 ในตอนที่พวกนางทะลวงขึ้นไปยังขอบเขตรวมแสงดารา

และตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของพวกนางก็อยู่ในขอบเขตนภาระดับ 2

แม้ว่าพวกนางจะรู้ตัวดีว่าพวกนางคงไม่สามารถตามระดับการบ่มเพาะของโม่เอ๋อได้ทัน แต่พวกนางก็หวังไว้ว่าระดับการบ่มเพาะของพวกนางจะไม่ถูกทิ้งห่างมากไปกว่านี้

เมื่อเห็นว่าทุกคนว่าทุกคนต่างเริ่มบ่มเพาะกันอย่างตั้งใจ เสี่ยวเยว่เฟิงและหลงเฉินก็แสดงสีหน้าหดหู่ออกมา

ในตอนนี้พวกเขาอยู่ในระดับหลุดพ้นสามัญ ซึ่งพวกเขายังไม่อาจจะทะลวงระดับมากไปกว่านี้ได้ เพราะถ้าพวกเขาทะลวงระดับสูงขึ้นไปอีก พวกเขาก็จะไม่สามารถเข้าไปในทะเลชางหมางได้เมื่อพวกเขากลับไป ดังนั้นพวกเขาจึงเหลือเพียงทางเลือกเดียวคือการบ่มเพาะเพื่อทำให้รากฐานของตนเองมั่นคงขึ้นแค่เท่านั้น

อีกคนหนึ่งที่ไม่สามารถบ่มเพาะได้เช่นกันก็คือ หมิงยู่

เนื่องจากของนางที่ติดตามหลิงตู้ฉิงมาตอนนี้มันเป็นเพียงแค่ร่างจำแลงที่ถูกสร้างขึ้นจากทะเลโลหิต ซึ่งมันไม่สามารถบ่มเพาะได้

จากนั้นใครที่สามารถบ่มเพาะได้ก็เริ่มบ่มเพาะอย่างตั้งใจ ส่วนใครที่บ่มเพาะไม่ได้ก็นั่งทำสมาธิรออยู่อย่างเงียบ ๆ ภายในค่ายกลกระบี่เหินเมฆา

ทางด้านของบรรดาคนของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าพวกของหลิงตู้ฉิงนั้นออกจะโอหังเกินไปสักหน่อย เนื่องจากพวกของหลิงตู้ฉิงถือวิสาสะเปิดใช้ค่ายกลในสำนักของพวกเขาโดยไม่ขออนุญาตสักคำ และยังบ่มเพาะกันอยู่ข้างในเหมือนทองไม่รู้ร้อน

อันที่จริงไม่ใช่แค่เพียงแต่ศิษย์ทั้งหลายที่คิดแบบนี้ แม้กระทั้งฉีจินเปาและซูชางหมิงก็ยังรู้สึกว่าสิ่งที่พวกของหลิงตู้ฉิงทำมันออกจะแปลก ๆ

ถึงแม้ว่าพวกเขาต้องการจะรั้งกลุ่มของหลิงตู้ฉิงไว้ที่นี่ให้นานที่สุด แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่ากลุ่มของหลิงตู้ฉิงกลับนั่งบ่มเพาะกันอย่างสบายใจเฉิบมันก็ทำให้พวกเขารู้สึกไม่ค่อยจะมีความสุขสักเท่าไหร่

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในเมื่อนี่มันคือความตั้งใจที่พวกเขาต้องการอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงข่มอารมณ์ไม่พอใจของตัวเองเก็บเอาไว้ และเลือกที่จะไม่สนใจไปมองทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนเกาะนั่น

จากนั้นเวลาก็ผ่านไปไวเหมือนโกหก เวลาที่พวกของหลิงตู้ฉิงเก็บตัวบ่มเพาะในค่ายกลกระบี่เหินเมฆาได้ผ่านมาเป็นเวลา 3 ปีแล้ว

ในหนึ่งพันวันที่ผ่านมา หลิงตู้ฉิงดูดซับพลังของมหาวิถีเต๋าของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์มาใช้บ่มเพาะร่างกายของเขาทุกวัน ซึ่งในที่สุดเขาก็บ่มเพาะร่างกายธาตุวารีจนเสร็จสมบูรณ์!