มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 672
สตรีชุดสีม่วงยิ้มอ่อน ๆ “ทุกครั้งเจ้าแดนต่างบอกว่ามีต้นกล้าที่ไม่เลว แต่เหมือนว่าก็ไม่ค่อยเท่าไหร่นี่”

“นั่นไม่ใช่เพราะความต้องการของเจ้าสูงเกินไปหรอกหรือ?” ชายชรารูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงเป่าหนวดเคราของตนเอง

สตรีชุดสีม่วงยิ้มอย่างงดงาม และไม่ได้กล่าวอธิบายอะไร

น้อยมากที่จะมีคนรู้ว่า ในโลกแสงดาวนั้น ดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีการดำรงอยู่ที่ค่อนข้างพิเศษ มิเช่นนั้นจากรากฐานของแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ ก็คงจะไม่ส่งผู้สืบทอดคนหนุ่มสาวที่โดดเด่นที่สุดมาฝึกหาประสบการณ์ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้น จะเปิดหนึ่งครั้งในทุก ๆ สองสามปี แต่ละแดนศักดิ์สิทธิ์จะส่งอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดยี่สิบคนมาที่นี่ และผ่านการคัดเลือกจากผู้แข็งแกร่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เลือกผู้ที่โดดเด่นที่สุดที่มีอยู่จำนวนน้อยนิดออกมาเพื่ออบรมฝึกฝนอย่างเน้นหนัก

อย่างไรก็ตามนับจากที่ผ่านเคราะห์กรรมสมัยโบราณมา มาวันนี้อัจฉริยะในโลกแสงดาวนั้นซบเซาลง โอกาสที่จะพบเห็นอัจฉริยะนั้นมีน้อยลงมาก

บางที่ในสายตาของแต่ละแดนศักดิ์สิทธิ์ เช่นอย่างพวกหวูหยุน กุ่ยโยว และต้าวหวูซิน ทันทีที่เติบโตขึ้นมา ถูกกำหนดแล้วว่าจะต้องกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์อย่างแน่นอน

แต่สำหรับดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์กลับไม่นับอะไร ที่อยากกว่านั้นคือการพัฒนาขึ้นไปอีกก้าว มิเช่นนั้นอย่างมากก็เป็นได้แค่เพียงผู้แข็งแกร่งของโลกแสงดาว ไม่อาจก้าวสู่ระดับสุดยอดผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงได้

“จื่อเยียน ครั้งนี้ไม่เหมือนกับที่ผ่าน ๆ มา มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีชื่อว่าซิงหลิง อายุยี่สิบเจ็ดปี ก็ได้ตระหนักรู้พลังแห่งกฎเป็นที่เรียบร้อย

“ตระหนักรู้พลังแห่งกฎในอายุยี่สิบเจ็ดปี?” เมื่อสตรีชุดสีม่วงได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย “เขาได้ตระหนักรู้กฎอันใดหรือ?”

“กฎคังจิน” ชายชรารูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงกล่าว

“แม่ว่าจะเป็นกฎที่ธรรมดา แต่สามารถตระหนักรู้ได้ในอายุยี่สิบเจ็ดปี ก็นับว่าพรสวรรค์ไม่เลวเลยจริง ๆ” สตรีชุดสีม่วงพยักหน้า จากนั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “ซิงหลิง? หรือว่าจะเป็นทายาทของซิงหวูคง?”

“ถูกต้อง เด็กหนุ่มคนนั้นเป็นทายาทของซิงหวูคงจริง”

“หากเป็นทายาทของซิงหวูคง เช่นนั้นวิถีที่เขาฝึกฝนย่อมจะต้องเป็นกฎที่เกิดจากพลังดาราอย่างแน่นอน แม้ว่าตอนนี้จะก่อให้เกิดเป็นเพียงกฎคังจิน ถ้าหากก่อให้เกิดกฎอื่น ๆ ได้ เช่นนั้นก็เป็นไปได้ว่าจะสามารถปั้นได้ในอนาคต” สตรีชุดสีม่วงพยักหน้า

“ในเมื่อเจ้าเองก็บอกว่าไม่เลว มิสู้ไปดูด้วยกันหน่อยไหม?” ชายชรารูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงกล่าวเชื้อเชิญ

“ได้ เช่นนั้นก็ไปดูกัน หากเป็นอัจฉริยะที่สามารถปั้นได้จริง รอจนเขาบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ก็สามารถแนะนำให้กับด้านบนได้”

ในขณะที่กล่าว สตรีชุดสีม่วงก็ค่อย ๆ ยกมือขาวดั่งยกขึ้น ปริภูมิที่อยู่ด้านหน้าก็ถูกแยกออกทันที นางและชายชรารูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงพากันก้าวเท้าเดินเข้าไป

……

ด้านหน้าหอคอยเทพจิต มีอัจฉริยะหนุ่มสาวรวมตัวกันอยู่สิบกว่าคน มีเพียงไม่กี่คนที่กำลังทะลวงด่านอยู่ที่อื่น ดังนั้นจึงไม่ได้มาที่นี่

ในบรรดาอัจฉริยะหนุ่มสาวทั้งยี่สิบคนที่มาฝึกตนที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เป็นธรรมดาที่จะไม่มีผู้ที่เน้นการฝึกตัวสำนึกวิญญาณ จำนวนมากเช่นนี้ ที่คนพวกนี้มารวมตัวกันอยู่ที่บริเวณใกล้เคียงหอคอยเทพจิตนั้น กลับมีสาเหตุมาจากหลัวซิว

หอคอยเทพจิตมีรูปร่างเรียบง่ายเก่าแก่ แต่ละชั้นล้วนสูงเป็นจั้ง ตึกสูงเก้าชั้นเมื่อรวมกันแล้ว สูงเกือบสิบจั้ง

ในเวลานี้ชั้นหนึ่งของหอคอยเทพจิตได้กะพริบเรืองแสงอ่อน ๆ แสดงให้เห็นว่ามีคนกำลังทะลวงด่านอยู่ด้านใน

ผ่านไปไม่นานนัก เงาร่างของลู่เมิ่งเหยาก็ได้ปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าหอคอยเทพจิต นางทำเสียงอึกอักออกมาหนึ่งครั้ง และก้าวถอยหลังติดต่อกันไปหลายก้าว ใบหน้าซีดเซียวเล็กน้อย

คนที่ทะลวงด่านอยู่ในหอคอยเทพจิตเมื่อสักครู่นั้นก็คือนางนั่นเอง

ลำแสงสายหนึ่งพุ่งลอยออกมาจากชั้นแรกของหอคอยเทพจิต แล้วผสานเข้าไปในป้ายประจำตัวของลู่เมิ่งเหยา

นี่หมายความว่านางทะลวงผ่านชั้นที่หนึ่งได้สำเร็จ และได้รับรางวัลจากการทะลวงผ่านชั้นที่หนึ่งไปได้ ต่อไปถ้าหากมาทะลวงด้านอีกครั้ง สามารถเริ่มจากชั้นที่สองได้เลย

เมื่อเห็นว่านางได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย หลัวซิวก็กำลังจะหยิบเอายาออกมา กลับพบว่าลู่เมิ่งเหยาได้พลิกฝ่ามือเอายาเม็ดหนึ่งออกมาและกลืนลงไปเรียบร้อย ใบหน้าซีดเซียวได้ฟื้นฟูหน่อยแล้ว