ความร้อนรุ่มในใจของหวงฝู่อวี้เดือดพล่านกว่าเดิม ไม่เพียงแต่กอดหลินหันเยียนไว้อย่างแน่น ริมฝีปากก็ขยับขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

 

ในห้องมีเสียงหายใจหอบดังขึ้น พร้อมกับเสียงร้องของหญิงสาวด้วยความเจ็บปวดและความหฤหรรษ์

 

 

เฮ่ออีตัวแข็งทื่อ เสียงนี้ ชัดเจนว่าเป็น… เขาไม่กล้าคิดต่อไปแล้ว รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตายแล้ว

 

 

 

 

หวงฝู่อวี้เพิ่งจะพูดจบ เส้นเลือดบนหน้าผากของท่านอ๋องฉีปูดขึ้นมา เรื่องไร้ยางอายนี้ นึกไม่ถึงว่าจะทำเรื่องไม่ดีในจิ่วโหลว อย่าพูดไปว่าเขาและหลินหันเยียนมีฐานะพิเศษสูงส่งกว่าคนอื่นเลย ถึงแม้เป็นคนธรรมดาทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องถูกคนหัวเราะเยาะ

 

 

หวงฝู่อวี้กลัวจนถอยไปข้างหลัง

 

 

พระชายาฉีตกใจจนพูดไม่ออกแล้ว “นี่ นี่ นี่….”

 

 

สายตาของหวงฝู่ซวิ่นจ้องมองไปรอบๆ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นที่จิ่วโหลว… แต่นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย อย่าพูดถึงเสด็จอาเลย เขาก็รู้สึกถูกตบเข้าที่หน้า

 

 

ท่านอ๋องฉีโกรธ ตะโกนออกไปข้างนอกด้วยความโมโห “ใครก็ได้ มาเอาตัวเจ้าคนไร้ยางอายนี้ออกไปโบยซะ……”

 

 

พระชายาฉีหวนนึกขึ้นมา รีบพูดห้ามปราม “ท่านอ๋อง เรื่องมันเกิดขึ้นมาแล้ว ท่านทำเช่นนี้มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะเพคะ ที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือ เราจะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร ให้คำอธิบายกับครอบครัวของราชเลขาหลินอย่างไร”

 

 

ท่านอ๋องฉีโกรธ แทบอยากจะกระทืบหวงฝู่อวี้ให้ตาย “ยังต้องอธิบายอะไรอีก ข้ามัดเขาและส่งไปยังจวนราชเลขา ปล่อยให้พวกเขาลงโทษ จะเป็นจะตายข้าก็ไม่สนอีกแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดถูกจังหวะ “เสด็จพ่อ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของอวี้เอ๋อร์ น่าจะมีคนเอายาใส่ลงไปในเครื่องดื่ม ส่งผลให้เขาทำเรื่องเช่นนั้นลงไปโดยไม่นึกถึงความถูกผิด”

 

 

แม้ว่าท่านอ๋องฉีจะฟังออกว่าเรื่องนี้มีอะไรแปลกๆ แต่แล้วอย่างไรล่ะ ไม่สามารถประกาศออกไปภายนอกได้ว่าหวงฝู่อวี้โดนวางยา ถึงทำเรื่องที่ไร้ยางอายเช่นนี้ออกมาได้ นั่นไม่ใช่ว่ายิ่งเป็นการตบหน้าจวนอ๋องอย่างนั้นหรือ

 

 

พระชายาฉีถามทันที “เยียนเอ๋อร์ล่ะ”

 

 

หวงฝู่อวี้กระซิบตอบเบาๆ “หลังจากนั้นนางก็หมดแรง สลบไป ข้าพานางกลับมา และให้พักอยู่ในเรือนของข้าแล้ว”

 

 

ท่านอ๋องฉีปวดหัวตุบๆ อดทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว ผลักพระชายาฉีออก พร้อมถีบไปยังร่างของหวงฝู่อวี้ กระทืบแล้วกระทืบอีก ออกแรงกระทืบหนักทุกครั้ง โกรธจนพูดไม่ทันคิด “ไอ้สวะ หากวันนี้ข้าไม่ฆ่าเจ้าให้ตายเสีย ข้าจะเรียกเจ้าว่าบิดา”

 

 

ถ้าไม่ใช่เพราะไม่ถูกกาลเทศะ หวงฝู่ซวิ่นอยากจะหัวเราะออกเสียงเสียให้ได้

 

 

พระชายาฉีถูกผลักเซจนเกือบชนเข้ากับโต๊ะ โชคดีที่ตาและมือของเมิ่งเชี่ยนโยวไวเลยคว้าตัวนางไว้ทัน

 

 

แม้ว่าพระชายาฉีจะทรงตัวได้แล้ว แต่ยังคงตกใจมาก เห็นอ๋องฉีลงมือกับหวงฝู่อวี้อย่างหนัก ต้องรีบมาหยุดไว้อีกครั้ง เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดนางไว้ ส่ายหัวให้นาง ครั้งนี้หวงฝู่อวี้ก่อปัญหาที่ใหญ่เกินตัว ให้ท่านอ๋องฉีสั่งสอนบ้างก็ดี กลัวว่าอีกหน่อยจะจำบทเรียนไม่ได้ ก่อเรื่องใหญ่ซ้ำอีก ถึงตอนนั้นก็จะไม่มีทางช่วยได้แล้วจริงๆ

 

 

หลังจากที่ท่านอ๋องฉีเตะไปนับครั้ง หวงฝู่อี้เซวียนก็ยืนขึ้น ขวางระหว่างเขาและหวงฝู่อวี้ “เสด็จพ่อ อวี้เอ๋อร์ได้รับบทเรียนแล้ว ถ้าท่านกระทืบต่อไปก็จะตายจริงๆ แล้วนะขอรับ”

 

 

“ตายก็ดี ตายแล้วจะได้ไม่ก่อเรื่องให้ข้าอีก” ท่านอ๋องฉีถอนหายใจและตะโกนด้วยความโมโห

 

 

หวงฝู่อวี้ถูกกระทืบจนกองลงไปนอนอยู่บนพื้น ใช้เวลานานมากถึงจะลุกขึ้นมาได้ ยันร่างกายขึ้นคุกเข่าต่อหน้าท่านอ๋องฉี “เป็นความผิดของลูก เสด็จพ่อจะลงโทษอย่างไร ลูกขอยอมรับทั้งหมด”

 

 

ท่านอ๋องฉีโกรธจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง ทำอย่างไรโทสะก็ไม่คลายลง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเห็นเขาจะลงมือกับหวงฝู่อวี้อีก จึงพูดโน้มน้าว “เสด็จพ่อ อวี้เอ๋อร์ก่อเรื่องลงไปแล้ว ถึงท่านจะตีเขาจนตายมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ท่านใจเย็นๆ ก่อน พวกเรามาปรึกษาหาวิธีแก้ปัญหาด้วยกันเถิดขอรับ”

 

 

ท่านอ๋องฉีถอยกลับไปที่เก่าอี้ นั่งลงอย่างแรง “มีวิธีอะไรสามารถแก้ปัญหานี้ได้ มีเพียงแค่ต้องแต่งงานกับคุณหนูหลินเท่านั้น แต่ดูจากนิสัยของสองสามีภรรยาจวนราชเลขาแล้ว พวกเขาจะให้ลูกสาวแต่งเข้ามาง่ายๆ หรือไม่ อีกประการหนึ่งคือ คุณหนูหลินมีคู่หมั้นอยู่แล้ว สามีในอนาคตยังเป็นคนที่มีความสามารถ ต่อไปไม่แน่อาจจะกลายเป็นเสาหลักของราชสำนัก อวี้เอ๋อร์ได้แย่งคนรักไป จะเป็นการเพิ่มศัตรูให้กับจวนอ๋องก็แค่นั้น”

 

 

พระชายาฉีก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งเมื่อครู่ “ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว ถ้าคู่สามีภรรยาราชเลขาหลินไม่อยากให้ข่าวลือในเมืองหลวงยิ่งเลวร้ายลง ไม่ควรขัดขวางไปมากกว่านี้ ที่จริงแล้วสำหรับจวนราชเลขา ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนัก”

 

 

เพิ่งจะพูดเสร็จ มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องนั่งเล่น ต่อจากนั้นเสียงตื่นตระหนกของหัวหน้าพ่อบ้านก็ดังขึ้น “ท่านอ๋อง ราชเลขาหลินและคุณชายหลินพาคนมาที่ประตูแล้วขอรับ”

 

 

สีหน้าของท่านอ๋องฉีดูแย่ยิ่งขึ้น แต่นั่งนิ่งๆ

 

 

สีหน้าของพระชายาฉีเปลี่ยนไปเล็กน้อย มองไปยังท่านอ๋องฉี

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็นั่งนิ่งไม่ขยับ

 

 

พ่อบ้านยังไม่ได้ยินคำสั่ง โค้งตัวไม่กล้าเงยหน้าขึ้น

 

 

สักพัก ท่านอ๋องฉีจึงจะยืนขึ้น หลังจากจ้องไปที่หวงฝู่อวี้ ก้าวเดินไปข้างหน้า เดินมาถึงหน้าประตู หันหน้ากลับมาสั่งหวงฝู้อวี้ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าไปอยู่ในเรือน ถ้าไม่มีคำสั่งของข้าก็ห้ามออกมา”

 

 

พูดจบ จึงเดินออกไป

 

 

พระชายาฉีก็เดินตามไปด้านนอก หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามหลัง

 

 

หวงฝู่ซวิ่นยกก้น อยากตามออกไปดูความตื่นเต้น แต่รู้สึกไม่เหมาะสม นั่งกลับไปอีกครั้ง รอหลังจากคนในห้องทั้งหมดเดินออกไป ยกนิ้วโป้งให้หวงฝู่อวี้ “คุณชายรอง กล้าหาญมาก แม้กระทั่งข้ายังนับถือเลย”

 

 

หวงฝู่อวี้ชำเลืองมองเขา นั่งกองลงบนพื้นด้วยรอยยิ้มเหือดแห้ง ตอนนี้เสด็จพ่อโกรธมากจริงๆ กระทืบจนเขาเจ็บไปหมดทั้งตัว แต่นึกถึงคำพูดก่อนที่ท่านจะออกไป เห็นได้ชัดว่ากำลังปกป้องตัวเอง อดไม่ได้ที่จะยิ้มแห้งๆ ออกมาอีกครั้ง

 

 

หวงฝู่ซวิ่นเห็นสีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ส่ายหัว รู้สึกว่าเขาอาจจะถูกท่านอ๋องฉีตีจนปัญญาอ่อนไปแล้ว ประเดี๋ยวก็ร้องไห้ ประเดี๋ยวก็ยิ้ม

 

 

ทั้งสี่คนมาถึงทางเข้าประตูจวนอ๋อง ราชเลขาหลินและหลินจ้งนำคนหลายสิบคนมา ยืนขวางอยู่ที่ทางเข้าประตูด้วยท่าทางที่ดุดัน

 

 

เห็นหลายคนเดินออกมา ราชเลขาหลินก้าวไปข้างหน้า จ้องคนเหล่านั้นด้วยความโกรธ พูดเสียงดัง “หวงฝู่จิ้ง พวกเจ้ารังแกคนอื่นเกินไปแล้ว รีบเรียกเจ้านั่นออกมา ต่อให้วันนี้จะต้องสละชีวิตพวกเราพ่อลูก ก็จะสู้กับจวนอ๋องฉีให้ตายกันไปข้างหนึ่ง”

 

 

ท่านอ๋องฉีเบะปากเล็กน้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูถูก “หลินฉงเหวิน ระวังคำพูดของเจ้าด้วย อวี้เอ๋อร์เป็นลูกชายของหวงฝู่จิ้ง ถ้าข้าได้ยินเจ้าเรียกเขาเช่นนี้อีกครั้ง ข้าจะตีเจ้าจนต้องกลับเข้าไปในท้องแม่อีกครั้ง”

 

 

ราชเลขาหลินเดือดดาลมากจริงๆ จึงเผลอพูดอะไรไม่คิดออกไปบ้าง ราวกับหญิงปากร้าย ถุยไปยังท่านอ๋องฉี “ไม่ต้องมาขู่ข้าหรอก ข้าไม่ใช่ไก่อ่อน”

 

 

นอกจากกลุ่มราชเลขาหลินแล้ว ก็ไม่มีคนมาดูความตื่นเต้นที่ด้านหน้าประตูจวนอ๋องฉี อย่าพูดเป็นเล่นไป คนหนึ่งชินหวางเพียงองค์เดียวของราชวงศ์ คนหนึ่งเป็นถึงราชเลขา อีกทั้งตอนนี้ทั้งสองคนสถานการณ์ตึงเครียด ดูเหมือนจะสู้กันอย่างดุเดือด หากตอนนี้มาร่วมรับชมความตื่นเต้น เกิดพวกเขาจดจำตัวเองได้ขึ้นมา ไม่โชคร้ายก็บ้าแล้ว เพียงแต่ว่า ดูอยู่ในบ้านตัวเองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง มีบางคนแกล้งทำเป็นกลัว รีบปิดประตูบ้านของตัวเอง ที่จริงแล้วกลับแอบดูผ่านรอยประตู มีบางคนยิ่งกว่านั้น สั่งให้คนในจวนต่อบันไดขึ้นมา ตัวเองปีนขึ้นบนกำแพง เงยหน้ามองเล็กน้อย

 

 

คำพูดของราชเลขาหลินหลุดออกมา สีหน้าของท่านอ๋องฉีก็เคร่งเครียดไม่น้อย โบกมือให้สามคนข้างหลังหยุดลง ตัวเองเดินหน้าไปไม่กี่ก้าวและหยุดลง ชี้ราชเลขาหลิน “หลินฉงเหวิน หากเจ้ามีใจกล้าเช่นนี้ ก็คลานมาสู้กับข้าสักตั้ง ถ้าชนะ จะทำอย่างไรกับอวี้เอ๋อร์ก็แล้วแต่เจ้า ถ้าแพ้ ก็รีบไสหัวไป”

 

 

ราชเลขาหลินไม่ยอมแสดงให้เห็นว่าตนด้อยกว่า เดินไปข้างหน้า “นี่เจ้าเป็นคนพูดเอง ใครผิดคำพูด คนนั้นก็เป็นคนโง่เง่า”

 

 

“อย่าพล่ามให้เสียน้ำเลย เข้ามา”

 

 

ราชเลขาหลินก็เคยเป็นแม่ทัพฝ่ายบู๊มาก่อน แม้ว่าจะเป็นราชเลขามาหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่เคยทิ้งศิลปะการต่อสู้เลย ตอนนี้ชูมือตั้งกำปั้น พุ่งเข้าหาท่านอ๋องฉี

 

 

ท่านอ๋องฉีและราชเลขาหลินเริ่มสู้กันแล้ว นี่ทำให้ผู้คนตื่นเต้นมาก คนที่หลบอยู่หลังประตูก็ไม่หลบต่อไปแล้ว เปิดประตูและเดินออกมาตรงๆ ที่แอบยื่นหัวออกไปก็โผล่ทั้งตัวออกมา ยื่นคอมาดูอย่างโจ่งแจ้ง