บทที่ 645 นับว่าโลกนี้ยังไม่สิ้นคนดี

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 645 นับว่าโลกนี้ยังไม่สิ้นคนดี

“แหม แหม แหม เรื่องต่อสู้มันยากเย็นเสียที่ไหน น่าเสียดายที่พ่อข้าไม่อนุญาตให้สมัครไปออกรบ มิฉะนั้นแล้ว ข้าจะนำกลุ่มคนเศษสวะเหล่านั้นเก็บชัยชนะให้พวกเจ้าดูเอง”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น หลินเป่ยเฉินที่กำลังมีความสุขอยู่กับการดื่มสุรากินอาหาร ก็ยังอดเหลียวหน้าหันไปมองไม่ได้

ในกลุ่มเจ้าหน้าที่หนุ่มเหล่านั้น ผู้ที่พูดถ้อยคำคุยโวออกมามากที่สุด เป็นบุรุษหนุ่มหน้าขาว อายุประมาณ 20 ปี ดวงตาลึกโหล รอบดวงตาดำคล้ำ สีหน้าเต็มไปด้วยความอวดดีหยิ่งผยอง

นี่คือประเภทของคุณชายเศษสวะอย่างที่หลินเป่ยเฉินเคยเป็นในอดีต

ชายหนุ่มผู้นี้มีไฝอยู่บริเวณมุมปาก มือข้างหนึ่งโบกสะบัดพัดจีบ มืออีกข้างโอบกอดหญิงสาวที่กำลังร้องเพลง ดวงตาของเขาเป็นประกายหื่นกามยามจ้องมองวงหน้าของนาง ในเวลาเดียวกันนั้น ปากของเขาก็เอ่ยถ้อยคำดูถูกเหล่านายทหารแดนใต้ไปด้วยไม่หยุดยั้ง…

หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับอย่างปวดหัว

คนประเภทนี้ถ้าอยู่บนโลกมนุษย์ก็เป็นพวกเกรียนคีย์บอร์ด

เป็นพวกขี้แพ้ในโลกแห่งความจริง

นอกจากปากเก่งแล้ว ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เก่งเหมือนปากอีกเลย

เพียงชำเลืองมองแวบเดียว หลินเป่ยเฉินก็มั่นใจแล้วว่ากลุ่มคนโต๊ะนั้นล้วนเป็นเศษขยะไร้ค่า ต่อให้มีโอกาสได้เข้าสู่สนามรบจริงๆ ยังไม่ต้องถึงมือบรรดาชาวทะเลที่เป็นแม่ทัพใหญ่ด้วยซ้ำ แค่เจอนายทหารดาวทะเลผู้มีฝีมือกระบี่เจนจัด ชายหนุ่มกลุ่มนี้ก็คงถูกฆ่าตายง่ายดายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ!

หลินเป่ยเฉินหันกลับมาสนใจที่อาหารและสุราของตนเองต่อไป

แต่บทสนทนาจากโต๊ะข้างๆ นั้นก็ยังลอยมาเข้าหูไม่ได้ขาด

“ได้ข่าวว่าเดี๋ยวจะมีพิธีประหารชีวิตพวกเจ้าหน้าที่จากแดนใต้ด้วยนะ แต่ข้าจำไม่ได้แล้วว่าพิธีประหารจะจัดขึ้นเมื่อไหร่?”

“ถ้าเป็นเรื่องนั้นข้าจำได้ พิธีจะจัดขึ้นบ่ายวันพรุ่งนี้ ในพื้นที่เขตสามของพวกเรานี่แหละ นักโทษประหารมีทั้งหมด 35 คน ล้วนแต่เป็นลูกน้องของฉุยเฮาเฟิงทั้งหมด ได้ข่าวว่าที่แดนใต้ต้องเสียดินแดนให้กับพวกชาวทะเลก็เป็นเพราะฉุยเฮาเฟิงผู้นี้ไร้ความสามารถมากเกินไป เขาไม่สามารถคุ้มครองเมืองหยุนเมิ่งเอาไว้ได้ พวกชาวทะเลมันเลยยึดเป็นฐานที่มั่นสำคัญคอยรุกรานเมืองอื่นๆ เรื่อยมา…”

ได้ยินดังนั้นหัวใจของหลินเป่ยเฉินก็กระตุกวูบ

ข่าวที่เกี่ยวข้องกับฉุยเฮาเฟิงครั้งล่าสุดที่เด็กหนุ่มได้ยินก็คือ ฉุยเฮาเฟิงได้รับการปล่อยตัวจากชาวทะเลและส่งมอบตัวให้แก่เจ้าหน้าที่ของมณฑลเฟิงอวี่ ส่วนเหตุการณ์หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น เป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้

นับตั้งแต่มาถึงนครเจาฮุยเมื่อหลายวันก่อน หลินเป่ยเฉินเคยสั่งให้หวังจงสืบสวนเรื่องนี้ดูแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ความคืบหน้าใดๆ

ปรากฏว่าฉุยเฮาเฟิงมีสภาพกลายเป็นนักโทษประหารไปแล้วหรือ?

“ถ้าอย่างนั้น ทุกอย่างก็เป็นความผิดของฉุยเฮาเฟิงคนนี้แต่เพียงผู้เดียวเลยน่ะสิ”

“คนสารเลวเช่นนี้สมควรตายเป็นร้อยครั้งพันครั้ง”

“มันน่าจะตายไปตั้งนานแล้วนะ ทำไมต้องเก็บเอาไว้จนถึงป่านนี้ด้วย?”

“ข้าได้ยินมาว่าเขามีพื้นเพไม่ธรรมดา น่าจะมีใครสักคนคอยคุ้มครองอยู่นั่นแหละ…”

“ใครมันจะไปกล้าคุ้มครองคนที่ทำให้ประเทศชาติล่มจมถึงขนาดนี้ ไม่กลัวสวรรค์ลงโทษบ้างหรือไร?”

“เฮ้อ หมดเวลาแล้วพวกเรา ได้เวลากลับไปเปิดสำนักงานกันแล้ว รีบไปกันดีกว่า เดี๋ยวจะเข้างานสาย…”

“พวกเรารีบไป”

กลุ่มเจ้าหน้าที่ผู้เมามายเรียกเด็กรับใช้มาคิดเงิน หลังจากนั้นก็ประคองกันเดินออกไป

ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มฉวยโอกาสนี้ล้วงมือเข้าไปลูบคลำถันอวบอัดในอกเสื้อของหญิงสาวผู้มาร้องเพลงขับกล่อม น้ำตาของนางไหลรินลงมาจากดวงตาในขณะที่ชายหนุ่มเดินจากไปพร้อมกับรอยยิ้มสะใจ

ชายชราผมสีเทารีบเดินเข้ามาเช็ดน้ำตาให้หญิงสาวด้วยความรู้สึกผิด ก่อนถอนหายใจและพูดว่า “ทุยเอ๋อร์… นี่เป็นความผิดของบิดาเอง บิดาไร้ความสามารถมากเกินไป…”

หญิงสาวรีบยกมือปาดน้ำตา ฝืนยิ้มตอบว่า “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ท่านพ่อ เมื่อสักครู่ข้าร้องเพลงได้มาหนึ่งเหรียญเงิน ร้องอีกไม่กี่เพลงก็จะมีเงินพอไปซื้อยาให้กับท่านแม่ได้แล้ว ท่านแม่จะต้องหายดีแน่นอน…”

เสียงพูดของนางยังไม่ทันขาดหาย

เคล้ง!

เหรียญทองคำเหรียญหนึ่งก็ถูกโยนลงมาในถาดเงิน ซึ่งอยู่ในมือของหญิงสาว

นางตกใจไม่ใช่น้อย ต้องรีบหันหน้าที่นองน้ำตานั้นมองหาที่มาของเหรียญทองคำ

“ร้องเพลงให้ข้าฟังหน่อยสิ”

ณ โต๊ะอาหารด้านข้าง แขกที่นั่งโต๊ะนี้สั่งสุรามาแล้ว 10 ไห เมื่อลดไหสุราวางกลับลงไปบนโต๊ะ หญิงสาวจึงได้เห็นว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่ง… และเขาก็กำลังส่งยิ้มให้นางอย่างอ่อนหวาน

หญิงสาวถึงกับหน้าแดงขึ้นมาทันที

“คุณชายต้องการฟังเพลงใดหรือเจ้าคะ?”

หญิงสาวไม่รู้เลยว่าเป็นเพราะเหตุใดกัน จิตใจที่ด้านชามานานแล้ว ถึงได้เกิดความหวั่นไหวขึ้นมาตอนนี้

หลังจากคิดหาเหตุผลอยู่นานสองนาน หญิงสาวจึงให้คำตอบกับตัวเองว่ามันคงเป็นเพราะเด็กหนุ่มผู้นี้มีหน้าตาหล่อเหลามากเกินไป มีความสง่างามมากเกินไป และมีดวงตาที่ดูซุกซนมากเกินไปนั่นเอง

เมื่อเด็กหนุ่มไม่ยอมตอบว่าต้องการฟังเพลงใด หญิงสาวจึงคัดเลือกบทเพลงที่ตนเองสามารถร้องได้ไพเราะที่สุดให้เขาฟัง

เมื่อร้องจบแล้ว หญิงสาวเงยหน้ามองไปทางโต๊ะอาหารของเด็กหนุ่มอีกครั้ง และนางก็พบว่าเด็กหนุ่มได้อันตรธานหายไปเรียบร้อย หลงเหลือแต่เพียงไหสุราทั้ง 10 วางตั้งอยู่บนโต๊ะตัวเดิม หญิงสาวรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองได้สูญเสียอะไรบางอย่าง หัวใจของนางพลันว่างเปล่า ไม่ต่างไปจากไหสุราเหล่านั้น

“นับว่าโลกนี้ยังไม่สิ้นคนดี”

ชายชราพูดออกมาอย่างมีความสุข

เหรียญทองคำเหรียญนี้ย่อมแก้ปัญหาให้กับครอบครัวของพวกเขาได้อย่างแน่นอน

อย่างน้อย พวกเขาก็มีเงินมากพอที่จะซื้อยาให้กับมารดาของหญิงสาวแล้ว

หลินเป่ยเฉินเดินออกมาจากโรงเตี๊ยมซิงซิงอย่างอารมณ์ดี

โดยเฉพาะหลังจากที่ให้รางวัลปลอบใจสาวงามไปแล้ว เด็กหนุ่มก็อารมณ์ดีเป็นพิเศษ

บนใบหน้าของสองสาวรับใช้ก็ประดับรอยยิ้มมีความสุขเช่นกัน

พวกนางรู้สึกหลงรักนายท่านของตนเองมากขึ้นในทุกๆ วัน

พวกนางรู้อยู่แล้วว่าหลินเป่ยเฉินเป็นคนดี

เมื่อกลับขึ้นมาอยู่ในห้องโดยสารของรถม้าอีกครั้ง ทุกคนก็ไปถึงจุดหมายปลายทางในอีกไม่กี่อึดใจต่อมา

เด็กหนุ่มเดินไปตามป้ายบอกทางและเข้าสู่เขตสำนักงานฝ่ายบริหารประจำเมือง

แต่ก่อนที่จะเดินเข้าประตูไปนั้น เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่คุ้นหู ตามมาด้วยเสียงดังตุ๊บ แล้วใครบางคนก็ถูกโยนออกมาจากด้านในตึกสำนักงานบริหาร

“โอ๊ย…”

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดนั้นยิ่งคุ้นหูมากกว่าเดิม

หลินเป่ยเฉินหรี่ตามอง