ปาเฮ่อทำได้เพียงมองดูประมุขวิหารหยกวิญญาณเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ เขาคุ้นเคยดีกับแสงพลังวิญญาณสีทองที่ปกคลุมร่างของประมุขวิหารหยกวิญญาณ แต่บัดนี้เขาไม่สามารถใช้มันได้อีกแล้ว เป็นครั้งแรกที่ความกลัวท่วมท้นหัวใจของปาเฮ่อ ท่าทางยโสจองหองหายไปอย่างไม่เหลือร่องรอย ใบหน้าของเขาซีดขาว และเกร็งไปทั้งร่าง
ทันใดนั้น เขาก็หันหน้าไปทางพวกผู้อาวุโสของเก้าอารามที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ไอ้พวกขยะ พวกเจ้าคิดจะถ่างตาดูไอ้สารเลวพวกนี้ทำลายแผนของเรารึไง? อย่าลืมว่าเรื่องนี้เจ้าเหนือหัวท่านมอบให้เก้าอารามของพวกเจ้านะ เป็นพวกเจ้าที่ไร้ความสามารถ ถึงต้องส่งข้ามาอย่างไม่มีทางเลือก ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเรา ลำพังแค่พวกเจ้าคงได้ตายไปหลายร้อยรอบแล้ว!” เมื่อหมดหนทางแล้ว ปาเฮ่อก็คิดจะบอกให้เก้าอารามลงมือ นี่เป็นสิ่งที่เขาเคยดูหมิ่นมากที่สุด
สายตาของพวกผู้อาวุโสเก้าอารามเปลี่ยนไปเล็กน้อย อันที่จริง พวกเขาเกลียดความยโสจองหองของปาเฮ่อมานานแล้ว เหตุผลที่พวกเขาไม่ทำอะไรเลยไม่ใช่เพราะพวกเขาเชื่อมั่นในความสามารถของปาเฮ่อ แต่เป็นเพราะพวกเขาทำใจไม่ได้ที่จะโจมตีพวกจวินอู๋เสีย
ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของพวกเขาคอยประณามพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้พวกเขาไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้
“พวกเจ้ายืนบื้อหาอะไรวะ! ยังไม่ไปฆ่าไอ้สารเลวพวกนี้อีก! ไอ้พวกขยะไร้ประโยชน์!” ปาเฮ่อด่าด้วยความโกรธ novel-lucky
คำด่าทอนั้นช่างระคายหู ความโกรธปรากฏบนใบหน้าของศิษย์เก้าอารามจำนวนมาก
ก่อนหน้านี้ปาเฮ่อเอาแต่พูดว่าพวกเขาเป็นสุนัขรับใช้ของอาณาจักรบน ตอนนี้ขนาดจะร้องขอให้ช่วย ก็ยังทำท่ายโสโอหังอยู่เหมือนเดิม
ผู้อาวุโสคนหนึ่งของวิหารหลิงซวีทำสีหน้าลำบากใจ เขาไม่ได้สนใจเรื่องความเป็นความตายของปาเฮ่อ แต่ถ้าแผนการล้มเหลว เกรงว่าพวกเขาจะไม่สามารถรับความโกรธของอาณาจักรบนได้
“ศิษย์อารามหลิงซวีฟังคำสั่ง” ผู้อาวุโสคนนั้นพูดขึ้นอย่างลำบากใจ แต่ทันทีที่เขาเอ่ยปาก เหล่าศิษย์ของอารามหลิงซวีก็พากันมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
พวกเขาโดนดูถูกถึงขนาดนี้ ในสายตาของปาเฮ่อ พวกเขาไม่ใช่คนด้วยซ้ำ คำก็สุนัข สองคำก็ขยะ คนเช่นนี้ ผู้อาวุโสของพวกเขายังจะให้พวกเขาไปช่วยอีกหรือ?
ผู้อาวุโสคนนั้นหน้าซีดเมื่อถูกเหล่าศิษย์มองด้วยสายตาเหลือเชื่อ ทำไมเขาจะไม่รู้ความคิดของศิษย์พวกนั้น เมื่อเจอกับสายตาตกใจและต่อต้าน คำพูดที่จะตามมาของผู้อาวุโสคนนั้นก็เหมือนจะติดอยู่ในลำคอ เขากำหมัดแน่นราวกับพยายามข่มกลั้นบางอย่าง
“พวกเจ้ายังลังเลอะไรอยู่อีก! ถ้าพวกเราตาย! พวกเจ้าก็อย่าคิดว่าจะรอดไปได้เลย!” ปาเฮ่อตะโกนด้วยความโมโห
ผู้อาวุโสอารามหลิงซวีตกใจ ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปาก ก็มีมือข้างหนึ่งวางลงบนบ่าของเขา มันหยุดการตัดสินใจของเขาที่กำลังจะพูดออกมา เขาหันกลับไปอย่างงุนงง แต่การตัดสินใจในตอนนั้นได้ทำให้เขาเหงื่อตก ความกดดันในใจนั้นเป็นความทุกข์ใจที่ไม่สามารถบรรยายได้
เมื่อหันไปมอง ผู้อาวุโสอารามหลิงซวีก็พบว่าคนที่หยุดเขาไว้คือซูจิ่งเหยียน!
“ผู้อาวุโสซู?”
ซูจิ่งเหยียนมองเขาด้วยแววตาที่บอกให้เขาใจเย็นๆ แต่ผู้อาวุโสคนนั้นไม่เข้าใจ ปาเฮ่อเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ผู้อาวุโสอารามหลิงซวีคนนั้นตัดสินใจจะลงมือแล้ว แต่ซูจิ่งเหยียนขัดจังหวะเขา
“ซูจิ่งเหยียน ไอ้หมาป่าตาขาวเลี้ยงไม่เชื่อง เจ้าคิดจะทำอะไร? เจ้าไม่กลัวว่าอารามหมาป่าสวรรค์จะไม่เหลือแม้แต่ซากแล้วใช่ไหม?” ปาเฮ่อกล่าวอย่างดุร้าย