รุ่นพี่โซยอนจับปกเสื้อของรุ่นพี่อีกงไว้ด้วยมือที่สั่นเทาจนน่าสงสาร ดวงตาของเธอกำลังบวมเป่งขึ้นมาด้วยความรู้สึกมากมายที่โอบล้อมไปทั่ว  

 

 

ในไม่ช้าน้ำตาใสๆ ก็ไหลรินออกมา พร้อมกับเสียงสะอึกสะอื้นของรุ่นพี่โซยอน ในชั่วพริบตารอยยิ้มบนใบหน้าของรุ่นพี่อีกงที่กำลังมองไปที่รุ่นพี่โซยอนก็หายวับไป 

 

 

“อย่าได้ทำตัวเหลวไหลแบบนี้อีกละ” 

 

 

“รุ่นพี่ ช่วยฟังที่ฉันพูดเถอะนะคะ มันไม่ใช่อย่างนั้น…!” 

 

 

“พี่หวังว่าเราจะไม่ต้องมาเจอกันด้วยเรื่องแบบนี้อีกนะ” 

 

 

รุ่นพี่อีกงพูดตัดบทรุ่นพี่โซยอนอย่างเด็ดขาด ก่อนที่จะแกะมือของรุ่นพี่โซยอนที่จับอยู่ที่ปกเสื้อออกพลางยิ้ม แต่ว่ารอยยิ้มนั้นกลับเป็นรอยยิ้มที่แสดงความเป็นศัตรูอย่างชัดเจน ไม่ใช่รอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนเหมือนปกติ รุ่นพี่ดูเด็ดขาดและเยือกยะเย็นเสียจนมือของฉันที่กำลังมองดูสถานการณ์นั้นอยู่สั่นสะท้านไปหมด 

 

 

“งั้นก็ลาก่อนนะ” 

 

 

รุ่นพี่โซยอนยืนเหม่อ พลางลังเลว่าจะวางไม้วางมือไปทางไหนดี รุ่นพี่อีกงตบลงบนไหล่เล็กนั่นเบาๆ ก่อนจะหันหลัง แล้วก้าวมาทางฉันอย่างเนิบๆ  

 

 

คิ้วที่วาดเป็นเส้นตรง ดวงตาสีดำสนิทที่ตกลงมาเล็กน้อย และริมฝีปากที่ปิดเอาไว้แน่น ใบหน้าเย็นชาแบบนั้นของรุ่นพี่ที่ฉันไม่เคยเห็นสักครั้งจนถึงตอนนี้ มันทำให้แม้แต่ฉันเองก็รู้สึกประหลาดใจ 

 

 

ทันใดนั้นรุ่นพี่อีกงก็จับมือฉันเอาไว้ แล้วเริ่มเดินไปยังป้ายรถเมล์ที่อยู่ทางทุ่งหญ้ากว้างโดยไม่หันกลับมามองข้างหลังอีก ฝ่ามือเย็นๆ ของรุ่นพี่ที่สูญเสียไออุ่นไป กำลังจับมือของฉันเอาไว้อย่างแนบแน่น 

 

 

ฉันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามแรงจูงของรุ่นพี่ จนเมื่อมาถึงป้ายรถเมล์ ฉันก็ได้เห็นใบหน้าของรุ่นพี่สักที 

 

 

“…รุ่นพี่คะ” 

 

 

ใบหน้าของรุ่นพี่อีกงที่กะพริบตาทั้งสองข้างอย่างเชื่องช้า และนิ่งเงียบไม่พูดอะไรดูเครียดเป็นพิเศษ ริมฝีปากที่ถูกปิดสนิทจนเหมือนกับว่าจะไม่มีแม้แต่ลมหายใจบางๆ เล็ดลอดออกมา 

 

 

แม้แต่อากาศรอบด้านก็ดูจะเย็นยะเยือกเป็นน้ำแข็งไปด้วย ฉันกลืนน้ำลายลงคอ พลางบิดมือของตัวเองที่ถูกรุ่นพี่จับอยู่เบาๆ 

 

 

“เธอนี่มัน” 

 

 

วินาทีนั้นรุ่นพี่ออกแรงที่กุมมือฉันมากขึ้นอีก ก่อนจะหันหน้ามามองฉันพลางเปิดปากขึ้นเล็กๆ นั่นจึงทำให้ประสาทสัมผัสทั่วทั้งตัวของฉันตื่นขึ้น พร้อมกับความรู้สึกกังวล 

 

 

ฉันสองจิตสองใจก่อนจะพยักหน้าเบาๆ แทนคำตอบ ต่อจากนั้นรุ่นพี่อีกงก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางเอานิ้วมือถูลงบนหน้าผากที่ยับยู่ยี่ 

 

 

“ทำไมถึงไม่บอกพี่” 

 

 

“…เพราะฉันรู้สึกผิดน่ะสิคะ” 

 

 

ฉันรู้สึกทำตัวไม่ถูกกับท่าทางที่ไม่คุ้นตาของรุ่นพี่ จนทำให้ฉันพูดไม่ออกไปชั่วขณะ แต่ในไม่ช้า ฉันก็ก้มหัว แล้วขอโทษรุ่นพี่อย่างตรงไปตรงมา ดูยังไง รุ่นพี่ก็เหมือนจะโกรธมากทีเดียว 

 

 

ก็นั่นเป็นกิ๊บติดผมที่ถึงขนาดสั่งทำเป็นพิเศษ แล้วฉันก็ทำมันหายเพราะความประมาทของตัวเอง ถ้าจะให้พูดตรงๆ ก็ต้องบอกว่าถูกขโมยไปมากกว่า อีกทั้งยังมาซ่อนความผิดเอาไว้จนถึงตอนนี้อีก เป็นใครก็ต้องโกรธทั้งนั้นแหละ 

 

 

“ถึงจะว่าอย่างนั้นอย่างนี้ แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นความผิดของฉันอยู่ดีนี่คะ ที่ไม่ดูแลดีๆ ฉันก็เลยรู้สึกผิดเกินกว่าจะพูดออกไปได้น่ะค่ะ ขอโทษนะคะที่ไม่ได้บอก” 

 

 

“…ฮวีกยอม” 

 

 

ฉันไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้ารุ่นพี่ และได้แต่เอาปลายเท้าเคาะพื้นอยู่อย่างนั้น เสียงอันหนักแน่นของรุ่นพี่ดังลงมาบนหัวของฉัน รุ่นพี่ดึงมือของฉันไป พร้อมกับโค้งตัวลงมาให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกัน เขามองหน้าฉันด้วยใบหน้าเคร่งขรึม หลังจากที่มีท่าทีลังเลสักพัก เขาก็ขยับปากพูดช้าๆ 

 

 

“ที่พี่ถามน่ะ คือทำไมถึงไม่บอกพี่ว่าโซยอนทำแบบนั้นกับเธอต่างหากล่ะ” 

 

 

“…คะ?” 

 

 

“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกใช่ไหม” 

 

 

คำถามที่ดูจริงจังของรุ่นพี่ทำให้ฉันเผลอพยักหน้าเบาๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว รุ่นพี่ทำสีหน้าบึ้งตึง พร้อมขมวดคิ้วเข้าหากัน พลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะยืดตัวตรง 

 

 

“เพราะกลัวว่าจะเป็นการฟ้องงั้นสินะ” 

 

 

“…” 

 

 

“หรือเพราะว่าพี่ดูเหมือนจะไม่เชื่อเธองั้นเหรอ” 

 

 

มันก็ถูกทั้งสองอย่างนั่นแหละ แต่ว่าฉันก็ไม่สามารถตอบอะไรกลับไปได้เลย มันก็จริงที่ฉันโกรธรุ่นพี่โซยอน และเรื่องที่ผ่านมาก็มีแต่เรื่องที่เหลือทน แต่ไม่รู้ทำไมพอเรื่องมันกลายมาเป็นแบบนี้แล้ว ฉันกลับรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา 

 

 

ความจริงที่ว่ารุ่นพี่โซยอนชอบรุ่นพี่อีกงทำให้ฉันรู้สึกหึงขึ้นมา แต่ฉันกลับไม่สามารถลืมใบหน้าของรุ่นพี่โซยอนที่ได้เห็นเมื่อสักครู่ไปได้เลย ฉันจึงได้แต่พยายามสงบจิตสงบใจตัวเองไว้ 

 

 

“…คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ” 

 

 

“…” 

 

 

“พี่ไม่อยากจะให้เธอมาพะว้าพะวงในสถานะของตัวเองเพราะพี่เป็นเหตุน่ะ” 

 

 

หลังจากที่ฉันพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร รุ่นพี่ก็ค่อยๆ ยกกิ๊บติดผมขึ้นมาเสียบลงเบาๆ ที่ผมฉัน ก่อนจะพึมพำออกมา 

 

 

“ไพลินขาวเชียวนะ เจ้านี่น่ะ” 

 

 

“…” 

 

 

“ส่วนสร้อยคอก็เป็นไพลินน้ำเงิน หินประจำเดือนเกิดของเธอไงล่ะ” 

 

 

อ้า มันมีความหมายแบบนั้นเองสินะ ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองรุ่นพี่ด้วยความตกใจ ส่วนรุ่นพี่ที่กำลังอมยิ้มอยู่ก็ดึงแก้มของฉัน พลางกระซิบบอกเบาๆ 

 

 

“คราวหน้าเอาเป็นสีชมพูดีไหม พี่คิดว่าจะหาสีที่ดูเข้ากันน่ะ” 

 

 

“เอ๋?” 

 

 

“ไพลินเป็นอัญมณีที่มีความหมายในเชิงการรักษาด้วยนะ” 

 

 

การรักษางั้นเหรอ… พอมาลองคิดๆ ดูแล้ว ก็เหมือนจะเคยได้ยินเรื่องแบบนั้นผ่านหูมาบ้างเหมือนกันแฮะ ฉันลูบกิ๊บติดผมอย่างงงๆ อยู่ๆ ก็รู้สึกอย่างกับว่าทั่วทั้งร่างกายถูกฆ่าเชื้อด้วยแอลกอฮอล์ขึ้นมาเลยจริงๆ ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าอารมณ์ขมุกขมัวและเดือดพล่านทั้งหมดถูกซัดให้หายไปเหมือนกับกระแสน้ำลง 

 

 

“มันดูเป็นคำที่เหมาะกับเธอดีน่ะ คำว่ารักษาน่ะ” 

 

 

คำที่รุ่นพี่พูดลอยๆ ขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม น้ำเสียงนั้นทำให้ร่างกายของฉันละลายไปหมด คนที่เหมือนกับอัญมณีที่ส่องประกายระยิบระยับราวกับไพลินที่มีพลังของการรักษา บางทีอาจจะเป็นรุ่นพี่ที่เป็นไพลินก็ได้ 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

พวกเรานั่งเป็นวงกลมโดยที่มีเค้กก้อนเล็กๆ อยู่ตรงกลาง ต่างคนต่างถือถ้วยของตัวเอง พลางชนแก้วกันในขณะที่พูดคำว่า ชน ออกมา เพื่อแสดงความยินดีกับการเดบิวต์ในสายโมเดิร์นที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีของรุ่นพี่ 

 

 

จู่ๆ พอได้เห็นทุกๆ คนมารวมตัวกันแบบนี้แล้ว ในใจก็เกิดความรู้สึกจั๊กจี้แปลกๆ ขึ้นมา ถึงจะเพิ่งขึ้นมาเรียนชั้นมัธยมปลาย แต่ฉันก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้มาสนิทกับทั้งซูฮยอนและอีเซแบบนี้ แถมยิ่งไปกว่านั้น ฉันยังได้มาคบกับรุ่นพี่อีกงอีกด้วย 

 

 

“พอมาคิดๆ ดูแล้ว นี่ก็เป็นการรวมตัวกันที่น่าแปลกดีเนอะ” 

 

 

เมื่ออีเซใช้ปลายลิ้นเลียริมฝีปากจนชุ่ม พลางพึมพำออกมา เซจินที่นั่งข้างๆ จึงหัวเราะคิกคัก พลางพูดต่อ 

 

 

“ฉันว่านะ ไม่มีใครรู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นยังไง จะไปมีใครในที่นี้คิดละว่าพวกเราจะมารวมตัวกันแบบนี้” 

 

 

“ฉันน่ะแปลกใจกับคู่เธอที่สุดเลยละ พวกเธอสองคนน่ะ” 

 

 

อีเซจิ้มไปที่เซจินกับซูฮยอน พลางพูดหยอกล้อ ในชั่วพริบตาใบหน้าของทั้งคู่ก็กลายเป็นสีแดงเหมือนกับมันเผา ฉันหัวเราะเบาๆ ในลำคอ พลางแอบจ้องมองดูภาพของสองคนนั้นที่ทำท่าทีเลิ่กลั่ก ขณะที่เกี่ยวนิ้วกันอยู่ใต้โต๊ะ 

 

 

“เออ จริงด้วย พ่อกับแม่ฝากมาแสดงความยินดีด้วยนะ” 

 

 

“…แหม ไม่เห็นต้องขนาดนั้นเลย” 

 

 

“เอาจริงๆ แล้ว พ่อแม่น่ะคัดค้านหัวชนฝาเลยไม่ใช่เหรอ เรื่องที่พี่เปลี่ยนมาเต้นโมเดิร์นน่ะ ที่บอกว่าเหมือนกับตกม้าตายในตอนจบไง” 

 

 

คำพูดของอีเซที่พูดออกมาเหมือนมีนัยยะแอบแฝง ขณะที่นั่งมองจ้องมาจากที่ไกลๆ ทำให้ฉันกำแก้วเครื่องดื่มในมือเอาไว้แน่น พร้อมกับชำเลืองมองดูใบหน้าของรุ่นพี่อีกง  

 

 

ใบหน้าของรุ่นพี่อีกงที่เหมือนจะสับสนอะไรสักอย่าง กลับกลายมาเป็นใบหน้ายิ้มแย้มในทันที ก่อนจะพูดตอบออกมาว่า นั่นสินะ 

 

 

“ก็…ไม่ใช่คำพูดที่ผิดซะทีเดียวนี่คะ บัลเลรีโน่ผู้มีอนาคตที่สดใสในการแข่งขันที่โลซานน์กลับเลิกเต้นคลาสสิกไปซะอย่างงั้น ถ้าฉันเป็นพ่อแม่ของรุ่นพี่ ฉันก็อาจจะทุบรุ่นพี่ไม่ยั้งเลยก็ได้นะคะ” 

 

 

เซจินที่พูดพลางแกล้งกำหมัดขึ้นมาเล่นๆ ทำให้รุ่นพี่อีกงขำเบาๆ พร้อมกับเอนตัวพิงเก้าอี้ ฉันเบนสายตามาที่แก้วเครื่องดื่มในมืออย่างเงียบๆ อากาศที่เริ่มอุ่นขึ้นมานิดๆ ทำให้หยดน้ำที่เกาะอยู่ตรงผิวแก้วเปียกชุ่มไปทั้งฝ่ามือ 

 

 

แต่ว่าต่อให้พยายามคิดแล้วคิดอีกสักเท่าไหร่ ฉันก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกคาใจกับใบหน้าของรุ่นพี่ที่กำลังยิ้มแปลกๆ โดยไม่มีสาเหตุ เมื่อออกแรงนิ้วข้างที่กำลังกำแก้วอยู่ ความชื้นบนแก้วก็ทำให้เกิดเสียงขึ้น 

 

 

ในตอนนั้นเอง รุ่นพี่ที่กำลังนั่งพิงเก้าอี้อยู่โดยไม่พูดอะไร ก็ลุกขึ้นมาช้าๆ แล้วหยิบเสื้อโค้ทที่แขวนอยู่ตรงพนักพิงขึ้นมาสวม พลางถามขึ้น 

 

 

“เครื่องดื่มพอไหม พี่ไปซื้ออีกดีกว่า” 

 

 

“ก็ดีเหมือนกันนะคะ” 

 

 

“โอเค งั้นเดี๋ยวพี่มา” 

 

 

รุ่นพี่ใส่ถุงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ พลางสะบัดมือเบาๆ ฉันรีบหยิบเสื้อโค้ทที่วางเอาไว้อยู่ข้างๆ แล้ววิ่งตามหลังรุ่นพี่ไป 

 

 

“รอด้วยสิคะ รุ่นพี่” 

 

 

“ข้างนอกมันหนาวนะ อยู่นี่แหละ” 

 

 

“แต่ว่า…” 

 

 

“คงจะไม่อยากแยกจากกันแม้แต่วินาทีเดียวละมั้งคะ รุ่นพี่ เชิญเอาตัวยัยคนนี้ไปได้เลยค่ะ” 

 

 

เป็นเซจินที่พูดหยอกออกมา เลยทำให้ฉันหน้าร้อนผ่าวไปหมด รุ่นพี่มองนิ่งมาที่ใบหน้าของฉัน ก่อนจะฉีกยิ้มพลางจับมือของฉัน แล้วดึงเข้ามาไว้ในกระเป๋าเสื้อของตัวเอง 

 

 

“งั้นถือซะว่าไปเดตด้วยแล้วกัน อีกสักพักค่อยกลับมาดีไหม” 

 

 

เสียงอันอ่อนหวานของรุ่นพี่กระซิบลงที่ข้างหูของฉัน ฉันแอบชำเลืองมองใบหน้าของรุ่นพี่ รูปตาที่โค้งมน ริมฝีปากที่วาดเป็นเส้นโค้ง อ้า ตอนนี้มันกลายเป็นรูปยิ้มไปแล้ว ฉันวางมือลงบนหัวใจที่เต้นรัว แล้วจึงยิ้มกว้าง พร้อมกับพยักหน้า 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

ตลอดเวลาที่พวกเราไปซื้อเครื่องดื่มจากซูเปอร์มาร์เก็ตแถวบ้าน แล้วถือเดินกลับมา รุ่นพี่ไม่ปล่อยมือฉันที่ซุกอยู่ในกระเป๋าเลยแม้แต่ครั้งเดียว ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าร่างกายพวกเราเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกันทำให้ฝ่ามือที่แนบชิดอยู่รู้สึกจั๊กจี้ ในขณะที่ฉันเกร็งนิ้วเพื่อจับมือของรุ่นพี่เอาไว้แน่น ฉันก็เงยหน้าขึ้นไปมองดูท้องฟ้ามืดมิดยามค่ำคืน 

 

 

อากาศในคืนกลางฤดูหนาวให้ความรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษ ราวกับท้องฟ้าที่สดใสหลังจากผ่านเมฆฝน ฟู่ว พอฉันเป่าลมหายใจที่อัดแน่นอยู่ข้างในปากออกมา ไอที่ออกจากปากก็เป็นเหมือนกับหมอกสีขาวๆ  

 

 

ในชั่วขณะนั้นอากาศที่ไหลขึ้นมาตามหลอดลมก็เหมือนจะมีเสียงของน้ำแข็งเกาะ ฉันสูดกลิ่นเฉพาะตัวของคืนในฤดูหนาวที่ทำให้ปลายจมูกรู้สึกคันเข้าไปจนเต็มปอด 

 

 

“ฮวีกยอม” 

 

 

จู่ๆ ริมฝีปากของรุ่นพี่ก็เรียกชื่อของฉันขึ้นมา ก่อนจะปิดสนิทลงไปอีกครั้ง เป็นเพราะอากาศหนาวๆ หรือเปล่านะ เลยทำให้หน้าของรุ่นพี่แดงเป็นพิเศษ 

 

 

“ฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ที่อคาเดมี่จะมีงานแสดงประจำฤดูน่ะ” 

 

 

“อ๊ะ ค่ะ ฉันเคยได้ยินเหมือนกันค่ะ” 

 

 

“พี่คิดว่าจะลงสมัครด้วยน่ะ ในสาขาคลาสสิก” 

 

 

“จริงเหรอคะ” 

 

 

คำพูดที่คาดไม่ถึงของรุ่นพี่ทำให้ฉันตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ทั้งที่ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เห็นรุ่นพี่เต้นคลาสสิกอีกครั้ง ทั้งที่คิดว่างานแสดงตอนฤดูใบไม้ร่วงจะเป็นครั้งสุดท้ายแท้ๆ อยู่ดีๆ หัวใจของฉันก็เต้นแรงและจั๊กจี้ขึ้นมา อย่างกับลูกรักบี้ที่กระเด็นกระดอนไปทั่วทุกทิศ 

 

 

“อือ หัวหน้าคณะมาถามน่ะ ว่าไม่รู้สึกเสียดายเหรอ ที่จบลงด้วยงานแสดงของโรงเรียน แล้วเขาก็เสนอให้พี่ลองมาเต้นคลาสสิกอีกครั้งดู ให้คิดว่ามันเป็นเวทีสุดท้ายน่ะ พี่ก็เลยตกลงน่ะ” 

 

 

“อ๋อ…” 

 

 

ดูท่าความรู้สึกดีใจนี้คงจะไม่สามารถแอบซ่อนเอาไว้ได้ง่ายๆ ฉันเอาฝ่ามือมาปิดปากที่ไม่ยอมหุบลงไป พลางบิดเท้าไปมาอย่างไม่รู้ตัว พอคิดว่าในครั้งนี้ละ ฉันจะได้นั่งดูเวทีสุดท้ายของรุ่นพี่ตรงกลางที่นั่งผู้ชมจริงๆ จังๆ สักที มันก็ทำให้ร่างกายสั่นสะท้านไปหมด 

 

 

“สงสัยคงต้องไปประจบอาจารย์เพื่อขอที่นั่งดีๆ แล้วสินะคะ ถ้าอยากจะชื่นชมอย่างเต็มที่น่ะ” 

 

 

“อืม ทำแบบนั้นไม่ได้สิ” 

 

 

“…เอ๋?” 

 

 

ฉันมองหน้ารุ่นพี่อย่างมึนงง รุ่นพี่เองก็กำลังจ้องมองมาที่ฉันด้วยสีหน้าประหลาด ก้าวเดินที่เชื่องช้าของรุ่นพี่จู่ๆ ก็หยุดลง 

 

 

“จำได้ไหม เมื่อตอนนั้นที่เราเคยสัญญากันไว้ที่ทะเล ว่าถ้าผลลัพธ์ของการแข่งขันออกมาดี เธอจะฟังคำขอของพี่” 

 

 

“…ค่ะ” 

 

 

รุ่นพี่ที่มองหน้าฉันอย่างไม่วางตา ดูจริงจังพิลึก นั่นเลยทำให้ตัวของฉันแข็งทื่อไปด้วยความกังวล ขณะที่กลืนน้ำลาย ฉันก็ทำได้เพียงแต่รอคำพูดคำถัดไปของรุ่นพี่ 

 

 

“คำขอนั้น พี่จะขอพูดตอนนี้เลยแล้วกันนะ” 

 

 

“…” 

 

 

“เวทีคลาสสิกครั้งสุดท้ายของพี่ จะไม่ใช่โซโล่ แต่เป็นการแสดงปาเดอเดอน่ะ” 

 

 

ในชั่วพริบตา ก็เหมือนกับว่ามีเสียง ตึง ดังลงมากลางใจฉัน หรือว่า หรือว่า… เลือดทั่วทั้งตัวเหมือนจะพลุ่งพล่านขึ้นมาบนแก้มที่เย็นยะเยือก 

 

 

“ดังนั้น…” 

 

 

รุ่นพี่หยุดพูดไปสักพัก พร้อมกับลูกกระเดือกกลมๆ ที่สั่นเบาๆ อ๊ะ คำอุทานหลุดออกมาจากปากของฉันอย่างกลั้นไม่อยู่ ฉันจึงรีบปิดปากที่อ้าอยู่ด้วยฝ่ามือ หรือว่า หรือว่า… 

 

 

“เธอช่วยเป็นพาร์ทเนอร์ของพี่หน่อยจะได้ไหม” 

 

 

ราวกับกระแสไฟมันวิ่งไปทั่วร่าง หัวใจมันเต้นโครมครามจนเหมือนกับจะระเบิดออกมาซะเดี๋ยวนี้ มือที่ถูกรุ่นพี่จับอยู่กำลังสั่นไหวเหมือนกับต้นไผ่ที่ลู่ลม 

 

 

“ไม่ได้งั้นเหรอ” 

 

 

รุ่นพี่โค้งตัวลงมาอยู่ในระดับสายตาเดียวกันกับฉัน ก่อนจะลูบหัวฉันแล้วยิ้มเล็กๆ ฉันที่เอาแต่เหม่อมองใบหน้าของรุ่นพี่ด้วยใบหน้าเอ๋อๆ ปิดปากไว้สนิท พร้อมกับส่ายหัวอย่างแรง 

 

 

“ไม่มีทาง ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นแน่นอนค่ะ! เพราะฉันดีใจ ดีใจสุดๆ จน…” 

 

 

ท้ายที่สุด เพราะความรู้สึกที่เอ่อล้นขึ้นมาจนทำให้ฉันไม่อาจพูดต่อไปได้ จึงทำให้ฉันโผเข้ากอดรุ่นพี่แทน เสียงหัวเราะในลำคอของรุ่นพี่ทำให้หูรู้สึกจั๊กจี้ไปหมด 

 

 

“โลซานน์ก็พยายามเข้านะ ไปถึงรอบสุดท้ายที่สวิตให้ได้ละ แล้วค่อยกลับมาเต้นปาเดอเดอกับพี่” 

 

 

ฉันพยักหน้าอย่างเต็มที่แทนคำตอบ พลางกอดคอของรุ่นพี่ให้แรงยิ่งขึ้น ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้ามันกำลังสั่นสะท้านไปหมด รุ่นพี่โอบเอวของฉันไว้ด้วยแขนเพียงข้างเดียว พลางตบหลังฉันเบาๆ ด้วยมืออีกข้าง 

 

 

นี่เป็นความใฝ่ฝันที่ฉันโอบกอดมันเอาไว้มานานแค่ไหนกันนะ การที่ได้เต้นปาเดอเดอกับรุ่นพี่อีกง การได้เป็นพาร์ทเนอร์ของรุ่นพี่ ฉันกลั้นน้ำตาที่เหมือนจะพรั่งพรูออกมาเอาไว้อย่างยากลำบาก ขณะที่เอาหน้าซุกไปที่ต้นคอของรุ่นพี่ แก้มเย็นๆ ของฉันกำลังค่อยๆ ละลายลงไปทีละนิดเพราะอุณหภูมิจากรุ่นพี่ที่ส่งผ่านมา