ตอนที่ 604 คนโง่ก็มีวาสนาของคนโง่ + ตอนที่ 605 สิ่งกังวลใจของเหยียนซินหย่า

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

ตอนที่ 604 คนโง่ก็มีวาสนาของคนโง่ + ตอนที่ 605 สิ่งกังวลใจของเหยียนซินหย่า โดย Ink Stone_Romance

ตอนที่  604 คนโง่ก็มีวาสนาของคนโง่

เหมยเหมยที่มีสีหน้ามั่นอกมั่นใจทำเอาพวกจ้าวอิงหัวหัวเราะร่วน จ้าวเสวียหลินแสร้งพูดหยอกเย้าว่า “เหมยเหมย เธอหาดาบวิเศษให้พี่สักเล่มได้มั้ย? เอาแบบดาบในตำนานกั้นเจี้ยงกับโม่เซี๋ยเลยนะ!”

เหยียนซินหย่าดุลูกชายขำๆ ไปที ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ คิดว่าของโบราณอย่างนั้นมันวางขายกันตามห้างสรรพสินค้าหรืออย่างไร คิดอยากได้ก็ได้น่ะ!

ตอนมีชีวิตอยู่คุณพ่อเคยบอกว่า  การตามหาขุมทรัพย์ไม่ได้อาศัยเพียงโชคเท่านั้น แต่ยังต้องมีบุญวาสนาด้วย ความหมายที่ว่าก็คือหากมีวาสนาต่อกันถึงจะมีโอกาสพบเจอ หากไร้ซึ่งวาสนาก็คงคลาดแคล้วต่อกัน

เหมยเหมยคิดๆ แล้วก็ตอบกลับว่า “หาอย่างกั้นเจี้ยงโม่เซี๋ยไม่ได้หรอก แต่ดาบวิเศษแบบอื่นๆ หนูพอช่วยพี่หาได้ หนูเคยช่วยพี่หมิงซุ่นหาเจอเล่มหนึ่ง ตัดท่อนไม้ได้เหมือนหั่นเต้าหู้เลย คมมาก!”

เดิมทีจ้าวเสวียหลินแค่พูดเล่น เขาดีใจมากอยู่แล้วถ้าน้องสาวจะให้ของขวัญเขาได้ ไม่ว่าจะของอะไรก็ตาม แต่ตอนนี้ได้ยินว่าเหมยเหมยเคยให้ดาบวิเศษกับเหยียนหมิงซุ่น จ้าวเสวียหลินเริ่มรู้สึกน้อยใจขึ้นมาตงิดๆ

“เหมยเหมยดีกับเหยียนหมิงซุ่นมากกว่าดีกับพี่เสียอีก ให้ดาบวิเศษเขาแต่พี่ให้แค่เหรียญกษาปณ์” จ้าวเสวียหลินทำหน้าโศกเศร้าเสียใจ

“ตอนนั้นหนูยังไม่รู้จักพี่นี่นา ต่อให้หนูอยากให้พี่ พี่จะเอามันได้เหรอ?” เหมยเหมยกรอกตามองบ่นส่งไปให้ เรื่องแค่นี้ก็ต้องมาหึงหวง ช่างเป็นเด็กน้อยเสียจริง

จ้าวอิงหัวกลับรู้สึกแปลกใจว่าทำไมลูกสาวถึงตามหาขุมทรัพย์ได้ง่ายยิ่งกว่าซื้อผักตามตลาด?

แม้เขาไม่รู้เรื่องพวกนี้แต่ก็รู้ว่าการตามหาของเก่าแก่โบราณสักชิ้นไม่ง่ายขนาดนั้น ต้องใช้แววตาที่เฉียบคม บางคนที่ทำงานสายนี้มาหลายสิบปียังมีจังหวะที่มองพลาดได้เลย !

เหมยเหมยเป็นแค่เด็กสาววัยสิบสามปีเท่านั้น ต่อให้เริ่มเรียนรู้ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่แต่ก็ไม่รับประกันว่าตัวเองจะไม่พลาดนี่นา!

“เหมยเหมย เรื่องพวกนี้ใครเป็นสอนลูกเหรอ?” เหยียนซินหย่าเองก็สงสัยเช่นกัน

“เอ่อ…พี่หมิงซุ่นสอนหนูมาบ้าง แล้วพี่หมิงซุ่นยังบอกว่าหนูเป็นคนโชคดี ปกติเห็นอะไรถูกตาต้องใจก็เป็นของดีทั้งนั้น”

เหมยเหมยพูดเข้าข้างตัวเองอย่างใจฝ่อ เธอเพิ่งคิดได้เมื่อสักครู่  การหาของโบราณยังต้องทำต่อในอนาคตอีกแน่นอน ย่อมไม่มีทางปิดบังพวกจ้าวอิงหัวได้รอด ถ้าอย่างนั้นเธอต้องหาข้ออ้างให้ตัวเองสักหน่อยจะดีกว่า!

เธอเห็นท่าทีชะงักงันของพวกจ้าวอิงหัว ยังคิดอยู่ว่าพวกเขาคงไม่เชื่อเลยพูดย้ำไปอีกว่า “หนูไม่ได้โกหกนะคะ หนูไปเดินหาของเก่าที่ถนนหนานสุ่ยหลายครั้งล้วนเป็นของแท้ทั้งนั้น พี่หมิงซุ่นบอกว่าหนูเป็นคนโง่ที่มีวาสนาของคนโง่ ฮิฮิ!”

เหยียนซินหย่าแอบตกใจหน่อยๆ เธอไม่ได้นึกสงสัยในคำพูดของลูกสาวเพราะอดีตคุณพ่อเธอเคยพูดไว้ว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่มีพรสวรรค์ ขึ้นอยู่กับว่าบางคนมีมากมีน้อยต่างกันไป ท่านอยู่ในประเภทที่มีมากถึงได้ประสบความสำเร็จในแวดวงนี้พอสมควร

คุณพ่อยังเคยพูดไว้ว่ายังมีคนอีกประเภทที่อยู่ในกลุ่มคนที่มีพรสวรรค์สูง เด็กพวกนี้เป็นลูกรักของเบื้องบน ทำอะไรก็ไม่เสียแรงเปล่า ปีนป่ายสู่จุดสูงสุดของชีวิตได้สบายๆ มันช่างน่าอิจฉาเหลือเกิน!

เหมยเหมยมีพรสวรรค์ด้านการเต้นรำ เช่นเดียวกับการวาดรูป ตอนนี้การหาของล้ำค่าเองก็เช่นกัน…

หรือว่าลูกสาวเธอเป็นคนประเภทสุดท้ายที่คุณพ่อเธอเคยบอกไว้?

เหยียนซินหย่าโอบกอดลูกสาวที่โห่ร้องดีใจอย่างลืมตัว กำชับด้วยเสียงเบาว่า “เหมยเหมยทีหลังอย่าไปบอกใครเรื่องนี้นะ แค่ให้พ่อแม่กับพี่รู้ก็พอ ได้มั้ย?”

“หนูรู้ค่ะ หนูไม่เคยบอกคนอื่น คนพวกนั้นขี้อิจฉา พี่หมิงซุ่นบอกว่าต้องถ่อมตัวถึงจะรวย!”

“ถูกต้อง ถ่อมตัวถึงจะรวย เหมยเหมยพูดถูก!” จ้าวอิงหัวชมไม่หยุดปาก ลูกสาวรู้ความแล้วจริงๆ

เพียงแต่–

“พี่หมิงซุ่นเป็นคนพูดไม่ใช่หนู” เหมยเหมยแก้

จ้าวอิงหัวจุกอก ลูกสาวพูดถึงแต่พี่หมิงซุ่นไม่หยุดปาก  ทำไมฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจนักนะ!

………………………..

ตอนที่  605 สิ่งกังวลใจของเหยียนซินหย่า

สองสามีภรรยาจ้าวอิงหัวยังคงไม่วางใจ กำชับเธอว่าอย่าไปบอกใครพร่ำเพรื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมยเหมยฟังจนเบื่อหน่ายแสร้งทำเป็นหาวขอตัวกลับไปนอนที่ห้อง อ้างว่ายังมีเรียนในวันพรุ่งนี้!

ส่วนโฉนดบ้านถูกเหยียนซินหย่าริบไปเสียแล้วหาว่าเด็กเล็กเก็บจะหายง่าย ให้เธอเก็บไว้เผื่ออนาคตเหมยเหมยแต่งงานออกไปแล้วเอาไว้เป็นสมบัติของเธอ

เหมยเหมยคิดในใจว่าโชคดีที่เธอไม่ได้เอาเงินห้าร้อยหยวนออกมาอวด ไม่อย่างนั้นเหยียนซินหย่าจะต้องริบเงินเธอไปโดยหาว่าเธอเป็นเด็กน้อยจะทำเงินตกหายง่ายอีกแน่ๆ แม้เธอเชื่อว่าเหยียนซินหย่าไม่ใช่อย่างเหอปี้อวิ๋น ต้องช่วยเธอเก็บออมเงินแน่ๆ แต่เงินต้องเก็บอยู่กับตัวเองถึงจะสบายใจนี่นา!

เธอนั้นนอนหลับสบายกรนดังคร่อกฟี้อยู่ในห้อง แต่จ้าวอิงหัวกับเหยียนซินหย่ากลับนอนพลิกตัวไปมาไม่หยุดเพราะความเป็นห่วงลูกสาว

“อิงหัว คุณว่าเหมยเหมยของเรามีพรสวรรค์เกินไป เลยทำให้ชะตากรรมชีวิตถึงได้มีอุปสรรคมากมายหรือเปล่า?” เหยียนซินหย่ากล่าวขึ้นพลางถอนหายใจออกมา

ความจริงจ้าวอิงหัวเองก็คิดเหมือนกัน ว่ากันว่าคนหน้าตาดีมักชีวิตสั้น ลูกสาวของเธองดงามขนาดนี้แถมยังเฉลียวฉลาด เขาเป็นห่วงจริงๆ นะ แต่เขาจะแสดงออกมาต่อหน้าภรรยาไม่ได้

“คุณน่ะชอบคิดมาก ลูกของเราพรสวรรค์ก็ดีสิ หรือว่าคุณหวังอยากให้เหมยเหมยโง่เหมือนหมูหรือไง? ตอนนี้เหมยเหมยกลับบ้านแล้ว มีผมคอยปกป้องอยู่ ใครจะกล้ารังแกลูกสาวผมอีก?”

จ้าวอิงหัวแสดงท่าทีน่าเกรงขามออกมาเช่นนั้น ทำให้เหยียนซินหย่าสบายใจชั่วขณะ พลันรู้สึกว่าคิดมากไปเองอย่างที่ว่าจริงๆ!

“นั่นสิ ฉันได้ยินมู่มู่บอกว่าเหมยเหมยไม่เก่งเรื่องเรียนเท่าไหร่ เมื่อก่อนสอบได้คะแนนหลักเดียวตลอด เหมยเหมยน่าจะมีพรสวรรค์ด้านศิลปะ ส่วนเรื่องวิชาการคงไม่เท่าไหร่”

เหยียนซินหย่าถอนหายใจดังเฮือกออกมา หนังสือยังเรียนเก่งเลย จะมีพรสวรรค์ได้อย่างไรเล่า!

จ้าวอิงหัวพูดกลั้วหัวเราะขึ้นว่า “เหมยเหมยเหมือนคุณไง เมื่อก่อนคุณยังเคยสอบได้ศูนย์คะแนนเลย!”

เหยียนซินหย่าสบถออกมาว่า  “คราวหลังถ้าคุณพูดเรื่องนี้ต่อหน้าลูก คุณโดนแน่!”

……

เช้าวันรุ่งขึ้นเหมยเหมยทานอาหารเช้าฝีมือเหยียนซินหย่าที่เต็มไปด้วยความรัก  จากนั้นไปโรงเรียนพร้อมกับจ้าวเสวียหลิน จ้าวเสวียหลินย้ายมาเรียนระดับมัยธมต้นปีที่สามของโรงเรียนสาธิตแห่งหนึ่ง เทอมหน้าสามารถเข้าเรียนระดับชั้นมัธยมปลายได้แล้ว

จ้าวเสวียหลินปั่นจักรยานโดยมีเธอซ้อนอยู่ข้างหลัง ชุมชนเขตเทศบาลอยู่ห่างจากโรงเรียนสาธิตหากเดินทางโดยรถใช้เวลาราวสิบถึงสิบห้านาที จ้าวเสวียหลินปั่นจักรยานเร็ว  ตอนมาถึงโรงเรียนคนยังมาน้อยอยู่ จ้าวเสวียหลินส่งน้องสาวเข้าห้องเรียนเสร็จถึงกลับไปที่ห้องเรียนของเขา

อู่เชามาถึงโรงเรียนแต่เช้า เขาเห็นเหมยเหมยก็เบ้ปากไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี!

ช่วงนี้ที่บ้านเกิดเรื่องขึ้นมากมาย วันตรุษจีนถือว่าฉลองไม่ค่อยรื่นรมย์เท่าไรนัก บ้านเขานับว่ายังพอสงบสุขบ้างนอกเสียจากคุณพ่อที่วันๆ เอาแต่ถอนหายใจอยู่บ้าน อาศัยน้ำเมาแก้เครียด เรื่องอื่นไม่มีปัญหาอะไรมาก

สิ่งที่ทำให้เขาไม่มีความสุขมากที่สุดคือคุณปู่คุณย่า พวกท่านอายุมากขนาดนั้นแล้วยังต้องมาเดือดร้อนด้วย ต้องย้ายออกจากบ้านที่อาศัยมาหลายสิบปี ถูกผู้คนชี้นิ้วตำหนิ อู่เชาเองก็สงสารพวกท่านเหลือเกิน

แต่เขารู้ว่าตระกูลจ้าวถือว่าประนีประนอมบ้างแล้ว คุณแม่เป็นคนบอกเอง แถมยังบอกอีกว่าให้เขาเป็นเพื่อนกับเหมยเหมยต่อไป เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้แม่กำชับเขาก็ต้องเป็นเพื่อนกับเหมยเหมยอยู่แล้ว

แต่เขารู้สึกแย่จริงๆ บทบาทที่ถูกพลิกเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันทำให้เขาไม่รู้จะทำตัวอย่างไรกับเหมยเหมยขึ้นมาเสียดื้อๆ!

…………………….