Ch.73 – วิถีแห่งปัญญา

Translator : Reheikichi / Author

มิเซ่ที่อยู่ด้านหน้าของผม ไม่รู้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น

ขนาดผมเองก็ยัง―――― ไม่รู้ ทำไมคนขององค์กรถึงพยายามฆ่ามิเซ่?

เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องถาม

 

[ ช่วยมาที่ห้องประชุมที่ปราสาทอีกครั้งได้มั้ย? ]

[ ไม่ คุยมันผ่านกระดาษสื่อสารนี่ล่ะ ผมไม่อยากอยู่ห่างกับมิเซ่ ]

[ …เข้าใจล่ะ ถ้างั้นหลังจากพาเจ้าหญิงกลับไปที่หอพัก  ฉันจะไปพบ ]

 

จากนั้นคริสก็ตัดการเชื่อมต่อ

 

[ จะไปส่งที่หอพัก แล้วหลังจากนั้นห้ามออกไปไหนเด็ดขาดนะ ]

[ ค ค่ะ… ]

 

ผมยื่นมือไปให้มิเซ่เพื่อให้เธอยืน

ศพชายคนหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่แทบเท้า ที่มันกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะองค์กรไม่ยอมบอกข้อมูลกับผม ไม่จำเป็นต้องรู้สึกรับผิดชอบ งานเก็บกวาดค่อยปล่อยให้องค์กรจัดการ

 

เมื่อส่งเธอที่ดูโซเซไปที่หอพักหญิงและยืนยันว่าไฟในห้องของเธอสว่างขึ้นมา

ผมก็ทิ้งตัวลงใส่กำแพงข้างหอพักหญิงและรอสักพัก คริสในชุดทหารสีดำก็เดินมา

 

[ ขอโทษที่ให้รอ… เอ้า ของนาย ]

 

คิดว่าน่าจะซื้อมาจากร้านขายของข้างทาง คริสยื่นเครื่องดื่มจากมือหนึ่งมาให้ผม

 

[ ปกติจะไม่ซื้ออะไรแบบนี้มาให้นี่ ]

[ ฉันรู้ แต่เรื่องมันยาว… ถ้าดื่มอะไรสักหน่อยอาจจะทำให้นายหายสงสัยฉันขึ้นบ้าง ]

 

คริสพูดขณะที่สายตาต่ำลง

ผมรับเครื่องดื่มและจ้องมองไปยังคริส

 

[ ขอคำอธิบายแบบรวดรัด ]

[ …อา ]

 

ไม่ได้อยากให้รั่วไหลไปยังบุคคลที่สาม แต่ผมแค่อยากให้ความสำคัญกับการคุ้มกันมิเซ่ด้วย

เราไม่ได้เคลื่อนย้ายจากหอพักหญิง คริสจึงเริ่มอธิบายกับผมโดยระวังผู้คนที่สัญจรไปมา

 

[ อย่างที่นายคาดเดานั้นแหละ ผู้จ้างวานครั้งนี้คือราชาคนปัจจุบันของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์อัลเคเดีย… ราชาเรเทน อัลเดเดีย ]

 

พูดสั้นๆ ผู้จ้างวานคือพ่อของมิเซ่

คาดไว้แล้วล่ะ ถึงได้ไม่ถามอะไร

 

[ และเบื้องหลังการจ้างวานนี้… เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ลับที่ถูกถ่ายทอดมาในเชื้อพระวงศ์อัลเคเดีย《วิถีแห่งปัญญา》]

 

ข้อมูลที่ผมไม่รู้ถูกบอกจากปากคริส

เป็นข้อมูลที่ไม่รู้จนถึงตอนนี้ คริสสงบใจลงและบอกข้อมูลออกมาอีก

 

[ ตามที่ท่านราชาบอก 《วิถีแห่งปัญญา》จะถูกสืบทอดในหญิงสาวของเชื้อพระวงศ์อัลเคเดียมาหลายชั่วอายุคน หากเจ้าของผู้ครอบครอง《วิถีแห่งปัญญา》คลอดลูกสาว ลูกสาวก็จะรับช่วงต่อไป หากผู้ครอบครองตายโดยยังไม่มีลูกสาวก็จะถูกส่งต่อไปยังหญิงสาวของเชื้อพระวงศ์คนอื่น … และตอนนี้ผู้ครอบครอง《วิถีแห่งปัญญา》ก็คือเจ้าหญิงมิเชเลีย ]

[ …แล้วเจ้าเวทมนตร์ลับนี่มันมีผลยังไง ]

[ ผลของ 《วิถีแห่งปัญญา》คือการสืบทอดความทรงจำ… สืบทอดความทรงจำจากเจ้าของคนอื่นเรื่อยมา ]

 

คำอธิบายนี้ทำให้ทุกอย่างกระจ่างชัดขึ้น

ทั้งที่เธอสามารถทำโพชั่นระดับ 2 ได้ในชั่วโมงเภสัชเวท

บอกว่ารู้จักกับโกเลมที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยสงครามผู้กล้าครั้งที่ 2

แถมยังรู้จักกับภูมิประเทศของเขาวงกต ‘วังวนสุสานกษัตริย์’

ทั้งหมดเป็นเพราะมีความทรงจำของคนอื่นในหัวของมิเซ่

 

[ การสืบทอดความทรงจำมันมีพลังขนาดไหน… เข้าใจใช่มั้ย? ]

[ …อา ]

 

ผมยืนยันพร้อมกับเสียงถอนหายใจ

สถานการณ์ของมิเซ่ดูเหมือนจะหนักกว่าที่คิดไว้

 

[              ความรู้ที่ถูกบรรจุเข้ามาทั้งยังใช้ตีความเทคโนโลยีได้ แม้ว่าคนในรุ่นนั้นจะทำไม่ได้… แต่คนรุ่นต่อไปก็อาจจะทำสำเร็จ ความทรงจำที่สืบทอดแม้จะสิ้นชีวิตไปแล้ว ยิ่งเวลาผ่านไป… ยิ่งมีรุ่นที่สืบทอดความทรงจำมามากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความรู้เพิ่มพูนขึ้นเท่านั้น… พูดให้ถูกก็เหมือนเป็นคนๆ เดียวแต่ไม่ต้องเริ่มต้นใหม่อีกทั้งบุคลิกภาพยังไม่ได้ถูกถ่ายทอดมา

ราชวงศ์อัลเคเดียได้ใช้พลังของ《วิถีแห่งปัญญา》เพื่อเพิ่มพูนอำนาจ แต่… ก็มีบางครั้งที่พลังนั้นย้อนมาทำร้ายตัวเอง… เพราะมันเป็นความทรงจำทั้งหมดของราชวงศ์ในอัลเคเดีย จงสืบทอดตั้งแต่ความทรงจำเรื่องเลวๆ ที่ราชวงศ์ทำเอาไว้จนถึงเวทมนตร์โบราณที่สูญหาย พลังของมันมากมายมหาศาลมาก… ราชวงศ์อัลเคเดียเคยมีสงครามกลางเมืองมาแล้วสองครั้งเพราะแย่งชิงบัลลังก์ ผู้ชนะคือฝ่ายที่มีผู้ครอบครอง 《วิถีแห่งปัญญา》ในสงครามการเมืองครั้งแรก ผู้ครอบครอง《วิถีแห่งปัญญา》ได้ทำลายศัตรูด้วยเวทมนตร์โบราณและครั้งที่สองได้ปลุกปั่นประชาชนโดยเปิดโปงความชั่วของอีกฝ่าย ผู้ครอบครอง 《วิถีแห่งปัญญา》ได้ใช้ความรู้อันมากมายคอยช่วยเหลือการเมืองของราชา ราชวงศ์แต่ละฝ่ายจึงต้องการพลังนี้ถึงขนาดยอมทำทุกสิ่ง ]

 

[ …แม้จะบอกว่าเป็นการรวบรวมความทรงจำ แต่มันก็สเกลมันก็ต่างออกไปสินะ ถ้าเป็นความทรงจำของคนในราชวงศ์ ]

 

[              ใช่ … และตอนนี้กำลังจะเกิดสงครามการเมืองครั้งที่สามขึ้นในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์อัลเคเดีย ซึ่งเจ้าชายลำดับที่หนึ่งซึ่งเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์อันดับแรก แต่ในช่วงสงครามใหญ่เจ้าชายลำดับที่หนึ่งต้องออกนอกประเทศในช่วงเวลานั้นเป็นเวลานาน ทำให้เจ้าชายลำดับที่สองเพิ่มพูนอำนาจขึ้นและวางแผนจะล้มการครองบัลลังก์ของเจ้าชายลำดับที่หนึ่งและวิธีการหนึ่งที่เจ้าชายลำดับที่สองเลือกใช้คือดึงตัวเจ้าหญิงมิเชเลียผู้ครอบครอง 《วิถีแห่งปัญญา》มาเป็นพวก

ซึ่งราชาองค์ปัจจุบันราชาเรเทน อัลเคเดียได้คาดการณ์ไว้แล้วจึงยอมให้เจ้าหญิงมิเชเลียหนีออกจากบ้าน …เพื่อต้องการไม่ให้ใครได้ตัวเธอและป้องกันไม่ให้ใครใช้《วิถีแห่งปัญญา》ได้ ซึ่งโชคดีที่เจ้าหญิงลำดับที่สอง ผู้ที่ครอบครอง《วิถีแห่งปัญญา》เจ้าหญิงมิเชเลียไม่ได้โดดเด่นทางการเมืองนัก ประชาชนจึงไม่เอะอะกัน แต่… หลังจากที่เมื่อรู้ว่าเจ้าหญิงทรงเข้าเรียนที่โรงเรียนราชวงศ์ของเทอร์ราเรีย

เจ้าชายลำดับที่สองได้ส่งคนมาทันที จึงมีภารกิจให้ไปคุ้มกันเจ้าหญิงมิเชเลีย… นี่คือเบื้องหลังการคุ้มกันครั้งนี้ ตัวตนของโจรก็คือทหารรับจ้างที่ถูกว่าจ้างลับๆ จากเจ้าชายลำดับที่สอง ]

 

[ …ก็คาดการณ์ไว้อยู่แล้วล่ะ เพราะโจรมีอุปกรณ์เพียบพร้อมมาก จึงสงสัยว่ามีคนในราชวงศ์หนุนหลัง ]

 

กองทหารรับจ้าง ‘เขี้ยวมังกรแดง’ ได้รับการว่าหนุนหลังจากเจ้าชายลำดับที่สอง

ที่พวกโจรไม่ยอมแพ้ก็เพราะเป็นการจ้างวานโดยตรงจากคนในราชวงศ์ คงไม่ยอมให้ล้มเหลวแน่เพราะค่าตอบแทนคงมหาศาล

 

เพื่อจัดการเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง เจ้าชายลำดับที่สองจึงไม่เลือกวิธีการ

แม้จะเป็นผู้ครอบครอง《วิถีแห่งปัญญา》แต่มิเซ่ก็ยังเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ถ้าการลักพาตัวสำเร็จคงถูกพาไปล้างสมองและนำมาใช้เป็นหุ่นเชิดแน่

 

[             《วิถีแห่งปัญญา》เป็นพลังที่ล้ำค่าสำหรับราชวงศ์ ดังนั้นทางเราเลยเลือกวิธีการคุ้มกันเจ้าหญิงมิเชเลียโดยไม่ขัดใจเธอ ถึงแม้ทหารรับจ้างจะถูกจัดการไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มเจ้าชายลำดับที่สองจะหยุดลงไปด้วย นอกจากนี้นี่ยังเป็นช่วงเวลาที่อะไรยังไม่แน่นอน เพราะสงครามเพิ่งจบลงไป อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์อัลเคเดียได้รับความเสียหายมากในช่วงสงครามของผู้กล้า ซึ่งทางฝ่ายราชวงศ์เองก็เล็งเห็นว่านี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาจะมีสงครามกลางเมือง ไม่เช่นนั้นอำนาจของประเทศจะลดลงอย่างมาก ท่านราชาจึงตัดสินพระทัยว่าตัดปัญหา…. ซึ่งก็คือเจ้าหญิงที่เป็นบ่อเกิดของปัญหา ]

 

สำหรับอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์อัลเคเดีย การมีสงครามกลางเมืองในตอนนี้คงแย่ไม่น้อย

เพื่อการรักความสงบสุขของบ้านเมือง―― จึงคิดจะสังหารมิเซ่

 

[  แต่ถึงฆ่ามิเซ่ไป 《วิถีแห่งปัญญา》ก็สืบทอดไปที่คนอื่นไม่ใช่เหรอ? ]

[ 《วิถีแห่งปัญญา》ไม่สามารถสืบทอดได้ในทันที ดูเหมือนจะใช้เวลาประมาณ 15 ถึง 20 ปี กว่าจะสืบทอดความทรงจำจนเสร็จสมบูรณ์ ]

 

เวลาขนาดนั้นก็มากเพียงพอเลยไม่ใช่เหรอ

 

[ พ่อส่งมือสังหารมาหาลูกสาวแท้ๆ แค่เพราะเป็นต้นตอของสงครามกลางเมืองเหรอ ]

[ ราชวงศ์… ไม่สิ ชนชั้นสูงก็แบบนี้ล่ะ ทำเพื่อผลประโยชน์มากกว่าเพื่ออารมณ์ เหมือนกับคราวของเอลิเซีย ]

 

ผมพลางนึกถึงเมื่อเดือนก่อน

โรเบิร์ต เทอร์แกรนด์สังหารอัศวินที่สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อตัวเองโดยทำเพื่อผลประโยชน์เพื่อปิดบังการทุจริต เพราะชายคนนั้นไม่เชื่อมั่นในตัวอัศวิน

 

นั่นคือสาเหตุที่ตาย

คนที่ทำเพื่อผลประโยชน์ได้มีแต่คนที่เตรียมใจจะถูกฆ่าเพื่อผลประโยชน์แล้วเท่านั้น

แม้จะเป็นเชื้อพระวงศ์ก็ตาม

 

[ และฉันมาเพื่อห้ามนาย ]

 

คริสพูดด้วยเสียงเย็นชา

ในเวลาเดียวกัน ชายสองคนสวมชุดทหารแบบเดียวกับคริสก็ปรากฏตัวมาจากด้านซ้ายขวา

 

[ คิดว่าผมจะทรยศงั้นเหรอ ยังไงผมก็รับคำขอครั้งนี้ในฐานะอดีตทหารขององค์กร 28 นะ ]

[ งั้นทำไมถึงไม่ดื่มล่ะ? ]

 

คริสชี้ไปยังเครื่องมือที่ผมถืออยู่ในมือข้างหนึ่ง

ซึ่งคริสให้มาเมื่อครู่ แต่ผมไม่ได้ตอบ

 

[ เหมือนกับที่นายไม่ไว้ใจพวกเรา พวกเราเองก็ไม่ไว้ใจนาย …ฉันไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายหรอกนะ แต่ถ้าเราไว้ใจนายก็รอดจากพวกเจ้าเล่ห์ในประเทศนี้มาไม่ได้หรอก ]

 

คริสแลบลิ้นแต่ไม่ได้เปลี่ยนท่าที ซึ่งสิ่งที่ออสถาม ผมก็ตั้งคำถามกับตัวเองอยู่เหมือนกัน

 

[ ….ขอเวลาผมสักหน่อย ]

 

ผมไม่สนใจชายสองคนที่กำลังเดินเข้ามาและบอกกับคริส

 

[ ถ้าไม่สามารถเชื่อใจผมได้ในฐานะ 28 …. แต่นี่ก็เป็นความปรารถนาในฐานะทรูเอท อย่างน้อย… พรุ่งนี้แค่วันเดียว ให้ผมได้ใช้เวลาร่วมกับมิเซ่เถอะ ]

 

ผมก้มหัวอ้อนวอนคริส

คริสมองผู้ชายทางขวาพร้อมกอดอก ชายคนนั้นพยักหน้าเล็กน้อยและมอบเม็ดสีดำให้ผม

 

[ ถ้ากินเข้าไป เราจะรับฟังคำขอนั้น ]

 

ผมรับยาน่าสงสัยและกลืนลงไป

ในเวลาไม่ถึง 10 วินาที―― ร่างกายก็เหมือนถูกโจมตีอย่างรุนแรง

 

[ ท้อง… นี่มัน… ? ]

[ มันคือยาพิษที่องค์กรพัฒนาขึ้น ถ้าไม่กินยาแก้พิษภายใน 30 ชั่วโมงนายจะต้องตาย ซึ่งจะทำให้ปวดแสบและร้อนไปทั่วร่างกาย แต่… เท่านี้นายก็แทบจะขยับร่างกายไม่ได้แล้ว ฉันจะให้ยาแก้พิษพรุ่งนี้หลังจากลอบสังหารเจ้าหญิงมิเชเลียแล้ว ]

[ …สภาพแบบนี้จะให้สงบใจยังไม่ได้ อย่าว่าแต่ไปคุยกับเพื่อนร่วมชั้นเลย ]

[ อดทนไว้ซะ เพราะนี่เป็นข้อตกลง ]

 

เหมือนการหยิบยื่นคำขอกับ… ปีศาจ

 

[ แต่ฉันจะคอยเฝ้าระวังไว้ คิดว่านายคงทำอะไรในสภาพนั้นไม่ได้หรอก แต่… อย่าคิดเล่นตุกติกอะไรล่ะ ]

 

เมื่อจบคำพูด คริสก็กลับส้นเท้า

ขณะที่อีกสองคนจ้องมองผมไม่ขาดตา