ตอนที่ 824 ตายหมดแล้วหรือ
ดาบนี้ของหลินสวินดุดันยิ่งนัก แสงดาบดุจสายฟ้า ราวสายรุ้งไหววูบ จากนั้นก็สังหารราชันกึ่งระดับคนหนึ่งให้ตายคาที่!

ความว่องไวของหลินสวินทำให้ชายชราผู้นั้นทำใจเชื่อได้ยาก การโจมตีเช่นนี้ เหตุใดถึงออกมาจากมือของเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งได้

น่าเสียดายที่ไม่ทันให้ได้คิดมาก จิตวิญญาณก็ถูกทำลาย สิ้นชีพโดยสมบูรณ์

การตายของชายชราทำให้ราชันกึ่งระดับอีกสี่คนล้วนตื่นตะลึงแทบร้องออกมา พวกเขาก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร

นี่เป็นการโจมตีอย่างไรกัน

ช่างเหมือนไม่มีสิ่งใดที่ทำให้แตกหักไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดที่ทำลายไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมได้ แข็งแกร่งเกินต้านทาน!

ตูม!

อานุภาพที่เหลืออยู่ของดาบหักไม่ได้ลดลง ห้วงอากาศถูกตัดออกเป็นรอยแยกยาวไปถึงหน้ายอดเขา ยอดเขานั้นถูกซัดให้ราบ ไหวเอนโครมคราม

จากนั้นดาบหักก็ไหววูบแผ่วเบาแล้วกลับมาตรงหน้าหลินสวิน ทั้งร่างของหลินสวินในตอนนี้ส่องแสงเจิดจ้าราวสุริยัน ทำให้ผู้อื่นไม่อาจมองตรงๆ ได้

เขาเหมือนเทพเทวา ดาบหักเจิดจ้าราวหิมะวนอ้อมรอบกาย สั่นสะท้านจิตวิญญาณ ฉายแสงไปทั่วภูผาธารา

สวบ!

เขาไม่ได้ลังเล โคจรวิชาอริยะยุทธ์และโทสะหยาจื้ออย่างเต็มกำลัง ทั้งตัวราวมีพลานุภาพที่สามารถกลืนกินบุพกาล ควบคุมดาบหัก กระโจนออกมาข้างหน้า

“เร็วเข้า! ลงมือพร้อมกัน!”

ชายกลางคนน่าเกรงขามคำรามเดือดดาล ถือทวนยาวสีเลือดฟาดฟันออกไป

อีกด้านหนึ่งสตรีที่อาบชโลมสายฟ้าเงาร่างไหววูบ ขยับค้อนทองสายฟ้า ชี้ขึ้นฟ้าแล้วตีลงมาอย่างฉกาจฉกรรจ์

เสียงสวบดังขึ้น ชายผอมบางอีกคนหนึ่งนัยน์ตายิงแสงเลือดออกมาราวภูตผี เรียกเหล็กหมาดแหลมเรียวเล่มหนึ่งออกมาแล้วโจมตีหลินสวินอย่างเงียบเชียบไร้เสียง

ส่วนบุรุษชุดนักพรตที่ยืนอยู่รอบนอกก็เคลื่อนไหวเช่นกัน

วิ้ง!

เขาดีดนิ้วมือเรียวยาวเบาๆ โคมทองที่อยู่ในมือเขาหมุนคว้างลอยสูงขึ้นกลางอากาศ เปลวเพลิงสีทองน่าหวาดหวั่นไหลพุ่งออกมาปกคลุมหลินสวิน ราวแปรสภาพเป็นเตาหลอมกลียุค

เปลวเพลิงสีทองไหลบ่าราวสมุทร เจิดจรัสงดงาม มีพลังแผดเผาน่าตื่นตระหนก เผาห้วงอากาศจนถล่มทลายเกิดเป็นโพรงสีดำมากมาย

ทวนโลหิต

ค้อนอัสนี

เหล็กหมาดแหลม

โคมทอง…

สมบัติอัศจรรย์มากมาย วิชาลับพรั่งพรู พาให้ฟ้าดินแถบนี้ตกอยู่ในการต่อสู้ดุเดือดโหดร้ายหาใดเทียบ ฟ้ามืดดินหม่น หินทรายปลิวว่อน พร้อมกับเสียงระเบิดทลายโครมครามสนั่นหวั่นไหวจนหูแทบดับ

ทุกอย่างนี้ล้วนสำแดงพลานุภาพของราชันกึ่งระดับสี่คนออกมาอย่างหมดจด หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น เกรงว่าจะถูกกำจัดตายคาที่ไปนานแล้ว

เพียงแต่ต่างจากเมื่อครู่ หลินสวินก็เปลี่ยนเป็นคนละคนโดยสิ้นเชิงเช่นกัน เจตจำนงแห่งมรรคอบอวลไปทั้งกาย รัศมีเทพครั่นครืน ทรงพลังและผงาดผยองถึงที่สุด

ดาบหักเคลื่อนไหวไปในอากาศราวอสนีบาตตระการตา เหมือนรุ้งเทพหวีดร้อง รวดเร็วอย่างน่าประหลาดหาใดเทียบ ทั้งคมดาบก็ไร้เทียมทาน!

บนผิวดาบพวยพุ่งไปด้วยสัญลักษณ์ลายมรรคคลุมเครือ คลื่นน่าหวาดหวั่นที่สั่นสะท้านจิตใจเทพมารปรากฏขึ้น ประหนึ่งสามารถกำราบทั้งผีและเทพ!

นี่เป็นพลังของราชันในขอบเขตระดับ ขนานนามว่ามกุฎมรรคาอันแข็งแกร่งที่สูง วิชาอริยะยุทธ์และโทสะหยาจื้อถูกหลินสวินโคจรถึงระดับสูงสุดที่ไม่เคยมีมาก่อนโดยสมบูรณ์

กระทั่งพูดได้ว่า นี่เป็นครั้งแรกที่หลินสวินใช้พลังทั้งหมดที่มีอย่างไม่ออมมือเช่นนี้ พลังไพศาลที่ฮึกเหิมร้อนเร่า ต่อสู้ราวเพลิงลุกโหมเช่นนั้น ทำให้เขามีความเชื่อมั่นและความกล้าหาญว่าสามารถผลักดันเก้าชั้นฟ้าสิบชั้นดินได้โดยสมบูรณ์ ไม่หวาดกลัวสิ่งใดก

ปัง!

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เหล็กหมาดแหลมก็ระเบิดแหลก ชายผอมบางส่งเสียงร้องตื่นตระหนก ลุกลี้ลุกลนหลบหนี เพียงแต่เงาร่างกลับยังคงเชื่องช้า

นี่เป็นพลังของผนึกป้าเซี่ย สามารถสร้างผนึกไร้รูปได้ หากเป็นเมื่อก่อนคงไม่มีทางใช้กับราชันกึ่งระดับได้เลย

เพียงแต่หลังจากหลอมรวมกับเจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำ ผนึกป้าเซี่ยก็แปรสภาพ ทันทีที่สำแดงออกมา พลันเล่นงานจนอีกฝ่ายรับมือไม่ทัน

ต่อให้ทำได้เพียงทำให้เงาร่างของฝ่ายตรงข้ามช้าลง แต่ในการห้ำหั่นดุเดือดเช่นนี้ก็เพียงพอให้ถึงแก่ชีวิตได้!

ฉัวะ!

ไม่เหนือจากที่คาด หลินสวินคว้าโอกาสนี้ไว้ ดาบหักไหววูบแผ่วเบาก็ฟันบั้นเอวฝ่ายตรงข้ามขาด เลือดไหลราวน้ำพุ สิ้นชีพคาที่ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน

ถ้าว่ากันตามสามัญสำนึก ราชันกึ่งระดับถูกฆ่าตายได้ยากยิ่ง พลังจิตของพวกเขาให้กำเนิดจิตวิญญาณ ถูกพลังมหามรรคที่ตนครอบครองปกป้อง หากพลังจิตไม่ดับสิ้นก็มีโอกาสเย้ยความตายกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง

แต่พลังของดาบหักน่าพรั่นพรึงมากเกินไป เป็นศาสตราจิตไร้เทียมทาน บนนั้นอบอวลไปด้วยพลังลายมรรคคลุมเครือ สามารถกำจัดพลังจิตได้ในชั่วพริบตา!

หรือพูดได้ว่า ขอเพียงถูกดาบหักสังหาร แม้แต่เซียนเทพมาก็ช่วยไม่ได้แล้ว ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะฟื้นคืนชีพอีกครั้ง

ราชันกึ่งระดับอีกคนหนึ่งถูกฟัน!

ภาพนองเลือดนี้กระตุ้นให้ราชันกึ่งระดับอีกสามคนที่เหลือหน้าเปลี่ยนสีอย่างยิ่ง ตื่นตระหนกระคนเกรี้ยวกราดถึงที่สุด

คิดจนหัวแตกก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่าเหตุใดถึงเกิดเรื่องประหลาดเหลือเชื่อเช่นนี้ !

ในใจพวกเขาสั่นระรัวจนไม่อาจสงบนิ่งได้ สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นอึมครึมคล้ำเขียว เมื่อสู้ไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งรุนแรงและน่ากลัวแล้ว

เพียงแต่ทั้งหมดนี้ล้วนดูไร้ประโยชน์

เวลานี้หลินสวินกำลังดำดิ่งกับการขัดเกลาอย่างหนึ่ง กำลังขัดเกลาอานุภาพใหม่เอี่ยมของดาบหัก เมื่อเขาค่อยๆ หลอมรวมมรดกอักษร ‘ปฐม’ แห่งค่ายกลลายมรรคเข้ากับเจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำ อานุภาพของดาบหักก็เพิ่มขึ้นทีละขั้นตามไปด้วย!

ดาบหักยิ่งเจิดจ้าขึ้นราวภาพนิมิต เผยคมสะท้านโลกออกมา แสงนี้แยงตานัก ทำให้ผู้อื่นไม่อาจมองจ้องใกล้ๆ ได้

ส่วนบนพื้นผิวของดาบ สัญลักษณ์ลายมรรคที่คลุมเครือตลบอบอวล พลานุภาพเช่นนั้นทำให้ตัวหลินสวินเองยังรู้สึกตื่นตระหนกและเหนือความคาดหมาย

นี่ถึงเป็นอานุภาพที่แท้จริงของดาบหักหรอกหรือ

หลินสวินรับรู้ว่า ทั้งหมดนี้ต้องเกี่ยวข้องกับการครอบครองพลังเจตจำนงแห่งมรรค หรืออาจเป็นเพราะมีพลังเจตจำนงแห่งมรรค ถึงได้ปลุกอานุภาพที่แท้จริงภายในดาบหักได้!

ตูม!

ไม่นานนักค้อนทองสายฟ้านั้นก็ถูกโจมตีสลายไป แปรสภาพเป็นละอองแสงบ้าคลั่งปลิวล่อง

ส่วนหญิงรูปร่างอ้อนแอ้นแต่กลิ่นอายกลับอำมหิตและอหังการถึงที่สุดผู้นั้นหน้าถอดสี เงาร่างล้มลงโซซัดโซเซ หวีดร้องเสียงแหลม

ในที่สุดนางก็ตระหนกและหวาดผวา ขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง

แข็งแกร่งเกินไปแล้ว ดาบหักเล่มนั้นดุจเทววัตถุในมือเทพ ชั่วพริบตาเมื่อกี้นางแทบนึกว่าตัวเองจะตายเสียแล้ว!

เปรี๊ยะ!

เพียงแต่ยังไม่ทันที่นางจะตั้งสติจากอาการตื่นตระหนก ก็เห็นว่ากลางสนามรบ ชายน่าเกรงขามคนนั้นกับทวนยาวสีโลหิตในมือเขาล้วนถูกฟันออกเป็นสองท่อนในชั่วพริบตา!

ก่อนตาย ชายน่าเกรงขามยังคงตั้งท่าเคลื่อนไหวพุ่งประจัญบาน ดวงตากราดเกี้ยวเบิกกว้าง แต่ในที่สุดร่างของเขาก็แปรสภาพเป็นฝนโลหิตตกลงสู่พื้นสะเทือนเลือนลั่น พร้อมกับทวนยาวที่หักสะบั้น

ตายแล้ว!

ความหนาวสะท้านยากบรรยายบังเกิดขึ้นจากส่วนลึกของจิตใจแล้วแผ่ไปทั่วทั้งร่าง ทำให้หญิงผู้นั้นอกสั่นขวัญหายราวตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง

สวบ!

นางไม่ลังเลสักนิด หันกายจะหลบหนีเหมือนเสียสติ

ภาพแต่ละภาพเมื่อครู่นี้ดูเหลือเชื่อเกินจริงปานนั้น ทั้งยังนองเลือดและน่าพรั่นพรึงอย่างยิ่ง ทำให้ราชันกึ่งระดับอย่างนางรู้สึกหวาดหวั่นและกระวนกระวายใจ

นางไม่อาจจินตนาการได้ว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นมีพลังน่ากลัวเช่นไรกันแน่ ถึงได้เย้ยฟ้าสะท้านโลกาเช่นนี้

และนางก็ไม่อาจคิดได้เช่นกันว่า ดาบหักที่เปล่งประกายราวภาพนิมิตมายานั้นเป็นสมบัติระดับใด ถึงได้มีพลานุภาพแข็งแกร่งเกินต้านทาน ไม่อาจเทียบเทียมได้เช่นนี้

นางเพียงรู้ว่า…

หากยังไม่หนีไป ก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว!

“โก่วอิง! เจ้าถึงกับทิ้งข้าแล้วหนีไปหรือ” เบื้องหลังมีเสียงคำรามเดือดดาลของชายถือโคมทองผู้นั้น น้ำเสียงเจือความผิดหวังหาใดเปรียบ

หญิงผู้ถูกเรียกว่าโก่วอิงกัดฟันไม่ปริปาก นางกำลังหนี หากยังอยู่ก็ต้องสิ้นชีพกันหมด ในเมื่อเป็นเช่นนี้เหตุใดจะไม่หนีเล่า

ตูม!

เมื่อหนีออกมาได้ราวพันลี้ นางก็พลันได้ยินว่าในที่ไกลออกไปเกิดเสียงสั่นสะเทือนน่าครั่นคร้าม

โก่งอิงหันกายอย่างรวดเร็ว จิตรับรู้แผ่กว้าง ชั่วพริบตาก็จับสัมผัสได้ว่าภายบริเวณที่ห่างออกไป เปลวเพลิงสีทองพากันโปรยปรายลงมาราวละอองแสง บดบังฟ้าดิน งดงามเจิดจรัส

เพียงแต่ในบริเวณนั้นกลับไม่มีเงาร่างของชายในชุดนักพรตผู้นั้นอีกแล้ว

ตายแล้ว…

ในใจของโก่วอิงสลดหดหู่ นางไม่อาจจินตนาการได้ว่าพวกเขาซึ่งเป็นราชันกึ่งระดับห้าคนร่วมกันลงมือ เพียงเพื่อต่อกรกับเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งเท่านั้น แต่กลับมีจุดจบเช่นนี้

ในเวลาเดียวกันนางก็ลอบดีใจอย่างอดไม่อยู่ หากไม่ใช่ว่าหนีออกมาเร็ว ครั้งนี้เกรงว่านางก็ต้องประสบเคราะห์ไปด้วย เช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับตายทั้งกองพลอย่างแท้จริง

หืม?

ร่างของโก่วอิงสั่นเทา ในสัมผัสรับรู้ของจิตรับรู้ เห็นว่าเด็กหนุ่มสูงโปร่งผู้นั้นกำลังมองมาทางตนจากไกลๆ

เงาร่างสูงโปร่ง แขนเสื้อโบกพลิ้ว ผมดำเปล่งประกาย ยืนอยู่เหนือห้วงอากาศที่เปลวเพลิงสีทองแผ่กระจาย ขับเน้นให้เงาร่างของเขาเปล่งประกายวูบวาบ ปกคลุมไปด้วยท่วงทำนองปราณลี้ลับและน่าพรั่นพรึง ราวเทพมารสะท้านสะเทือนโลกบรรพกาลในสมัยโบราณ!

แม้จะห่างกันพันลี้ โก่วอิงกลับคล้ายเห็นว่าดวงตาที่ลุ่มลึกราวหุบเหวคู่นั้นจ้องตนจากที่ไกลๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นชาและไร้ความเห็นใจ

หนี!

โก่วอิงเหมือนถูกทำให้ตกใจเหลือล้น ไม่กล้าชักช้าอีก หันกายแล้วหนีไปทันที

เป็นถึงราชันกึ่งระดับที่มาจากเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬผู้หนึ่ง กลับถูกทำให้ตกใจเช่นนี้ทั้งที่ห่างออกมาพันลี้แล้ว หากแพร่ออกไปต้องก่อให้เกิดคลื่นลมลูกมหึมาในแดนฐิติประจิมแน่

“ถือว่าเจ้าหนีได้เร็ว”

ท่ามกลางเปลวเพลิงสีทองเต็มฟ้า หลินสวินที่ยืนตระหง่านกลางอากาศชักสายตากลับมา เขาไม่ได้ตามไป เงาร่างวูบไหวเริ่มจัดการสนามรบ

เพียงแค่ครู่เดียวเขาก็ถือสมบัติเก็บของสี่ชิ้นรวมถึงโคมทองโบราณใบหนึ่งจากไปอย่างรวดเร็ว หายลับไปในท้องฟ้ายามราตรีอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่

บริเวณนั้นกลับคืนสู่ความเงียบสงบ เพียงแต่เต็มไปด้วยควันโขมงและความยุ่งเหยิง พื้นดินแตกออก ภูผาธาราทรุดทลาย ต้นไม้ใบหญ้าถูกทำลาย สิ่งมีชีวิตตายอนาถกลายเป็นเถ้าถ่าน…

ทุกอย่างนี้ประหนึ่งกำลังบอกเล่าว่าการต่อสู้เมื่อครู่นั้นน่าพรั่นพรึงสะท้านโลกาเพียงไหน!

“คำนวณเวลาดูก็ควรมีข่าวออกมาแล้ว”

ในทะเลสาบกลางหุบเขา โก่วซวีสิงนิ่วหน้า ในใจเขาออกจะวิตกกังวลและกระวนกระวาย เพียงแต่สีหน้ายังคงสงบนิ่งและสุขุม

“ซวีสิง หากยังร่ำไรต่อไปอีกก็เป็นการสิ้นเปลืองเวลา พวกเราไม่ได้มีเวลามากมายมารอที่นี่ได้” โก่วหยางป๋อเอ่ยเสียงเรียบ ไม่พอใจอยู่บ้างแล้ว

“หึ หากให้พวกเราสองคนลงมือแต่แรกก็คงฆ่าเจ้าหนูนั่นตายไปนานแล้ว เหตุใดต้องรอกระทั่งตอนนี้ด้วย” โก่วหยางทงก็ส่งเสียงหึเย้ยหยัน

โก่วซวีสิงเดือดดาลอยู่ในใจ ด้วยรู้ว่าเจ้าสองคนนี้ไม่ได้เจตนาดี แทบอยากเห็นตนล้มเหลวแล้วซ้ำเติมทีหลัง ทำให้ตนไม่อาจเชิดหน้าในเผ่าได้โดยสมบูรณ์

“รออีกหน่อย” โก่วซวีสิงก็คร้านจะปกปิด น้ำเสียงแข็งกระด้าง เขาไม่กลัวว่าเจ้าสองคนนี้จะกล้าทำอะไรตน

พวกโก่วหยางป๋อเห็นเช่นนี้จึงนิ่วหน้า สุดท้ายก็ยิ้มหยัน ไม่กล่าวมากความอีก พวกเขาก็ไม่อยากบีบโก่วซวีสิงมากเกินไปเช่นกัน

“นายน้อย แย่แล้ว!”

ทันใดนั้นเสียงที่เผยแววทุกข์ตรมหดหู่เสียงหนึ่งแว่วมาจากไกลๆ

เงาร่างของโก่วอิงปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงนี้ ใบหน้าพริ้งเพราของนางซีดเผือด นัยน์ตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและไม่ยินยอม เหมือนไม่กล้าสบตาโก่วซวีสิงอยู่บ้าง

โก่วซวีสิงหน้าเปลี่ยนสีในทันใด เก็บกลั้นความตื่นตระหนกในใจแล้วพูดว่า “เป็นอะไรกันแน่ เหตุใดถึงมีเพียงเจ้าคนเดียวที่กลับมา พวกเขาเล่า”

“ตายหมดแล้ว…” โก่วอิงก้มหน้าต่ำ พูดออกมาอย่างยากลำบาก

เพียงแค่สามคำนี้ กลับเหมือนฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ ทำให้โก่วซวีสิงแข็งทื่อไปทั้งตัว อึ้งงันอยู่เช่นนั้นโดยสมบูรณ์

ตายหมดแล้วหรือ