ฉีอวิ๋นเยี่ยน
5
ฉีอวิ๋นเยี่ยนคุกเข่าอยู่กลางห้องโถงหลักของตำหนักสือหนิง ทั้งที่สนับรองเข่าหนังลิงขนทอง[1] นั้นอ่อนนุ่มมากเป็นพิเศษ แต่เขากลับรู้สึกว่าอากาศช่างหนาวเหน็บนัก ตั้งแต่ปลายนิ้วจนถึงเส้นผมล้วนเย็นเฉียบ ไม่มีไอร้อนอยู่เลยแม้แต่น้อย
เขาไม่ได้หวาดกลัวที่ตนเองอาจจะต้องถูกลงโทษ ไม่ได้กลัวจ้าวไทเฮาที่ทำหน้าแค้นเคืองอยู่บนพระที่นั่ง เพียงแต่รู้สึกอ่อนล้าขึ้นมากะทันหันก็เท่านั้น เขาเสียเวลาสิบกว่าปีไปกับวังหลังอันเย็นยะเยือกและกดดันแห่งนี้ ทั้งยังวางแผนสกปรกดำมืดไปมากมาย อดทนต่อความอัปยศอดสู ปีนขึ้นทีละก้าว ๆ จนกระทั่งถึงตำแหน่ง ณ ยามนี้ ใครเล่าจะรู้ว่าเขาเสียหยดเลือดหยาดเหงื่อไปกี่มากน้อย ทว่าเพราะคำพูดประโยคเดียวของเจ้าชีวิตเหล่านี้ กลับฟาดเขากลับไปยังขุมนรกชั้นที่สิบแปดอีกครั้งได้อย่างง่ายดาย นับแต่นี้ไม่มีทางหวนกลับคืนได้อีกแล้ว
ไม่ว่าจะตำแหน่งซือหลี่เจียนจ่างอิ้นหรือตงฉ่างตูจู่ มีอำนาจน่าเกรงขามแล้วอย่างไร ครั้นอยู่ต่อหน้าผู้เป็นนาย เขาก็คือบ่าวรับใช้คนหนึ่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องไต่สวนให้มากความ จะโบยให้ตายอย่างไรก็ย่อมได้ ต่อให้ถูกมัดฟางโยนลวก ๆ เข้าป่าช้าถูกสุนัขรุมกัดกิน ก็คงมิมีผู้ใดทวงถามความยุติธรรมให้อยู่ดี สุดท้ายก็เป็นแค่ชายที่ถูกตอนแสนสกปรกคนหนึ่ง ชีวิตที่ไร้ค่าเช่นนี้จะมีใครมาใส่ใจกันเล่า ทุกคนล้วนกล่าวว่าขันทีนั้นโหดเหี้ยมไร้ใจ แต่ไม่มีผู้ใดเป็นขันทีมาตั้งแต่เกิด พวกเขาล้วนถูกสถานการณ์และสภาพสังคมบีบบังคับจนก้าวมาสู่จุดที่เป็นอยู่นี้กันทั้งนั้น
หากคราแรกบิดาไม่ถูกขุนนางใหญ่กล่าวโทษให้ต้องโทษจำคุกจนพานลำบากมาถึงครอบครัว เขาก็คงไม่ต้องร่วงลงมาอยู่ในจุดนี้ โกรธก็ส่วนโกรธ แค้นก็ส่วนแค้น ไม่รู้ว่าโกรธบิดาหรือแค้นขุนนางเหล่านั้นกันแน่ แต่ถึงอย่างนั้นความโกรธและความแค้นนี้เองที่ทำให้เขาก้าวมาได้ตลอดทาง และทุ่มเทวางแผนจนกระทั่งได้นั่งในตำแหน่งตงฉ่างตูจู่
อำนาจนั้นคือสุรารสเลิศ แต่ก็เป็นยาพิษเช่นกัน มันทำให้ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกลายเป็นลูกแกะในกำมือ และทำให้เขาสามารถใช้ร่างกายพิกลพิการนี้แบกรับชื่อเสียงเลวร้ายและความอัปยศเอาไว้ได้ เขารู้ดีว่าตนมีชื่อเสียงฉาวโฉ่เพียงใด ทว่าผู้ที่ยืนอยู่ในตำแหน่งนี้ มีผู้ใดบ้างเล่าที่มือสะอาด นอกจากศัตรูแล้ว เขายังติดค้างหนี้ชีวิตผู้คนอีกไม่น้อย แม้ในนั้นจะมีคนจำนวนมากที่สมควรตาย แต่ก็มีไม่น้อยที่เป็นผู้บริสุทธิ์ซึ่งติดหลังแหไปด้วย เพราะฉะนั้นการที่ต้องแบกรับชื่อเสียงอันชั่วช้าเอาไว้มากมาย จึงไม่นับว่าเป็นการถูกกล่าวหาโดยไม่เป็นธรรมแต่อย่างใด
คนเช่นเขาเข่นฆ่าผู้คนมานับครั้งไม่ถ้วน ก่อกรรมทำเข็ญมามากเกินไป หากวันนี้ต้องตกตายอยู่ในตำหนักสือหนิง ย่อมต้องตกนรกเป็นแน่
ถึงแม้สั่งการให้เว่ยจือเอินไปยังตำหนักเฉียนชิงแล้ว แต่ฉีอวิ๋นเยี่ยนก็ไม่คิดกอดความหวังอะไรเอาไว้ หากเขาอยู่ในตำแหน่งเดียวกับฮ่องเต้ ป่านนี้คงกำลังปรบมือด้วยความยินดี ที่ศัตรูคู่แค้นของพระองค์ในวังหลวงแห่งนี้ลงมือตัดแขนตัวเองทิ้ง สำหรับฮ่องเต้ เรื่องนี้มีแต่ได้ไม่มีเสีย พระองค์คงฉวยโอกาสนี้ให้คนของตนขึ้นดำรงตำแหน่งซือหลี่เจียนจ่างอิ้นและตงฉ่างตูจู่แทนเขา หากเป็นเช่นนั้น ถึงแม้จ้าวไทเฮาจะได้รับการสนับสนุนจากตระกูลตนเอง ก็ไม่อาจทำสิ่งใดในวังหลวงได้อีกแล้ว
ไม่มีอะไรให้สมควรโกรธเคือง วังหลวงไม่เคยมีไมตรีที่แท้จริง จะมีก็เพียงผลประโยชน์ต่อกันเท่านั้น นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องที่ตนไม่ใช่คนของฮ่องเต้หญิงแต่แรก หากพระองค์จะคอยดูเหตุการณ์อย่างเย็นชาก็เป็นเรื่องสมควร ทว่าหากลงแรงช่วย เขาก็ถือว่าเป็นบุญคุณ
ฉีอวิ๋นเยี่ยนค่อย ๆ หลุบตาต่ำมองชายชุดเย่ซาของตนที่แผ่สยายอยู่บนพื้น ดูลวดลายตัวหม่างบนเกลียวเมฆขดน่าเกรงขาม ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็พลันสงบนิ่งราวผิวน้ำไร้ระลอกคลื่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ชั่วพริบตาที่คุกเข่าลงกลางตำหนักใหญ่แห่งนี้ ฉีอวิ๋นเยี่ยนไม่ได้หวังว่าตนเองจะยืนขึ้นอีกครั้งโดยยังมีลมหายใจอยู่ คนใกล้ตายมักคิดถึงความหลังเสมอ ในหัวปรากฏภาพวันที่เขาเข้ามาในวังหลวงจนกระทั่งถึงปัจจุบันทีละฉาก ทั้งภาพยามถูกกดขี่ข่มเหงนับไม่ถ้วน ภาพที่เคยได้รับคำดูถูกเหยียดหยามหลากร้อยรูปแบบ สิ่งที่เคยเก็บกดอยู่ในใจล้วนแต่พลิกฟื้นออกมา ชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง…
ทว่าวันเวลาช่วงวัยเด็กอันสงบสุขก่อนจะเข้าวังหลวงนั้นจะทำอย่างไรก็นึกไม่ออก มันช่างพร่าเลือนราวกับเป็นเรื่องในชาติภพก่อนก็ไม่ปาน
เป็นเพราะคนเช่นเขาก่อกรรมทำเข็ญมาหนักเกินไป ดังนั้นจึงไม่คู่ควรที่จะได้ครอบครองความทรงจำอันแสนสวยงามกระนั้นหรือ
ในขณะที่ใจกำลังล่องลอย เขาก็ได้ยินสุรเสียงของจ้าวไทเฮาที่ประทับอยู่บนพระที่นั่งดังขึ้น
“ใครก็ได้! ลากเจ้าคนที่ถูกตอนแล้วผู้นี้ออกไปโบยให้แก่เปิ่นกง ฟาดมันไปจนกว่าจะตาย!”
ถ้วยชาลายครามแตกลงตรงหน้า เศษกระเบื้องเคลือบคมกริบกับน้ำชาร้อนลวกสาดกระจายไปทั่วสารทิศ ทิ้งรอยคราบน้ำสีเข้มเอาไว้บนชุดเย่ซา บริเวณลำคอและข้างแก้มถูกบาดจนเป็นรอยแผลบาง ๆ หลายรอย…โดยที่เขาไม่แม้แต่พยายามจะหลบเลี่ยง
จะหลบไปเพื่อการใด วันนี้อย่างไรก็หนีความตายไม่พ้น สุดท้ายก็กลับไปเป็นเพียงธุลีกองหนึ่ง หลบหรือไม่ล้วนไม่แตกต่าง ต่อสู้ดิ้นรนมาตลอดสิบกว่าปี เขาเหนื่อยล้าเต็มทีแล้วเช่นกัน หากนับแต่นี้ไปจะได้นอนหลับสบายก็ไม่เลวสักเท่าไร
คำพูดของจ้าวไทเฮาเพิ่งจะตรัสออกมา จากนั้นก็คล้ายว่ามีกลุ่มคนก้าวเข้ามาภายในตำหนัก ฉีอวิ๋นเยี่ยนหลุบตาลงมองต่ำ รอคอยให้ขันทีผู้ลงทัณฑ์เข้ามา จากนั้น…
“หม่อมฉันถวายพระพรเสด็จแม่เพคะ”
จู่ ๆ สุ้มเสียงอันแผ่วเบา อ่อนโยน กระจ่างใส ที่ให้ความรู้สึกว่าคนพูดกำลังยิ้มน้อย ๆ ก็ดังขึ้น
เสียงอันอบอุ่นที่คล้ายไม่ใส่ใจอันคุ้นเคยนี้ถูกส่งมาถึงริมโสต ดังฝ่าทะลุเข้ามาทำลายบรรยากาศเย็นยะเยือกของตำหนักใหญ่ลงทั้งอย่างนั้น
เสียงของชายชุดเย่ซาสีเหลืองที่ถูกเลิกขึ้นขยับไหวไปมาดังต่อเนื่องอยู่ที่ข้างหู เชื่องช้าล่องลอยราวกับเมฆาที่กำลังเคลื่อนคล้อย
คราแรกเขาไม่มีความหวังใดเหลือแล้ว ทว่าพริบตาที่ได้ยินเสียงของฝ่าบาท เขาก็หันหน้าไปมองโดยไม่รู้ตัว และปะทะกับสายตาที่ทอดมองมาพอดิบพอดี
ฉีอวิ๋นเยี่ยนตกตะลึงไป ในใจรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง ขณะที่ฮ่องเต้กลับมีท่าทีผ่อนคลาย ถึงกับขยิบตาขวาให้ตน นัยน์ตาเรียวยาวคู่งามแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม แฝงนัยปลอบโยนและหยอกเย้าอยู่ในที
ทั้งที่สามารถเก็บไม้เก็บมือมองดูแล้วและคอยรับผลประโยชน์อยู่ด้านข้างได้แท้ ๆ ฝ่าบาทกลับเลือกที่จะสอดมือเข้ามา ท่ามกลางบรรยากาศอันหนักอึ้งในตำหนักใหญ่แห่งนี้ การที่พระองค์ทำเช่นนี้ต่อหน้าจ้าวไทเฮา ฉีอวิ๋นเยี่ยนไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า ฮ่องเต้ผู้เยาว์วัยพระองค์นี้แท้จริงแล้วคิดจะทำการใดอยู่กันแน่
ฮ่องเต้ไม่ได้ขยับก้าวไปหาจ้าวไทเฮา ทั้งยังไม่ได้ยืนอยู่ที่ไกล ๆ กลับยืนนิ่งอยู่ข้างกายตน ไม่จำเป็นต้องพูดสักประโยค ท่าทางเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะแสดงจุดยืนออกมาอย่างชัดแจ้งแล้ว
ฉีอวิ๋นเยี่ยนเก็บสายตากลับมาเงียบ ๆ แล้วหลุบตาลงอีกครั้ง ขนตายาวปรือลง ความรู้สึกเย็นเยียบน่าพรั่นพรึงเมื่อครู่ค่อย ๆ จางหายไปจากมือและเท้า ราวกับได้หวนคืนสู่โลกมนุษย์แล้วไม่มีผิด
ผู้ชอบโยนหินใส่คนในบ่อมีอยู่มากในวังหลวง ทว่าคนที่คอยส่งถ่านไฟให้กลางหิมะนั้นกลับมีน้อยนัก และที่น้อยยิ่งกว่าคือกรณีที่เลือกยื่นมือออกมาทั้งที่สามารถยืนดูอยู่ข้าง ๆ โดยไม่ต้องทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ฮ่องเต้เยาว์วัยพระองค์นี้เป็นผู้ฉุดเขาขึ้นมาจากหุบเหว ถึงแม้ว่าตัวเขาฉีอวิ๋นเยี่ยนจะไม่ใช่คนดี แต่บุญคุณในครั้งนี้ เขาล้วนจดจำขึ้นใจ
เขาเพิ่งจะก้มหน้าลงไป เสียงพระสรวลของฮ่องเต้ก็ดังขึ้นกระทบโสต ภายในน้ำเสียงนั้นฟังดูสนิทสนมเป็นธรรมชาติ “ฉีตูจู่อยู่ด้วยหรือ บังเอิญจริงเชียว แมวเหมี่ยนเตี้ยน[2] ที่เจิ้นถามเจ้าในคราก่อนเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
ฉีอวิ๋นเยี่ยนอึ้งงัน ด้วยรู้ว่าพระองค์ทรงหาข้ออ้างหยิบยกขึ้นมามั่ว ๆ ถึงจะไม่เข้าใจเบื้องหลัง ไม่รู้ว่าคำพูดนี้มีประโยชน์อันใด แต่เขาก็ยังคงตามน้ำไปโดยกล่าวว่า “กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมออกไปตามหานอกวังแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่า…”
ยังเอ่ยไม่ทันจบ กลับถูกฮ่องเต้ขัดจังหวะอย่างเฉื่อยชาเสียก่อน “คุกเข่าอยู่เพื่อสิ่งใดเล่า ลุกขึ้นมาตอบสิ”
เขาเม้มริมฝีปาก ภายในใจบังเกิดความซาบซึ้งขึ้นมาเล็กน้อย นับแต่ดำรงตำแหน่งตงฉ่างตูจู่ เขาก็ไม่ค่อยได้คุกเข่าเช่นนี้บ่อยนัก แม้สีหน้าจะไม่แสดงออก ทว่าหากบอกว่าในใจไม่รู้สึกอะไรเลยย่อมโป้ปด หลังไปอยู่ฝั่งเดียวกับฮ่องเต้ และนึกย้อนถึงเหตุการณ์ในวันนี้ เมื่อตรองดูเขาถึงได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า นอกจากความรู้สึกซาบซึ้งแล้ว ในนั้นยังมีความเคารพนับถือรวมอยู่ด้วยส่วนหนึ่ง
คำพูดเพียงประโยคเดียว กลับแสดงให้เห็นความต่างชั้นของพระองค์กับจ้าวไทเฮาอย่างชัดเจน ไม่เสียทีที่เป็นฉูจวินที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงทุ่มเทพระทัยเลี้ยงดูมา จ้าวไทเฮารู้จักเพียงการให้ผู้อื่นคุกเข่าเพื่อแสดงความน่าเกรงขามของตน แต่พระนางกลับไม่เข้าใจว่าการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาลุกขึ้นมาระหว่างที่มอบอำนาจให้พวกเขานั้น คือการให้เกียรติกัน
จ้าวไทเฮาใช้เวลาทั้งชีวิตก็คงไม่มีวันเข้าใจ มีแค่เจ้าชีวิตที่โน้มน้าวผู้คนเป็นเท่านั้นที่จะสามารถทำให้คนต่ำศักดิ์กว่าที่อยู่รอบตัวเกิดความเคารพยำเกรงได้ ผู้ปกครองอันสูงส่งที่แท้จริงจะต้องมีจิตใจกว้างขวางเพียงพอจะให้เกียรติผู้ที่อยู่เบื้องล่างด้วย
แพขนตาดำยาวค่อย ๆ ปรือลง หลบซ่อนอารมณ์อันซับซ้อนในดวงตาเอาไว้ ฉีอวิ๋นเยี่ยนกล่าวว่า “พ่ะย่ะค่ะ” เสียงเบา ค่อย ๆ ขยับลุกขึ้นและทำความเคารพองค์เหนือหัว จากนั้นก็เอ่ยต่อจากคำพูดเมื่อครู่นี้ “…แต่ว่ายังอยู่ในขั้นตอนส่งคนไปสอบถาม ขอให้ฝ่าบาททรงรออีกสักสองสามวันพ่ะย่ะค่ะ”
สองคนตรงนี้ คนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ หากจ้าวไทเฮายังมองไม่ออกว่าระหว่างพวกเขามีความลับบางอย่าง ก็ต้องละอายใจต่อวันเวลากว่าสิบปีที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวงแล้ว กับขันทีอย่างฉีอวิ๋นเยี่ยนนั้น นางสามารถตำหนิด่าทอได้ ทว่ากับฮ่องเต้นั้นไม่สามารถกระทำได้ ไม่ว่าภายในจะไม่ชอบใจเพียงใด บนใบหน้ากลับยังต้องแสร้งแสดงออกด้วยท่าทีของ ‘พระมารดา’ อยู่ดี
จ้าวไทเฮากดข่มโทสะ ไม่สามารถสร้างความวุ่นวายได้อย่างเปิดเผย ทำได้เพียงหยิบเอาจุดที่จับผิดได้ในคำพูดขององค์ฮ่องเต้มาเอ่ยอย่างเย็นชา “ฝ่าบาทเพิ่งขึ้นครองราชย์ กิจสำคัญมากมายทั้งในวังและนอกวังล้วนรอให้ฝ่าบาทไปจัดการ จะมามัวหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ชอบจนไม่แสวงหาความก้าวหน้าได้อย่างไร หากฝ่าบาทต้องการเป็นกษัตริย์ผู้ทรงธรรม ก็ควรอยู่ให้ไกลจากขันทีที่ใช้แมวใช้หมามาประจบประแจงเพื่อขออำนาจเช่นนี้ หลักการที่ต้องใกล้ชิดกับขุนนางที่ดีและอยู่ให้ไกลจากคนชั้นต่ำ คนที่อยู่ในวังหลวงมานานอย่างไอเจีย[3] เข้าใจดี หากว่าฝ่าบาทถูกคนพิการชั้นต่ำเช่นนี้ล่อลวง ก็จะเป็นการเนรคุณต่อฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่หลายปีมานี้ทรงทุ่มเทพระทัยสั่งสอนเกินไปแล้ว”
ขณะที่จ้าวไทเฮาเข้าใจว่าฮ่องเต้พระองค์นี้กำลังกลั้นใจฟังคำสั่งสอนของตนอยู่นั้น อวี่ฉีก็ค้อมตัวลงฟังคำสอนสั่งอย่างถ่อมตัวถึงที่สุด ใบหน้าแสดงอาการสำนึกผิด กิริยาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ก่อนกล่าวว่า “หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วเพคะ เดี๋ยวจะกลับตำหนักไปนั่งหันหน้าเข้ากำแพงเพื่อสำนึกความผิด” นางเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตั้งใจมองฉีอวิ๋นเยี่ยนที่อยู่ข้างกาย “ฉีตูจู่เห็นเจิ้นกระทำผิด กลับไม่คัดค้านแม้แต่น้อยเลยหรือ”
ฉีอวิ๋นเยี่ยนเลื่อนสายตาขึ้นมามองสตรีข้างกายเล็กน้อย เห็นฝ่าบาทลอบส่งสายตาให้ตนเอง ก็ยอบกายลงไปใหม่ ทำท่าประสานมือคำนับค้อมลงต่ำ “กระหม่อมทรยศต่อความไว้วางพระทัยของฝ่าบาท กระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวไทเฮามองดูคนทั้งสองที่แสดงละครกันอยู่ตรงหน้าของตนเอง ก็แทบอยากจะฟาดมือลงไปเสียเดี๋ยวนั้น เพียงแต่ว่า ต่อให้โทสะอัดแน่นจนแทบจะขบฟันให้แตกเพียงใด ก็ทำได้แค่กุมที่เท้าแขนสลักลายของแท่นพระที่นั่งเอาไว้แน่น แล้วกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมที่ได้รับมาเต็มอกลงท้องไป
ฉีอวิ๋นเยี่ยน จิ้งจอกที่ถูกตอนตัวนี้มีฝีไม้ลายมือกลิ้งกลอก ถึงนางจะเปิดโปงเรื่องราชบุตรเขยออกมาซึ่ง ๆ หน้า หรือต่อให้ขุนนางและข้ารับใช้ทั้งหลายจะเกลียดเขาเพียงใด เปลือกนอกของขันทีผู้นี้กลับไม่แสดงปฏิกิริยาใดออกมาเลย
การเลือกเฟ้นราชบุตรเขยให้แก่องค์หญิงนั้นจำต้องคัดเลือกคนดีมีคุณธรรมโดยรอบคอบ นี่เป็นประกาศิตของบรรพบุรุษ ฉีอวิ๋นเยี่ยนเลือกราชบุตรเขยคนนี้มา แม้ชายผู้นี้จะยากจนทั้งยังโรครุมเร้า แต่ในด้านคุณธรรมและการศึกษาก็นับว่าอยู่ในระดับดียิ่ง ไม่แน่ว่าบางทีอาจมีขุนนางใหญ่ท่านไหนที่หัวถูกลาเหยียบ[4] มาก่อนกล่าวชื่นชมในจุดนี้ด้วยซ้ำ
อีกด้านหนึ่ง อวี่ฉีเห็นว่าฉีอวิ๋นเยี่ยนเข้าขากับเธอได้ดีก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นด้วยความพึงพอใจ ข่มรอยยิ้มบนริมฝีปากเอาไว้พลางเอ่ยเสียงหนักว่า “ในเมื่อรู้ถึงความผิดแล้ว ก็จงไปรับโทษที่หน่วยลงทัณฑ์[5] ด้วยตนเอง”
ในวังหลวงแห่งนี้มีหน่วยลงทัณฑ์เป็นผู้ตัดสินโทษขันทีที่มีความผิดติดตัว แต่นั่นก็มีผลแค่กับขันทีตำแหน่งเล็ก ๆ ไร้อำนาจ สำหรับขันทีผู้กุมอำนาจระดับฉีอวิ๋นเยี่ยนแล้ว ต่อให้เข้าไปในหน่วยลงทัณฑ์ก็ไม่มีผู้ใดกล้าทำอะไร กล่าวได้ว่า วิธีการนี้ของเธอหากมองจากเปลือกนอกคือการลงโทษ แต่แท้จริงแล้วคือการปลดปล่อยเขา ทั้งยังสามารถพาเขาออกไปจากถิ่นของไทเฮาโดยสวัสดิภาพ
ฉีอวิ๋นเยี่ยนเป็นคนฉลาด แน่นอนว่าย่อมเข้าใจถึงหลักการเหล่านี้ จึงรับโทษเอาไว้อย่างฉับไว
อวี่ฉีพยักหน้า แสร้งทำเป็นโบกมืออย่างหมดความอดทน “ยังมัวเหม่ออะไร คิดจะอยู่ที่นี่เพื่อรับรางวัลหรือไร”
นี่นับว่าเป็นการหาข้ออ้างให้เขารีบไปจากที่นี่โดยไม่คิดปิดบัง ฉีอวิ๋นเยี่ยนรับคำแล้วก้มหน้าถอยออกไปจากตำหนัก แล้วยืดตัวตั้งตรงประหนึ่งต้นสนเช่นเคย ฝีเท้าสง่างามไร้ซึ่งความสับสน ยังคงเป็นตงฉ่างตูจู่ที่หนักแน่นไม่เปลี่ยนแปลงประดุจภูเขาไท่ซาน
เพียงแต่วินาทีที่เดินออกมาจากตำหนักสือหนิงนั้น ไม่เพียงแค่เขา ทุกคนในวังหลวงล้วนแต่เข้าใจเรื่องหนึ่งโดยพร้อมเพรียงกัน นั่นคือนับตั้งแต่วันนี้ไป ฉีอวิ๋นเยี่ยนถูกโอบอุ้มในพระหัตถ์ของจักรพรรดินีแล้ว ไม่มีความสัมพันธ์อันใดกับจ้าวไทเฮาอีกต่อไป
ภายในห้องโถงตำหนักกลาง อวี่ฉีถวายบังคมด้วยท่าทางสง่างามไร้ที่ติให้แก่สตรีที่นั่งอยู่บนพระที่นั่ง ขยับมือและเท้าอย่างเยือกเย็นอ่อนช้อย “หม่อมฉันเชื่อฟังคำสั่งของเสด็จแม่ จะกลับไปนั่งหันหน้าเข้าหาผนังเพื่อสำนึกผิดนะเพคะ” เอ่ยจบแล้วไม่รอให้จ้าวไทเฮาพูดอะไรต่อ เธอก็สาวเท้าเดินออกจากตำหนักใหญ่ นำกลุ่มคนออกไปและก้าวขึ้นบนเกี้ยวมังกร มุ่งหน้าไปยังตำหนักเฉียนชิงทันที
แม้ภายนอกจะแสดงท่าทีเคารพเชื่อฟังอย่างถึงที่สุด แต่พฤติกรรมของเธอกลับโอหังอย่างสุดแสนเช่นกัน ทำเอาจ้าวไทเฮาพิโรธเสียจนแทบจะจิกเล็บที่ได้รับการดูแลอย่างดีเข้าไปในที่เท้าแขนไม้สลักอยู่รอมร่อ
เป็นดังที่อวี่ฉีคาดการณ์ไว้ ฉีอวิ๋นเยี่ยนผู้เป็นยอดจิ้งจอกในหมู่จิ้งจอก ไม่ได้รับการลงทัณฑ์ใดจากหน่วยลงทัณฑ์ หนำซ้ำยังออกมายืนรอเธอตรงข้างทางเดิน เครื่องแบบขันทีสีขาวจันทร์ [6] เหมือนถูกอาบย้อมด้วยแสงจาง ๆ ของตะวันอันเปล่งประกายบนร่างนั้นถูกรีดจนเรียบกริบ เขายืนก้มหน้าอย่างเงียบงัน ดวงหน้างดงามใสกระจ่างราวกับโปร่งแสงประหนึ่งถูกเสกสรรมาจากหยกสลัก ไม่คล้ายท่าทางยโสโอหังเมื่อแรกพบ ไม่มีคำพูดหวานเลี่ยนล่อลวงดั่งที่ผ่านมา ยามนี้เขาเพียงยืนตรง และอาจเพราะได้รับบุญคุณจากเธอในครั้งนี้ บนร่างของเขาจึงแผ่ความเคารพจริงใจออกมาอยู่หลายส่วน
กล่าวได้ว่าหลังเจอเรื่องนี้เข้าไป ถึงเธอจะยังไม่ได้รับการยอมรับจากเขาโดยสมบูรณ์ อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกดี ๆ กับตนได้แล้ว แม้ว่าจะยังไม่ถึงขั้นที่สามารถสั่งให้อีกฝ่ายบุกน้ำลุยไฟได้ แต่ก็ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะเข้าหาด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าทว่าด้านหลังซ่อนมีดไว้อีกต่อไป
ยามที่เกี้ยวมังกรมาถึงเบื้องหน้า ฉีอวิ๋นเยี่ยนก็ค้อมกายลงถวายพระพร อวี่ฉีสั่งให้ขันทีหยุดแล้วกวาดสายตามองดูเขาตั้งแต่หัวจดเท้ารอบหนึ่ง ก่อนจะแย้มยิ้มเล็กน้อย “วันนี้เมื่อฉีตูจู่กลับไปแล้ว ให้บรรดาศิษย์ของท่านช่วยท่านนวดยืดเส้นเอ็นและกระดูกผ่อนคลายจากความเครียดเถิด ธุระก็มอบให้ลูกน้องไปจัดการแทนได้ไม่เป็นไร จะอย่างไรก็ไม่ได้มีเรื่องเร่งร้อน ร่างกายของตนเองย่อมสำคัญกว่า”
ฉีอวิ๋นเยี่ยนเพิ่งได้รับการรายงานจากขันทีคนสนิท ที่ตั้งใจรออยู่ตรงนี้ก็เพราะเรื่องของซือหลี่เจียนจ่างอิ้น ทว่าหลังจากได้ยินฝ่าบาทเอ่ยถึงเรื่องนี้ จึงอดอึ้งขึ้นมาไม่ได้ เขาเหลือบหางตามองเว่ยจือเอินที่ข้างกาย แม้ว่าจะลังเลอยู่บ้าง แต่พริบตาเดียวเขาก็ค่อย ๆ ก้มตัวลงไป “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเข้าพระทัยพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมไม่ทราบว่าในพระทัยของฝ่าบาท ผู้ที่จะได้รับเลือกให้มารับผิดชอบหน่วยซือหลี่เจียนคือผู้ใด”
หากบอกว่าเขาเต็มใจยอมยกตำแหน่งนี้ให้ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ในเมื่อรับปากแล้วก็ต้องกระทำ อย่างน้อยในฉากหน้าก็ต้องแล้วกันไป จะอย่างไรเสียรากฐานของเขาก็มั่นคง ต่อให้เปลี่ยนเป็นคนอื่นมารับตำแหน่ง เขาก็มีวิธีฉุดคนผู้นั้นลงมาได้โดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นอยู่ดี สุดท้ายแล้วตำแหน่งนี้ก็ยังคงอยู่ในมือเขาวันยังค่ำ
ฮ่องเต้หญิงหรี่ตาลงอย่างเฉื่อยชา สายตาวาดผ่านร่างฉีอวิ๋นเยี่ยนไป เอ่ยด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “ในใจของเจิ้น ผู้ที่ถูกเลือกมารับตำแหน่งซือหลี่เจียนจ่างอิ้น นอกจากฉีตูจู่แล้วก็ไม่มีผู้ใดอีก” น้ำเสียงของพระองค์อ่อนโยนเหมือนดังที่เคยเป็นมา ทั้งนุ่มนวลและเจือเสียงหัวเราะในเนื้อเสียง
คำพูดนี้พอเอ่ยออกมา ไม่เพียงแต่ฉีอวิ๋นเยี่ยน แม้แต่เว่ยจือเอินที่อยู่ด้านข้างก็ยังตะลึงค้าง
อวี่ฉีแสร้งทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังคงเอ่ยยิ้ม ๆ อย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “ก่อนหน้านี้ตำแหน่งซือหลี่เจียนจ่างอิ้นเป็นจ้าวไทเฮาที่มอบให้เจ้า เจิ้นย่อมต้องเอากลับคืนมา ในยามนี้ เจิ้นเห็นฉีตูจู่เป็นคนสนิท ดังนั้นตำแหน่งซือหลี่เจียนจ่างอิ้นนี้ เจิ้นจะส่งคืนไว้ในมือของเจ้าอีกครั้ง” เธอเว้นไปครู่หนึ่ง เบนสายตาอย่างเชื่องช้า มองไปยังสิ่งปลูกสร้างและศาลาที่อยู่ไกลออกไป แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “เจิ้นเชื่อว่าตนเองไม่ได้มองคนผิดไป หวังว่าฉีตูจู่จะไม่ทำให้เจิ้นต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยิน”
ก่อนที่จะเข้าวังเพราะต้องโทษ ฉีอวิ๋นเยี่ยนนับว่าเป็นคุณชายตระกูลบัณฑิตคนหนึ่ง ย่อมเคยศึกษาประโยคที่ว่า ‘บุรุษยอมตายเพื่อสหายผู้รู้ใจ สตรียินดีแต่งหน้าเพื่อคนที่รัก[7]’ ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่าน่าขันนัก มาในเวลานี้ถึงได้เข้าใจขึ้นมาบ้าง ว่าบุญคุณที่ได้รับมานั้นหนักหนาประดุจเขาไท่ซาน
เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองสตรีผู้นี้อย่างลึกซึ้ง ไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใดให้มากความ
เพียงแต่ค่อย ๆ หลุบตาลงแล้วคำนับโดยไร้เสียงอีกครั้ง
เพื่อขึ้นไปยังจุดสูงสุดแห่งอำนาจ ฉีอวิ๋นเยี่ยนโค้งคำนับมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่มีเพียงครั้งนี้เท่านั้นที่เขาก้มศีรษะลงต่ำอย่างเต็มใจโดยแท้จริง
อวี่ฉีแย้มยิ้ม ไม่คิดให้ความสำคัญกับปัญหานี้อีกต่อไป เธอเพียงเท้าคางมองเขาอย่างเกียจคร้าน ออกคำสั่งเสียงเบาว่า “ถ้าหากวันหน้าจ้าวไทเฮาเรียกฉีตูจู่เข้าเฝ้าอีก จงอ้างชื่อของเจิ้นไปเสีย ถ้าหากว่าปฏิเสธไม่สำเร็จ ก็ให้ศิษย์ของเจ้ามาหาเจิ้นที่ตำหนักเฉียนชิงได้เสมอ” เธอเหลือบตามองเว่ยจือเอินที่ยืนอยู่ด้านข้าง เอ่ยเสียงเรียบราวกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “ศิษย์คนนี้ของเจ้าพอเข้ามาในตำหนักเฉียนชิงก็โขกศีรษะเสียงดัง ดูแล้วเกือบจะโขกจนห้อเลือด ถึงแม้ว่าจะทำให้ผู้คนตกใจไปบ้าง ทว่ายากนักที่จะพบผู้ที่ซื่อสัตย์จริงใจท่ามกลางวังซึ่งเต็มไปด้วยการหลอกลวงมากมายเหลือคณานับแห่งนี้ กลับไปแล้วฉีตูจู่อย่าลืมตกรางวัลงาม ๆ ให้เขา ถือว่าเป็นน้ำใจตอบแทนที่ซื่อสัตย์ภักดี”
คำพูดนี้ของเธอฟังเรียบง่ายไม่หวือหวา ถึงขนาดเอ่ยถึงเรื่องสำคัญเกี่ยวกับแผ่นดินออกมาด้วยท่าทางสบาย ๆ แน่นอนว่าเธอทำไปเพื่อร่นระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่าย สนิทสนมราวกับว่าเป็นเพื่อนกันมานานปีอย่างไรอย่างนั้น
ฉีอวิ๋นเยี่ยนได้ยินดังนั้นจึงหันศีรษะไปมองลูกศิษย์ของตนเอง พลางยกมุมปากเป็นรอยยิ้ม “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงชี้แนะ กระหม่อมรับทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
อวี่ฉียิ้มไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เพียงพยักหน้าให้เขาเบา ๆ แล้วนั่งเกี้ยวมุ่งหน้าไปยังตำหนักเฉียนชิงอย่างยิ่งใหญ่พร้อมกับเหล่าข้ารับใช้
รอจนกระทั่งขบวนเสด็จจากไปไกลแล้ว เว่ยจือเอินยังคงยืดคอมอง เอ่ยพึมพำว่า “ท่านหัวหน้าขอรับ ท่านมีสายตาแหลมคมกว่าผู้ใด เหตุใดคราแรกถึงได้อยู่ฝ่ายเดียวกับไทเฮาเล่าขอรับ ถ้าหากติดตามองค์หญิงหรงชางมาตั้งแต่แรก วันนี้อาจจะได้เป็นคนโปรดท่ามกลางคนสนิทข้างกายฝ่าบาท และไม่ต้องไปรับโทษที่ตำหนักสือหนิงเช่นนี้”
ฉีอวิ๋นเยี่ยนมองคนข้างตัวอย่างเย็นชา “แค่คำพูดไม่กี่ประโยค เจ้าก็ถูกฝ่าบาทกำราบได้แล้วรึ”
เว่ยจือเอินหัวเราะพัลวันพลางกล่าวขออภัย “ท่านไปเอาคำพูดนี้มาจากที่ไหนกันขอรับ ทั้งร่างกายและจิตใจของเสี่ยวเว่ยจื่อล้วนแต่เป็นของท่าน แม้ว่าฮ่องเต้จะอยู่ที่ตรงนี้ เสี่ยวเว่ยจื่อก็ยังคงยืนอยู่ที่ด้านหลังของท่านมิใช่หรือขอรับ”
ฉีตูจู่ผู้สูงส่งเยือกเย็นมาโดยตลอด ได้ยินคำพูดที่ไม่จริงจังนี้เข้าไป ก็รู้สึกทั้งฉิวทั้งขำ แทบจะอยากถีบเจ้าคนปลิ้นปล้อนผู้นี้สักครา แต่สุดท้ายก็พลันคิดถึงคำพูดของฮ่องเต้ผู้นั้นขึ้นมา จึงเพียงแต่ถลึงตาใส่คนสนิทอย่างเย็นชา แล้วหันกายสะบัดแขนเสื้อจากไป
เว่ยจือเอินรีบไล่ตามไปราวกับเป็นลูกสุนัข “ท่านรอข้าน้อยก่อนสิขอรับ ในเมื่อฝ่าบาทตรัสแล้ว กลับไปข้าน้อยจะบีบไหล่นวดขาให้ท่านนะขอรับ”
คำตอบที่เว่ยจือเอินได้รับกลับมา มีเพียงแผ่นหลังอันเย็นชาไร้หัวใจของฉีจ่างอิ้น ผู้มากความสามารถยากจะหาใครเปรียบเท่านั้น
————————————————————