ตอนที่ 180-1 แผ่นหยกปรากฏ ตกตะลึง

ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่คิดว่าเมิ่งเอ้ออิ๋นจะเข้าใจบัญชีอย่างแจ่มแจ้งเช่นนี้ หัวใจกระตุกวูบ ใบหน้ากลับไม่แสดงความรู้สึกใด ยิ้มแล้วพูดว่า “จะเป็นไปไม่ได้ได้อย่างไร พวกพี่ใหญ่ยังมีเงินอีกหนึ่งหมื่นกว่าตำลึง ข้าจะไม่มีได้อย่างไร?”

 

 

พูดจบหันไปถามเมิ่งเสียน “ใช่หรือไม่ พี่ใหญ่ พวกท่านมีหนึ่งหมื่นกว่าตำลึงใช่หรือไม่?”

 

 

เมิ่งเสียนพยักหน้า “ใช่”

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นยังคงไม่เชื่อคำพูดนาง “เช่นนั้นเจ้านำออกมาให้พ่อดู”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างหน้าไม่แดงใจไม่สั่น “ย่อมได้ ข้าเก็บเอาไว้ที่สำนักการเงิน เอาไว้พรุ่งนี้ข้าจะไปเบิกออกมาให้ท่านดู หากข้ามีเงินมากเช่นนั้น ท่านจะต้องรับปากข้ายอมสร้างเรือนหลังใหม่”

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นรับคำ “แน่นอนอยู่แล้ว พ่อมิได้ตระหนี่เช่นแม่เจ้า มีเงินแล้วทำใจใช้ไม่ลง ขอเพียงในมือเจ้ายังมีเงิน พ่อย่อมรับปากเจ้าปลูกเรือนหลังใหม่”

 

 

เมิ่งชื่อถูกกล่าวถึงอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่พอใจแล้ว “ข้าตระหนี่อย่างไรกัน งานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามวันมิใช่ข้าเป็นคนควักกระเป๋าหรือ?”

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดจี้ใจดำสัพยอกนาง “ถูกต้อง เจ้าเป็นคนควักกระเป๋า แต่ใครกันเล่าที่ปวดใจจนนอนไม่ได้ไปหลายวัน”

 

 

คนในบ้านหัวเราะครืน

 

 

เมิ่งชื่อหน้าแดงเรื่อ ถลึงตาใส่เมิ่งเอ้ออิ๋นแวบหนึ่งอย่างไม่พอใจ

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นลูบศีรษะ หัวเราะแหะๆ

 

 

วันรุ่งขึ้นหลังกินอาหารเช้า เมิ่งอี้เซวียนสะพายกระเป๋านักเรียนไปเรียนบ้านท่านอาจารย์ด้วยตัวเอง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้ามาเอาแผ่นหยกในห้อง สั่งการเหวินเปียวบังคับรถม้าเข้าไปในเมือง

 

 

เหวินเปียวจัดเตรียมรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวบอกลาเมิ่งชื่อ แล้วจึงขึ้นไปนั่งบนรถม้า เดินทางมาได้ครึ่งทาง เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านบังรถ แสร้งถามเหวินเปียวอย่างสนใจใคร่รู้ “ในเมืองหลวงต้องใช้เงินจำนวนเท่าใดถึงจะซื้อเรือนอาศัยที่ค่อนข้างดีสักหลังได้?”

 

 

เหวินเปียวบังคับรถม้าอย่างมั่นคง พลางตอบว่า “เรือนอาศัยในเมืองหลวงแบ่งออกเป็นสี่ทิศ แต่ละทิศแตกต่างกัน ที่แพงที่สุดคือทิศตะวันออก แถบนั้นล้วนเป็นบ้านของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของราชสำนัก หากใครซื้อบ้านแถบนั้น ก็เท่ากับว่าได้เป็นเพื่อนบ้านกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของราชสำนัก มีเรื่องอันใดก็จะสะดวกสบายขึ้นมาก แต่ได้ยินว่าราคาบ้านแถบนั้นหนึ่งหลังมีราคาหลายแสนตำลึง คนปกติทั่วไปซื้อไม่ไหวหรอก รองลงมาก็คือบ้านทิศใต้ คนที่อาศัยแถบนั้นส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าวาณิชย์ เทียบกันแล้วราคาย่อมเยาว์กว่ามาก เรือนอาศัยอย่างดีหลังหนึ่งมีเงินสองสามหมื่นก็ซื้อได้แล้ว ที่ดีที่สุดก็ไม่เกินหนึ่งแสนตำลึง ทิศเหนือจะเป็นบ้านของชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป บ้านยิ่งมีราคาถูกกว่า สำหรับทิศตะวันตก เป็นแหล่งชุมนุมของยากจกและคนไร้บ้าน ดังนั้นที่นั่นจึงไม่มีเรือนอาศัย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ถามขึ้นอีก “เช่นนั้นในเมืองหลวง ค่าใช้จ่ายต่อหนึ่งปีของครอบครัวเศรษฐีเล็กๆ อยู่ที่ประมาณสักเท่าใด?”

 

 

เหวินเปียวขบคิด ตอบว่า “เรื่องนี้ข้าก็ไม่แน่ชัด ประมาณหนึ่งพันแปดร้อยตำลึงกระมัง”

 

 

จากนั้นก็ถามอย่างประหลาดใจ “เหตุใดวันนี้แม่นางถึงคิดถามเรื่องพวกนี้”

 

 

“อ่อ อยู่ๆ ก็อยากรู้ ก็เลยลองถามพวกเจ้าดู”

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ บังคับรถม้ามุ่งหน้าเข้าเมืองไปอย่างมั่นคง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวปิดม่านบังรถลง ครุ่นคิดอยู่ในห้องโดยสารเพียงลำพังอยู่นาน กระทั่งรู้สึกว่ารถม้าเข้ามาในเมืองแล้ว ถึงเปล่งเสียงพูดว่า “หาร้านขายแป้งทาหน้า ข้าจะซื้อแป้งทาหน้าเสียหน่อย”

 

 

เด็กสาวชอบแต่งหน้าทาแป้งเป็นเรื่องปกติ เหวินเปียวไม่ได้คิดอะไรมาก บังคับรถม้ามาถึงร้านแป้งทาหน้าร้านหนึ่ง จอดรถแล้วลงมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า เดินเข้าไปในร้าน เหวินเปียวคิดว่ามีแต่ของใช้ของหญิงสาว จึงไม่ตามเข้าไป

 

 

ใช้เวลาไม่นาน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ซื้อแป้งทาหน้าจำนวนหนึ่งออกมา

 

 

หลังจากขึ้นมานั่งบนรถม้า ก็สั่งให้ไปร้านเสื้อผ้า

 

 

ครั้งนี้ร้องเรียกให้เหวินหู่เข้าไปด้วย ไม่เพียงซื้อเสื้อผ้าให้ตัวเอง ยังให้เหวินหู่เลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสมให้ตัวเองและเหวินเปียวคนละชุด เหวินหู่เกิดความรู้สึกกังขา กลับไม่ได้ถามมากความ

 

 

เมื่อซื้อของเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวให้เหวินเปียวบังคับรถม้าไปยังที่ลับตาคน บอกทั้งสองคน “อีกประเดี๋ยว พวกเราจะไปทำเรื่องที่สำคัญมากเรื่องหนึ่ง จำเป็นต้องปลอมแปลงตัว พยายามอย่าให้คนอื่นจำโฉมหน้าที่แท้จริงได้ พวกเจ้าสองคนเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ประเดี๋ยวข้าจะแต่งหน้าแต่งหน้าให้พวกเจ้า”

 

 

ทั้งสองคนรีบเปลี่ยนชุดคลุมด้านนอกโดยไว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบแป้งทาหน้าออกมา ทำการบรรเลงให้เหวินเปียวก่อน เหวินหู่จูงรถม้ารถอยู่อีกด้าน

 

 

หลังจากบรรเลงเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวมองดู รู้สึกพึงพอใจมาก ให้เขากลับหลังหัน ถามเหวินหู่ “เช่นนี้เจ้ายังจำเขาได้หรือไม่?”

 

 

เหวินหู่มองเหวินเปียวที่กลายเป็นอีกคนหนึ่งตรงหน้า ร้องปิติ “วิชาแปลงโฉมของแม่นางล้ำเลิศนัก หากไม่ได้เห็นกับตาว่าท่านเป็นคนแปลงโฉมให้เขา ข้าคงจำไม่ได้จริงๆ”

 

 

เหวินเปียวถูกเมิ่งเชี่ยนโยวแต่งหน้าทาตาไปทั่วทั้งใบหน้า นึกว่าถูกนางแต่งเป็นหญิงสาว เกิดความรู้สึกประดักประเดิดในใจ ได้ยินคำพูดเหวินหู่ ก็ให้ยินดีพูดว่า “ขอข้าดูบ้าง แม่นางแปลงโฉมข้าเป็นอย่างไร”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นกระจกบานเล็กไปตรงหน้าเขา

 

 

เหวินเปียวส่องกระจก ในนั้นเป็นชายรูปงามคนหนึ่ง แตกต่างกับรูปลักษณ์เดิมของตัวเองเป็นอย่างมาก หากไม่เพราะเห็นตัวเองในกระจก แม้แต่ตัวเองก็คงจำตัวเองไม่ได้ ร้องชื่นชมนางเสียงหลง “วิชาแปลงโฉมของแม่นางล้ำเลิศสุดยอดจริงๆ”

 

 

ได้ยินทั้งสองคนยกย่องชื่นชม เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มพูด “วิชาแปลงโฉมที่ไหนกันเล่า นี่เป็นเพียงการแต่งหน้าธรรมดาๆ ข้าเพียงใช้เคล็ดลับช่วยก็เท่านั้น”

 

 

ทั้งสองคนประหลาดใจตะลึงค้าง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้อธิบายความแก่พวกเขาอีก ทำการวาดบรรเลงให้เหวินหู่ เปลี่ยนเหวินหู่ให้กลายเป็นชายงามสะโอดสะอง

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่หันหน้ามองกัน หัวเราะเสียงดังเอิ๊กอ๊าก

 

 

หากกลับบ้านไปด้วยสภาพเช่นนี้ เกรงว่าภรรยาของตนเองจะต้องจำไม่ได้กระมัง

 

 

ทั้งสองนับถือในวิชาแปลงโฉมที่ล้ำเลิศของเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างสุดซึ้ง

 

 

หลังจากแต่งหน้าให้ทั้งสองคนเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปนั่งในรถม้า มองกระจกเติมแต่งขีดเขียนให้กับตัวเอง ทั้งเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดินลงมาจากรถม้า

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่ต่างร้องอุทาน “แม่นาง นี่ท่าน…?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงแหบใหญ่พูดว่า “นับจากนี้ไป ข้าไม่ใช่แม่นาง ข้าคือนายน้อย จำไว้ให้ดีประเดี๋ยวอย่าได้เรียกผิด”

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่ขานรับคำพร้อมกัน “ทราบแล้ว นายน้อย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งกำชับทั้งสองคนอย่างจริงจัง “ประเดี๋ยวไม่ว่าข้าจะทำอะไร พวกเจ้าเพียงคล้อยตามข้าก็พอ เมื่อเสร็จเรื่อง ให้บังคับรถม้าไปทางตะวันตก เมื่อแน่ใจว่าไม่มีคนสะกดรอยตามแล้วพวกเราค่อยเลี้ยวกลับบ้าน”

 

 

เมื่อก่อนเหวินเปียวและเหวินหู่เป็นผู้คุ้มกัน ใช้ชีวิตปลายมีดอาบเลือดมาตลอด หลังจากถูกเมิ่งเชี่ยนโยวซื้อตัวมา แม้จะรู้สึกว่าชีวิตเช่นนี้ก็ดีมากแล้ว แต่ก็มักจะคิดถึงวิถีชีวิตแบบเดิม ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ เกิดความรู้สึกฮึกเหิมประหลาดขึ้นในใจ เปล่งเสียงขานรับพร้อมกัน “ทราบแล้วขอรับ นายน้อย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินขึ้นรถม้า สั่งเหวินเปียวให้ไปสำนักการเงินที่เคยไปแลกเงินอีแปะครั้งก่อน

 

 

เหวินเปียวรับคำ ไม่นานก็หยุดรถม้าหน้าสำนักการเงิน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินลงจากรถม้า เดินอาดๆ เข้าไปในสำนักการเงิน เหวินหู่เดินตามติดไป

 

 

พนักงานของสำนักการเงินเห็นคุณชายน้อยแต่งกายไม่ธรรมดาเข้ามา ลุกลนเข้าไปต้อนรับ ถามขึ้น “ท่านจะมาฝากเงินหรือเบิกเงินขอรับ?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างดูแคลนแวบหนึ่ง เดินไปข้างเก้าอี้แล้วนั่งลง ถามอย่างไม่รีบไม่ร้อน “หลงจู๊ของพวกเจ้าเล่า? ให้เขาออกมาพบข้า?”

 

 

พนักงานเห็นคุณชายน้อยท่านนี้มาถึงก็จะขอพบหลงจู๊ รู้สึกลำบากใจ พูดอย่างระมัดระวัง “คุณชายท่านนี้ หลงจู๊ของพวกเรากำลังต้อนรับลูกค้าคนสำคัญ ท่านมีเรื่องอะไรก็ให้บอกข้าไปทำ ข้าจะต้องทำให้ท่านได้อย่างเรียบร้อย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างไม่ไยดีแวบหนึ่ง พูดว่า “เลิกพูดพล่ามได้แล้ว รีบไปตามหลงจู๊ของพวกเจ้ามา บอกว่าข้ามีเรื่องใหญ่มากต้องการพบเขา”

 

 

พนักงานเห็นเขาดูเป็นผู้มีอันจะกิน มีบารมีไม่ธรรมดา ไม่เหมือนคนที่จะมาก่อกวน จึงพูดอย่างนบนอบ “ท่านรอสักครู่ ข้าจะไปเรียนหลงจู๊เดี๋ยวนี้” พูดจบ วิ่งแนบเข้าไปหลังร้าน

 

 

ไม่นานเท่าไหร่ หลงจู๊ก็ตามพนักงานเดินลิ่วออกมา เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นเพียงหนุ่มน้อยคนหนึ่ง ก็ให้ชะงักอึ้ง ยกยิ้มพูดว่า “ไม่ทราบว่านายน้อยท่านนี้อยากพบข้าด้วยเรื่องอะไรขอรับ?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองประเมินเขาแวบหนึ่ง ถามว่า “เจ้าก็คือหลงจู๊?”

 

 

หลงจู๊ขานรับคำ ถามขึ้นอีกครั้ง “ไม่ทราบว่าท่านอยากพบข้าด้วยเรื่องอันใดขอรับ?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาเหมือนมองคนปัญญาอ่อน “เจ้าเปิดสำนักการเงิน ข้าอยากพบเจ้าย่อมต้องเป็นเรื่องการแลกเปลี่ยนเงิน หรือจะให้ข้าเรียกเจ้ามาเพื่อดื่มน้ำชาพูดคุยทุกข์สุข?”

 

 

หลงจู๊ถูกพูดจนสะอึก ใบหน้าเริ่มไม่สู้ดี ท่าทีนบนอบก็แผ่วบางลง น้ำเสียงเริ่มไม่สบอารมณ์ “จะแลกเปลี่ยนเงิน พนักงานที่โต๊ะด้านหน้าสามารถจัดการให้ได้ ท่านเพียงนำตั๋วเงินออกมาก็พอ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ตั๋วเงินของข้านี้พวกเขาจะแลกเปลี่ยนได้หรือ”

 

 

ปฏิกิริยาของหลงจู๊แข็งกร้าวขึ้น กล่าวว่า “คุณชายน้อยอย่าได้กล่าวหยอกเย้า หากพนักงานในสำนักการเงินของข้า แม้แต่ตั๋วเงินยังแลกเปลี่ยนไม่ได้ เช่นนั้นสำนักการเงินนี้ก็คงจะเปิดต่อไปไม่ได้แล้ว”

 

 

หลงจู๊เพิ่งจะพูดจบ แผ่นหยกชิ้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

 

 

หลงจู๊ถลึงตาลุกวาว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถือแผ่นหยกคลี่ยิ้มถาม “ท่านดูเถิดว่าตั๋วเงินนี้พนักงานแลกได้หรือไม่?”

 

 

หลงจู๊รับแผ่นหยกมา พินิจมองดู ปรับเปลี่ยนกิริยาอาการ โค้งตัวลงต่ำ ถามอย่างพินอบพิเทา “ไม่ทราบว่าท่านต้องการแลกตั๋วเงินจำนวนเท่าใด?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างไม่แยแส “เอามาห้าหมื่นตำลึงก่อนเถอะ หากว่าไม่พอ ข้าจะมาเอาอีก”

 

 

หลงจู๊ยิ่งทวีความนบนอบ “ท่านโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปเตรียมให้ท่านด้วยตัวเองเดี๋ยวนี้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า

 

 

หลงจู๊สั่งการพนักงานให้รีบไปชงชามาให้เมิ่งเชี่ยนโยว จากนั้นถึงหยิบแผ่นหยกกระวีกระวาดเข้าไปหลังร้าน

 

 

พนักงานเห็นปฏิกิริยาของหลงจู๊ที่พลิกเปลี่ยนฉับพลัน ก็ไม่รอช้า รีบชงน้ำชา ยกเข้ามาให้เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างระมัดระวัง

 

 

หลงจู๊ตะลีตะลานกลับเข้ามาในห้องหลังร้าน หยิบกุญแจออกมาเปิดกล่องใบหนึ่งออก หยิบกระดาษที่มีภาพวาดแผ่นหยกที่แทบจะเหมือนกันทุกประการสองชิ้นออกมา หยิบแผ่นหยกในมือเปรียบเทียบอย่างถี่ถ้วน พบว่าเหมือนกับแผ่นหยกในนั้นทุกประการ ร้องเรียกด้วยน้ำเสียงเร่งเร้า “พนักงาน”

 

 

พนักงานคนหนึ่งขานรับแล้วเข้ามา

 

 

หลงจู๊สั่งกำชับเขา “เจ้าไปแอบเรียกท่านผู้ชำนาญโจวที่หน้าร้านออกมา บอกว่าข้ามีเรื่องด่วนอยากพบเขา”

 

 

พนักงานรับคำ สาวเท้าเดินออกไป